ฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่องแห่งจักรวาล ตอนที่ 3 Part 2 .... (เรื่องสั้น 5 ตอนจบ)

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ตอนที่ 3 part 2


              ทิมมี่และอันโตนิโอหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ใกล้กับแท้งค์น้ำ พวกเขามองเห็นคลังเก็บของที่อยู่ข้างหน้า สภาพเสียหายไปบ้างเล็กน้อยคงถูกยักษ์ทำลาย แต่ทุกอย่างก็ดูสงบเงียบเกินไปทิมมี่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันน่าจะมียักษ์นอนอยู่แถวๆนี้ ทิมมี่คิดในใจ


“แปลกนะฮะ มันดูเงียบไปไม่มียักษ์อยู่เลยผมไม่ได้ยินเสียงกรนของพวกมันไม่เห็นตัวมันด้วย” ทิมมี่พูดกับอันโตนิโอ  ส่วนอันโตนิโอพยายามมองหาเส้นทางเข้าไปที่คลังเก็บของ และแล้วเขามองไปเห็นประตูทางเข้าที่เปิดค้างไว้

“ไม่มียักษ์ก็ปลอดโปร่ง ทางสะดวกเรารีบไปเอาเชื้อเพลิงกันเถอะจะได้ไปจากที่นี้เสียที” อันโตนิโอออกวิ่งนำหน้า ทิมมี่วิ่งตามมาติดๆแต่ในใจเขายัง ครุ่นคิดว่ายักษ์หายไปไหนหมด

              อันโตนิโอวิ่งด้วยความเร็วตรงสู่ประตูทางเข้าเกือบถึงแล้ว อีกแค่ไม่กี่ก้าวเขาจะได้เข้าไปข้างใน แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาหยุดสงัดกลางทาง ทิมมี่ที่วิ่งมาติดๆก็หยุดไม่ทันชนหลังเขาเข้าอย่างจัง ทั้งสองอ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นยักษ์ตัวใหญ่มหึมาโผล่ศีรษะขึ้นมาจากด้านหลังคลังเก็บของ ตัวมันใหญ่โตสูงพ้นหลังคา มันกู่ก้องร้องข่มขวัญคนที่อยู่ตรงหน้า แววตาโหดร้ายแต่แอบแฝงไปด้วยความพอใจที่มีอาหารมารออยู่ตรงหน้า มันจ้องมองพวกเขาอย่างพึงพอใจในอาหารของตน

“วิ่ง” ทิมมี่ตะโกนบอกอันโตนิโอ  ทั้งสองต่างวิ่งหนีกันคนละทิศละทาง ยักษ์กวาดมือไล่จับพวกเขาอันโตนิโอกระโดดหลบมือใหญ่มหึมาของยักษ์ได้ทัน ทิมมี่ก็ก้มหลบ ยักษ์กู่ก้องร้องเสียงดัง มันทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมัน แท้งค์น้ำที่อยู่ใกล้ถูกมันใช้มือปัดหล่นลงมาน้ำในถังแตกกระเด็นกระจายไปทั่ว ทิมมี่ตัวเปียกไปทั้งตัวจรดเท้า แต่ก็วิ่งหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเพราะตัวเล็กและผอมแห้ง  ในขณะที่อันโตนิโอกลับลำบากในการวิ่งหนีด้วยความสูงที่จะต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางไปอย่างยากลำบาก

              ยักษ์จึงเปลี่ยนทิศทางมาที่เขาเพียงคนเดียว คิดจะจับตัวใหญ่ให้ได้เสียก่อนตัวเล็กไว้ที่หลัง ยักษ์ยกเท้าหวังจะเหยียบเขาให้แบนไปกับพื้น อันโตนิโอวิ่งหลบหลีกเข้าไปอยู่ใต้ท้องยักษ์ ทำให้มันมองไม่เห็นเหยื่อ มันได้แต่ยืนมึนงงมองหาไอ้มนุษย์ตัวน้อยไม่เจอ  อันโตนิโอใช้ขาอันใหญ่โตของยักษ์เป็นที่กันบังให้ตัวเอง เขาหมุนตัวหลบตามการมองหาของยักษ์ราวกะเป็นการเล่นซ่อนหากันก็ไม่ปาน เจ้ายักษ์หน้าตาซือบื้อได้ก้มลงมองหาอาหารของตัวเองอย่างงุนงงสงสัยว่าหายไปไหน

              ยักษ์ใหญ่ก้าวเท้าเดินพร้อมกับเงยหน้าขึ้นฟ้าร้องกู่ก้องด้วยความไม่พอใจที่เหยื่อของมันหายไปต่อหน้าต่อตา แววตากลมโตดวงใหญ่สีเขียวเข้มของมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและดุดันไร้ความปรานี หูใบใหญ่ของมันคอยกระดิกเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่มันเรียกว่าอาหาร
อันโตนิโอใช้ขาใหญ่โตของยักษ์เป็นที่กันบังตัวไว้  พยายามสอดสายตามองหาทิมมี่ แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทิมมี่ เด็กน้อยได้หายไปแล้วทิ้งเขาให้สู้กับยักษ์คนเดียว เพียงคิดว่าจะต้องเจอแบบนี้อันโตนิโอก็แถบจะกั้นลมหายใจตัวเองเอาไว้ กลัวยักษ์จะรู้ที่ซ่อนแล้วจับตนกินเป็นอาหารแค่เขาคิดก็เสียสันหลังแล้ว  แต่เขาก็รู้ดีว่าคงหลบอยู่อย่างนี้ต่อไปได้ไม่นานเดียวยักษ์เจอตัวเขาแน่..ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด สถานการณ์แบบนี้คงใช้ไม่ได้กับคำกล่าวนั้น

**********************************************


              ใจกลางหมู่บ้านวาตินและเหล่าอาสาสมัครที่กล้าหาญจำนวนสิบสองคน เร่งขุดหลุมพรางเพื่อใช้เป็นกักดักหลอกล่อให้ยักษ์ตกลงไป พวกเขาทำงานกันอย่างแข็งขันจอบสิบกว่าเล่มถูกยกขึ้นพร้อมกันและปักลงดินพร้อมกันโดยไม่ต้องให้ใครคอยบอกจังหวะเพราะนั่นคือการทำงานที่เต็มไปด้วยความสามัคคีและความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมของแต่ละ
คน หลุมพรางถูกขุดลึกลงมาได้เกือบหนึ่งเมตรภายในเวลาไม่นาน
แต่แล้วทุกคนก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องของยักษ์ที่ดังกึกก้องไปทั่ว แม้จะไม่มีใครเข้าใจภาษายักษ์แต่ทุกคนก็ต่างรับรู้ได้ถึงอารมณ์โกรธแค้นที่มันร้องออกมา

“เร่งมือ เข้าทุกคน” วาตินดึงสติทุกคนให้กลับมาอยู่กับงานที่ต้องทำ
“อีกนิดเดียวให้มันลึกกว่านี้  ให้มันตกลงไปแล้วขึ้นมาไม่ได้”ชายฉกรรจ์ไว้หนวดเครารกรุงรังที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับวาตินตะโกนบอกทุกคนเสียงดัง วาตินพยักหน้าให้เขาอย่างเห็นด้วยแล้วลงมือขุดหลุมพรางต่อไป

               ในระหว่างนั้นบีน่าและหญิงสาวอีกสองกำลังรวบรวมเศษกิ่งไม้ที่หักตามทางถนนมาเหลาให้มีปลายที่แหลมคมใช้เป็นอาวุธสำหรับปักลงไปในหลุมพราง  พวกเธอทำงานกันอย่างเร่งรีบไม่มีใครพูดคุยกันต่างคนต่างรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่เพราะเวลาคืนนี้เป็นเวลาชี้เป็นชี้ตายหากแม้พลาดเพียงนิดเดียวคงไม่มีชีวิตอยู่ได้พูดแน่

             เชือกเส้นใหญ่หลายเส้นที่ชานและเพื่อนๆหามาถูกนำมากอง รวมกันข้างๆกับกลุ่มของบีน่าเพื่อนำมามัดตัวเจ้ายักษ์เมื่อมันตกลงไปในหลุม
ชายหนุ่มอีกสองคนวิ่งมาด้วยความเหนื่อยหอบ พวกเขามาสมทบกับพวกของชานที่ยืนรออยู่

“ไม่มี ไม่มีน้ำมันเหลือเลยซักหยด” ชายหนุ่มรูปร่างท้วมบอกกับชาน
“ตาแก่เซ็กตันแกต้องเก็บน้ำมันไว้ใช้คนเดียวแน่ๆเลย ตาแก่นี้จะยอมให้ใครไปเอาของแกง่ายๆ ฝันไปเถอะ” และอีกคนเสริมต่ออย่างฉุนเฉียว หลังจากที่พวกเขาไปเอาน้ำมันที่ปั๊มของเซ็กตันแต่ก็พบว่าไม่มีน้ำเหลือเลยแม้แต่หยดเดียว

“แล้วเซ็กตันล่ะ เจอเขาบ้างมั้ย” ชานถามทั้งสองรู้สึกเป็นห่วงเซ็กตันขึ้นมา แม้เซ็กตันจะเป็นคนขี้เหนียวและไม่สุงสิงกับใครแต่ในเวลานี้ความห่วงใยของชาวเมืองไซเทนก็มีให้กัน
“ไม่เจอ พวกเราหาจนทั่วแล้วไม่มีล่องรอยของเซ็กตันเลย”ชายหนุ่มร่างท้วมบอกชาน

***********************************************


              เสียงของยักษ์ตนนั่นยังคงกู่ก้องร้องข่มขวัญเหยื่อของมัน มันเดินย้ำเท้าไปตามทางมองหาอาหารด้วยความมาดมั่น อันโตนิโอวิ่งตามเท้าที่ใหญ่โตของมัน เขาเองพยายามมองหาที่หลบซ่อนตัว เขามองเห็นต้นไม้ต้นใหญ่ที่ถูกหักโคนลงมา อันโตนิโอเล็งเป้าหมายแล้ววิ่งพุ่งตรงไปด้วยความเร็ว แต่ช้าไป..ยักษ์ใหญ่เห็นเหยื่อของมันเสียแล้ว มันใช้มืออันใหญ่โตของมันจับคอเสื้อของอันโตนิโอ ชูเขาลอยขึ้นกลางอากาศมาอยู่ในระดับสายตาของมัน มันกู่ก้องร้องใส่เขาด้วยความพึงพอใจและภูมิใจเป็นยิ่งนักกับชัยชนะของตนเอง มันพ่นลมหายใจเหม็นเน่าใส่เขา

              อันโตนิโอหลับตาปี๋พร้อมกับกั้นลมหายใจ หลีกเลี่ยงที่จะสูดกลิ่นเหม็นเน่าที่ พุ่งมายังเขาแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เขายังคงสูดกลิ่นเหม็นเน่าลงปอดเต็มๆ ยักษ์ใหญ่อ้าปากกว้างเพื่อที่จะหย่อนเขาลงไปในปาก ความกลัวแผ่ไปทั่วทุกส่วนโสตประสาทของเขา อันโตนิโอพยายามดิ้นหาทางหลุดจากพันธนาการของเจ้ายักษ์ตนนี้ แต่ก็ไร้ซึ่งความหมายยิ่งดิ้นเท่าไหร่ดูเหมือนจะยิ่งสร้างความพึงพอใจให้กับเจ้ายักษ์มากขึ้น

              อันโตนิโอหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ แต่ก็ยังคงคิดหาทางเอาตัวรอกแม้โอกาสที่เห็นอยู่จะมีเพียงน้อยนิด หากไม่คิดทำอะไรซักอย่างคงได้ลงไปอยู่ในท้องของยักษ์สร้างคามอิ่มหนำสำราญให้แกมัน และเขาเองก็ยังไม่อยากตาย  มันค่อยๆหย่อนตัวอันโตนิโอลงปากช้าๆเพื่อเพิ่มคามเพลิดเพลินให้แก่มันและสร้างคามหวาดกลัวให้แก่เหยื่อ อันโตนิโอมองเห็นฟันเหลืองแหลมคมของมันอย่างชัดเจน อาวุธที่พร้อมปดขยี้เขาให้แตกละเอียดได้ภายในชั่วพริบตา หัวใจของเขาเต้นถี่รัว ความตายที่กำลังเข้ามาอยู่ใกล้เขาเพียงแค่ปากจมูก อันโตนิโอคงต้องตายอยู่บนดาวดวงนี้อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้
สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดกระทบใบหน้าอันโตนิโออย่างแผ่วเบา เขารับรู้ถึงลมหายใจสุดท้ายของตัวความหวาดกลัวก็ยิ่งแผ่ซ่านไปทุกรูขุมขน ไม่มีทางหนีอื่นไม่มีทางหนีรอดไปได้ เขายอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขา แม้จะพยายามดิ้นหนีจนสุดกำลัง

ความช่วยเหลือมักจะมาหาคนที่ต้องการมันเสมอ

               ลูกธนูไม้ที่ถูกเหลาไว้อย่างแหลมคม พุ่งผ่านอากาศยามค่ำคืนด้วยความเร็วแสงปักลงบนเหงือกของเจ้ายักษ์ใหญ่อย่างแม่นยำ มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่ทันที่จะให้มันร้องเป็นครั้งที่สอง ลูกธนูไม้ดอกถัดมาก็พุ่งตรงเข้าไปปักที่ใบหน้าของมัน และตามมาติดๆอีกหลายลูกอย่างไม่หยุดยั้ง
               อันโตนิโอได้จังหวะดึงมีดสั้นที่อยู่ข้างเอวแทงไปที่มือของยักษ์อย่างสุดกำลัง เพิ่มความเจ็บปวดให้มันจนต้องปล่อยเขาหลุดมือ  อันโตนิโอร่วงลงสู่พื้นดินตัวของเขาตกลงตรงพุ่มไม้ข้างต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของทิมมี่

“ฮัน คุณเป็นอะไรไหมฮะ” ทิมมี่ที่ตอนนี้อยู่บนต้นไม้ตะโกนถามคนอยู่เบื้องล่าง ซึ่งกำลังนอนขดตัวอยู่บนพื้นดินด้วยความเจ็บปวด จุกอกจนพูดอะไรไม่ได้
อันโตนิโอพยายามมองหาเจ้าของเสียง
“ผมอยู่บนนี้” ทิมมี่ตะโกนบอก แล้วเขาก็รีบปืนลงมาจากต้นไม้อย่างเร็วรวด

                เจ้ายักษ์ที่ถูกธนูปักตามตัวไปหลายดอกมันดึงลูกธนูออกอย่างง่ายดาย แล้วหันมาทางเหยื่อของมันด้วยแววตาที่โหดร้ายดุดันบวกด้วยความโกรธแค้นที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่มัน มันกู่ก้องร้องข่มขวัญเหยื่อ อันโตนิโอและทิมมี่ไม่รอช้ารีบวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตมุ่งหน้าตรงเข้าสู่ตัวเมือง

เสียงกู่ร้องของมันดังสนั่นไปทั่ว แผ่นดินเริ่มสั่นไหวใกล้กับกลุ่มของวาตินที่ตอนนี้ขุดหลุมพรางได้ลึกลงไปมากทีด้วย

“เร่งมือเข้า มันกำลังมาทางนี้แล้ว” วาตินตะโกนบอกอาสาสมัครใจกล้า
แต่ช้าไปพวกเขาต่างมองเห็นยักษ์ร่างใหญ่กำลังมุ่งตรงมายังที่ที่พวกเขายืนอยู่ โดยมีผู้ชายสองคนวิ่งนำหน้ายักษ์มาคนหนึ่งคือทิมมี่ คนที่พวกเขารู้จักดีแต่อีกคนไม่มีใครรู้จัก

ทิมมี่กับอันโตนิโอโบกมือไล่เหล่าอาสาสมัครใจกล้าให้รีบหนี พร้อมทั้งตะโกนบอกพวกเขาไปพลาง ทุกคนเมื่อเห็นแบบนี้ต่างทิ้งอุปกรณ์ที่ถือยู่ในมือวิ่งหนีกันคนละทิศละทาง วาตินและอาสาสมัครอีกหลายคนรวมทั้งบีน่ายังยืนหยัดที่จะสู้กับยักษ์สุดกำลัง  พวกเขาใช้เชือกผูกกับต้นไม้ฝั่งหนึ่งแล้วลากเชือกข้ามฝากไปอีกฝั่งหวังจะดักขาเจ้ายักษ์ใหญ่ให้มันสะดุดแล้วตกลงไปในหลุมพรางที่ตอกหมุดแหลมไว้ในหลุม

อันโตนิโอกับทิมมี่วิ่งกระโดดข้ามเชือกที่ถูกดึงไว้ต่ำๆ แล้วไปสมทบกับวาตินและคนอื่นๆที่หลบอยู่หลังต้นไม้

“ดีใจที่เธอปลอดภัย” วาตินทักทิมมี่
“ฮะ ขอบคุณครับ” ทิมมี่ตอบแบบไม่หันมองหน้าคนทัก เพราะสายตาของเขาจับจ้องอยู่กับเจ้ายักษ์ตัวโตที่กำลังเดินตรงมายังพวกเขา
“จะทำยังไง จะจัดการกับยักษ์ยังไง” อันโตนิโอเอ่ยถามอย่างร้อนร้น
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างหันมองอันโตนิโอเป็นจุดเดียว

“นายเป็นใคร” ชายฉกรรจ์หนวดเครารุงรังเอ่ยถาม
“เอ่อ นี่ฮัน อันโตนิโอฮะ” ทิมมี่เป็นคนตอบแทน

“มันใกล้เข้ามาแล้วเตรียมตัวให้พร้อม บอกว่าดึงแล้วดึงเลยนะ”วาตินสั่งการทุกคน

               ยักษ์ใหญ่วิ่งตามพวกเขามาด้วยความเร็ว มันส่งเสียงร้องก้องด้วยความโกรธแค้นแผ่นดินสั่นไหวเมื่อเท้าของกระทบลงบนพื้น มันใกล้เข้ามาทุกขณะในจุดที่พวกเขาทำกักดักไว้

“ดึง ดึงเลย” เสียงของวาตินตะโกนสั่งการ

                เชือกเส้นใหญ่ถูกดึงขึ้นอย่างทันที ทุกคนจับเชือกมั่นทิมมี่กับอันโตนิโอก็ช่วยอีกแรง  เชือกเส้นใหญ่สำหรับใช้สกัดกั้นเจ้ายักษ์ ถูกขึงตึงไว้อย่างแข็งแรงจากการร่วมมือร่วมใจของชาวเมืองราวกับแท่งเหล็กที่แข็งแกร่ง  ยักษ์ใหญ่วิ่งมาด้วยความเร็วและไม่ทันสังเกตเห็นเชือกเส้นนั่นมันสะดุดล้มลง ร่างของมันถลาลงไปอยู่ในหลุมพรางที่ชาวเมืองขุดไว้ มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเมื่อร่างกายของมันถูกไม้แหลมคมที่ฝังไว้ในหลุมเสียบเข้าที่ขาอย่างจัง เลือดสีเขียวเข้มไหลทะลักออกมาอาบทั่วขาทั้งสองข้าของมัน ด้วยความโกรธแค้นมันจับเชือกเหวี่ยงไปจนสุดแรง คนที่ยังจับเชือกไว้ต่างปลิวลอยละล่องขึ้นสู่อากาศ รวมทั้งอันโตนิโอด้วยร่างของเขาปลิวลอยไปตกบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ถัดไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่