แวะอ่านก่อนคะ^_^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฮัน อันโตนิโอ เป็นเรื่องสั้นขนาดยาวคะ
มีความยาว 5 ตอนจบผู้แต่งจะนำลงมาให้อ่านจนจบนะคะ
นักอ่านท่านใดแวะเวียนเข้ามาอ่าน อ่านแล้วแนะนำติชมได้คะ
เปิดกว้างรับฟังทุกคำแนะนำด้วยใจยินดีคะ
นักอ่านท่านใดพบเห็นคำผิด เขียนผิด สะกดผิด
แปะไว้บอกกล่าวได้คะจะมาแก้ไขตามคำแนะนำ
ขอบคุณพระคุณทุกท่านที่เข้ามาแวะเวียนอ่าน
อารัมภบท
ฉันคงต้องบอกว่าขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่พวกคุณได้เข้ามาเปิดอ่านเรื่องราวนี้
ฉันไม่อยากให้พวกคุณได้อ่านเลย ฉันอยากให้พวกคุณปิดมันลงซะและไปหาเรื่องอื่นอ่าน
เรื่องราวที่มีสาระและน่าตื่นเต้นกล่าวนี้ เพราะเรื่องนี้จะไม่สามารถตอบสนองสิ่งที่พวกคุณคาดหวัง
เลยแม้แต่น้อย มันไร้ทั้งสาระและความสนุกสนาน มันแทบจะไม่มีอะไรให้น่าติดตามเลย
ขอให้พวกคุณปิดมันลงแล้วไปหาสิ่งอื่นทำ อย่ามัวมาเสียเวลากับเรื่องราวที่หาสิ่งดีๆไม่ได้เลย
ด้วยรักและห่วงใยท่านผู้อ่านเป็นยิ่งนัก
ไซเทน..ใต้หลุมลึกลงไปสิบเมตรในห้องเล็กๆเหม็นอับที่เต็มไปด้วยมด หนู แมลงสาบ และกระต่าย
ที่ที่ฉันนั่งเขียนเรื่องราวเหล่านี้ด้วยใจที่ลุ้นระทึกและเศร้าหมอง
๒๓ /๐๗ /๒๕๕๘ เวลา ๐๑.๓๐ น.
ตอนที่ 1
ห่างไกลจากโลกไปหลายล้านล้านปีแสง ณ ดินแดนที่เวิ้งว้างและโดดเดี่ยวถูกทอดทิ้งให้อยู่เยี่ยงเศษขยะบนจักรวาลที่กว้างใหญ่แห่งนี้
ฮัน อันโตนิโอ เดินทางอย่างยาวนานบนโลกแห่งอวกาศและตอนนี้พลังงานขับเคลื่อนยานของเขาใกล้จะหมดลงเต็มที แต่ไม่รอช้าเขาลดระดับความเร็วของยานลง เขาค่อยๆหย่อนยานที่พลังยานใกล้จะหมดเข้าเทียบท่าจอดในดาวที่รกร้างและดูโดดเดี่ยว เขาท่องอวกาศมาเนินนานแต่ไม่เคยแวะที่ดาวดวงนี้มาก่อนเลย ท่าเทียบยานสำหรับต้อนรับผู้มาเยียน ขึ้นป้ายสีแดงเด่นชัดว่า
“ชาวเมืองแห่งดาวไซเทน ยินดีต้อนรับแขกผู้มาเยียนทุกท่านด้วยใจยินดี”
อันโตนิโอมองเห็นป้ายต้อนรับอย่างเป็นมิตร ด้วยใจผ่อนคลาย เขาต้องการพลังงานมาเติมยานของเขา ดาวดวงนี้อาจมีสิ่งที่เขาต้องการ และดูจากป้ายที่เขียนต้อนรับคนในดาวนี้ก็คงจะใจดีอยู่ไม่น้อย เขาคิดในใจด้วยความเป็นสุขปนกับความตื่นเต้นที่คิดว่าจะได้สำรวจดาวดวงใหม่ ที่ที่เขาเองก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
“เมเดย์ เมเดย์ ผมฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่อง บินมาด้วยยานเคพีฮอบ752 พลังงานของยานใกล้จะหมด ขออนุญาตลงจอดที่ท่าเทียบยาน ” เขาต่อสัญญาณส่งไปยังเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างล่างเพื่อขอลงจอด แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับใดๆ
“เมเดย์ เมเดย์ ผมฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่อง บินมาด้วยยานเคพีฮอบ752 พลังงานของยานใกล้จะหมด ขออนุญาตลงจอดที่ท่าเทียบยาน “ ฮัน อันโตนิโอ ลองอีกครั้งหนึ่ง เงียบอีกเช่นเคย มีเพียงเสียง
ซูซ่า ซูซ่า ซ่า ซ่า……………ดังมาจากปลายสาย เจ้าหน้าที่แอบหลับกันอยู่หรือไง ฮัน อันโตนิโอได้แต่คิดในใจ
ปิ๊ด ปิ๊ด ปิ๊ด
เสียงเตือนจากยานของเขาดังก้องไปทั่วบอกให้รู้ว่าพลังงานจวนจะหมดแล้ว แผงควบคุมเริ่มสั่นรั่ว ไฟกระพริบดับไปแล้วเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
บ้าเอ๊ย!!!! เขาอุทานคนเดียว
“ย้ำอีกครั้ง ขออนุญาตลงจอด” เขายังพยายามติดต่อคนข้างล่าง
ซูซ่า ซูซ่า ซ่า ซ่าซ่าซ่า….เสียงจากปลายสายยังคงไม่มีใครตอบรับกลับมา
“เตรียมรับแรงกระแทกในอีก 10 วินาที” เสียงจากระบบรักษาความปลอดภัยบอกเขาให้รู้ตัวว่าต้องทำไง
“รู้แล้วน่า ฮันนี่” เขาพูดกับระบบรักษาความปลอดภัยอย่างหงุดหงิดนิดๆ เขาพยายามควบคุมให้ยานลงจอดให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ณ ตอนนี้
เก้า..
แปด..
เจ็ด..
หก..
ห้า..
สี่ ..
สาม…. เครื่องยนต์สั่นรัว ฮันพยายามยึดที่นั่งไว้มั่นหลับตาลงคอยลุ้นสุดใจ แสงไฟกระพริบถี่ทั่วยาน
สอง... หนึ่ง…..
แรงกระแทกของยานเมื่อมากระทบพื้นสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ฝุ่นปลิวตลบอบอวนรอบยานทำเอามองไม่เห็นบรรยากาศข้างนอกวิสัยทัศน์เป็นศูนย์ อันโตนิโอนั่งจับเก้าอี้ที่สั่นสะเทือนไว้มั่น หัวใจเต้นรั่วอย่างตื่นเต้นและลุ้นระทึกเป็นที่สุด
“ยานลงมาจอดอย่างปลอดภัย ขอให้เดินทางอย่างสนุกนะคะคุณ ฮัน อันโตนิโอ” ระบบเครื่องตอบโต้อัตโนมัติบอกเขาอย่างยินดีปรีดา
“น่าประทับใจมากครับ ฮันนี่” อันโตนิโอตอบกลับ
“ด้วยความยินดีคะ" สิ้นเสียงของระบบอัตโนมัติที่ชื่อฮันนี่ แสงไฟที่กระพริบก็ดับวูบลงทันที
เข็มบอกปริมาณพลังงานที่แผงควบคุมเคลื่อนมาอยู่ที่เลขศูนย์พอเหมาะพอดีแป๊ะ อันโตนิโอมองเข็มพลังงานอย่างอามรณ์เสีย
“เยี่ยม” เขาพูดคนเดียวเมื่อมองเห็นว่าเข็มบอกพลังงานจะเลยเลขศูนย์ไปมากทีเดียว เขาปลดสายรัดรอบเอวออกด้วยท่าทีที่ขี้เกียจ
“เอาล่ะ ลงไปดูหน่อยว่าดาวดวงนี้มีอะไรที่พอจะช่วยได้บ้าง” เขาพูดกับตัวเองคนเดียวก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์ที่เขาต้องการพบติดตัวไปด้วยสองสามชิ้นใส่ในกระเป๋าเป้ใบจิ๋วสีดำ
ฮัน อันโตนิโอ เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบปี เขาเป็นคนรูปร่างผอมสูง เวลาเดินจะดูเหมือนเขาเดินหลังค่อมตลอดเวลา แต่ที่จริงแล้วเขาเดินหลังค่อมตั้งแต่เกิดนั่นล่ะ มันเหมือนจะกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขาไปแล้วใบหน้าเกลี้ยงเกลาจมูกโด่งเป็นสันช่างเข้ากับใบหน้าแห้งผอมของเขาเสียจริงๆ ผมแสกกลางหวีเรียบเข้าทรง ดูเนียนเรียบติดหนังศีรษะของเขา คงไม่มีใครเคยบอกเขาว่าเป็นทรงผมที่น่าเกียจที่สุด
ฮัน อันโตนิโอหยิบแว่นกันฝุ่นสีขาวมาสวมใส่แล้วจัดให้เข้าที ตามด้วยผ้าพันคอสีน้ำตาลเข้มเขาเอามาพันปิดปากป้องกันฝุ่นละอองที่ลอยล่องอยู่ข้างนอก
อากาศข้างนอกถือว่าเย็นทีเดียว เขาพยายามมองไปยังหอควบคุมที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ไกลๆและพยายามเดินมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายอย่างทันที แม้จะลำบากในตอนแรกที่มองไม่ค่อยเห็นถนนหนทางซักเท่าไหร่ แต่เมื่อเดินมาได้ซักพักเขาก็เริ่มจะปรับสายตาให้เห็นสิ่งรอบข้างได้มากขึ้น มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี้
ข้างหน้าเขามียานเก่าๆผุๆสองลำจอดนิ่ง มีชื่อเขียนอยู่ข้างลำตัวด้วยสีแดงว่า ไซเทน-T254 และอีกลำ ไซเทน-T255
ไซเทน-T254 พังไปหนึ่งลำ เหมือนโดยค้อนใหญ่ๆทุบให้พังยุบลงแต่อีกลำยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ ละอองฝุ่นเคลื่อนออกห่างไปเรื่อยภาพยิ่งชัดเจน ฮัน อันโตนิโอ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังและเศษขยะลอยปลิวทั่วท้องฟ้า
กำแพงรั้วเหล็กที่ใช้กั้นสำหรับใช้เป็นพื้นที่ท่าเทียบยานถูกทำลายพังลงมองกองที่พื้น เศษแก้วกระจกกระเด็น แตกกระจายอยู่เป็นจุดทั่วบริเวณที่เขายืน ป้ายที่เขียนว่าสำนักงานท่าเทียนยานแห่งไซเทน ห้อยลงมาจากตัวอาคารชั้นสอง
ท่าจะไม่ดีแล้ว ฮัน อันโตนิโอคิดในใจ มือเคลื่อนมาจับมีดพกเล่มสั้นที่อยู่ข้างเอวมันเป็นอาวุธเดียวที่เขามีอยู่ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นอาวุธเดียวที่เขามีอยู่จริงๆ
ฮัน ฮันโตนิโอ ไม่กล้าที่จะเดินต่อไปเพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี้อาจมีใครซุ่มอยู่รอการโจมตี ที่เกิดสงครามขึ้นอย่างแน่นอน เขาคิด จะหนีขึ้นยานก็ไปไหนไม่ได้จะเดินหน้าก็ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ นักเล่าเรื่องอย่างเขาเริ่มจะเครียด คิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง
อยู่ๆตรงที่เขายืนอยู่แผ่นดินก็เกิดสั่นสะเทือน แผ่นดินสั่นไหวอย่างน่ากลัว
อ่าว ซวยเข้าไปแผ่นดินดันไหวอีก เขาสบถอยู่คนเดียวพยายามวิ่งหาที่หลบภัย แต่แล้วสายตากลับมองไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังวิ่งตรงมาที่เขา
เขาเห็นไม่ค่อยชัดว่าเด็กนั่นทำอะไรเหมือนจะโบกไม้โบกมือให้เขา อันโตนิโอได้แต่โบกมือตอบอย่างเป็นมิตรคิดในใจว่านี้คงเป็นการทักทายของชาวเมืองที่นี้ เด็กชายคนนั้นใส่แว่นกันฝุ่นสีดำอันใหญ่ที่ปิดครอบศีรษะ
“หนี หนีเร็ว” เด็กชายตะโกนบอกเขา
ฮัน อันโตนิโอ ได้ยินชัดเจนขึ้น และเห็นว่าเด็กชายพยายามโบกมือไล่เขา ฝุ่นละอองยังคงปลิวทำลายการมองเห็นบวกกับสายลมที่พัดโหมเข้ามาอีกระลอก ก็ยิ่งทำให้ฝุ่นลอยปลิวขึ้นฟ้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“หนี หนี วิ่ง ๆ” เด็กชายมาใกล้เขามากขึ้น
“หนีอะไร” ฮัน อันโตนิโอ ตะโกนถามเด็กชาย
เด็กชายวิ่งมาถึงตรงที่เขายืนอยู่ แล้วตะโกนบอกเขาโดยไม่หันมองหน้า
“รีบหนีเร็ว พวกยักษ์มาแล้ว”
“ยักษ์ ยักษ์ที่ไหน” พูดยังไม่ทันจบคำเขา ก็เริ่มมองคนเห็นยักษ์ร่างใหญ่ที่กำลังเดินตรงมาที่เขา เขาได้แต่ยืนมองด้วยความตกตะลึงเกิดมานี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นยักษ์ตัวเป็นๆ เขาได้เรื่องไว้ไปเล่าให้เด็กๆฟังแล้ว อันโตนิโอรู้สึกดีใจเป็นที่สุด เขาพยายามค้นหากล้องถ่ายรูปที่อยู่ในเป้อย่างตื่นเต้นดีใจ
“คุณจะบ้าหรือไง ทำไมไม่วิ่ง” เด็กชายที่วิ่งไปก่อนหน้านั้นย้อนกลับมาดึงแขนเขาให้รีบหนี
“ขอถ่ายรูปยักษ์หน่อยซิเจ้าหนูรีบไปไหน” อันโตนิโอตอบเด็กชายอย่างตื่นเต้น ยักษ์ก้าวย่างเข้ามาเรื่อยๆแผ่นดินสั่นไหวตามแรงลงเท้าของมัน ฮัน อันโตนิโอ กับเด็กชายยืนทรงตัวโยกเยกไปตามแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดิน
“อยากตายหรือไง ยักษ์มันกินคนนะ” เด็กชายตะโกนบอกอย่างหงุดหงิด แล้วรีบวิ่งหนีอย่างทันทีเมื่อเห็นว่ายักษ์มันเริ่มเข้ามาใกล้ อันโตนิโอสองจิตสองใจแต่ก็รีบยัดกล้องลงเป้แล้ววิ่งตามเด็กชายทันทีที่เห็นยักษ์ใกล้ๆมันน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ
“ตามผมมาทางนี้” เด็กชายตะโกนบอกคนที่วิ่งตามมาข้างหลัง แผ่นดินสั่นไหวเมื่อยักษ์เข้ามาใกล้พวกเขาทุกขณะ เสียงกู่ร้องของมันดังก้องสะท้อนไปทั่วเมือง
“เร็วเข้า” เด็กชายยังตะโกนบอกคนข้างหลังเป็นระยะ เขาวิ่งมาหยุดอยู่ที่ท่อระบายน้ำขนาดใหญ่มีเหล็กกั้นไว้ เด็กชายงัดเหล็กทั้งแผงออกอย่างง่ายดาย
“ทางนี้เข้ามาเลย” เด็กชายมุดลงไปในท่อระบายน้ำ ตามมาด้วยฮัน อันโตนิโอที่ดูจะเหนื่อยหอบเต็มที่
“ปิดฝาไว้ด้วย” เด็กชายบอกเขาซึ่งเป็นผู้ที่เข้ามาทีหลัง
ทั้งสองเดินอยู่ในท่อระบายน้ำที่มีน้ำขังอยู่แค่ตาตุ่ม ผนังสั่นไหวเศษฝุ่นปลิวร่วงลงมาเมื่อยักษ์เดินผ่าน มันกู่ร้องก้องราวจะบอกว่าให้รู้ว่ามันจะหาพวกเขาสองคนให้เจอ เสียงฝีเท้าของยักษ์เดินห่างออกไปเรื่อยๆแล้วก็เงียบลงไป
ฮัน อันโตนิโอ เดินตามหลังเด็กชายด้วยความสงสัยใคร่รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี้
“นั่นมันยักษ์จริงๆหรือเปล่า” เขาถามเด็กชายอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ดูคุณจะดีใจมาเลยนะที่เจอยักษ์ ผู้คนที่นี้เขาไม่ดีใจหรอกนะ มันกินพวกเรา พวกเราทุกคน” เด็กชายหันมามองหน้าฮัน อันโตนิโอ ด้วยใบหน้าที่จริงจัง จนเขาเผลอกลืนน้ำลายตัวเองลงคอด้วยความหวาดกลัว
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันเจ้าหนู” เขาถามด้วยความสงสัย
“ไปที่ปลอดภัย และอย่ามาเรียกผมว่าเจ้าหนู” เด็กชายหันมาตอบอย่างไม่พอใจ
“ก็ได้ ถ้าเธอมีชื่อนะ”
“ทิม ทิมมี่ผมชื่อทิมมี่ฮะ” เด็กชายบอกแต่เท้ายังคงก้าวเดินต่อไปไม่หยุด
“โอเค จิมมี่เป็นชื่อที่ เอ่อ ดีนะ” ฮัน อันโตนิโอขานรับคำตอบ
“เมื่อกี้ผมบอกว่า ผมชื่อทิมมี่” เด็กชายหันมาค้อนใส่เสียงดัง
“ทิมมี่ก็ทิมมี่” ฮัน อันโตนิโอทั้งเดินทั้งวิ่งตามเด็กชายที่ดูจะเดินเร็วขึ้นเรื่อย เสียงพูดคุยกันของพวกเขาสะท้อนก้องในท่อระบายน้ำ อันโตนิโอเดินตัวโก่งค่อมตัวเมื่อท่อลงระบายน้ำเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ
เขามุดเข้าไปอีกท่อหนึ่งตามเด็กชายและเดินตรงไปยังทางออกอีกเส้นหนึ่ง พาพวกเขามุ่งไปยังท่อระบายที่มีประตูเหล็กวงกลมถูกล็อคอย่างแน่นหนา เด็กชายค้นหาบางอย่างในกระเป๋ากางเกงพวงกุญแจชุดใหญ่ถูกดึงออกมา เขาปลดล็อคประตูเหล็กนั่นได้อย่างง่ายดาย
ฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่องแห่งจักรวาล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉันไม่อยากให้พวกคุณได้อ่านเลย ฉันอยากให้พวกคุณปิดมันลงซะและไปหาเรื่องอื่นอ่าน
เรื่องราวที่มีสาระและน่าตื่นเต้นกล่าวนี้ เพราะเรื่องนี้จะไม่สามารถตอบสนองสิ่งที่พวกคุณคาดหวัง
เลยแม้แต่น้อย มันไร้ทั้งสาระและความสนุกสนาน มันแทบจะไม่มีอะไรให้น่าติดตามเลย
ขอให้พวกคุณปิดมันลงแล้วไปหาสิ่งอื่นทำ อย่ามัวมาเสียเวลากับเรื่องราวที่หาสิ่งดีๆไม่ได้เลย
ด้วยรักและห่วงใยท่านผู้อ่านเป็นยิ่งนัก
ไซเทน..ใต้หลุมลึกลงไปสิบเมตรในห้องเล็กๆเหม็นอับที่เต็มไปด้วยมด หนู แมลงสาบ และกระต่าย
ที่ที่ฉันนั่งเขียนเรื่องราวเหล่านี้ด้วยใจที่ลุ้นระทึกและเศร้าหมอง
๒๓ /๐๗ /๒๕๕๘ เวลา ๐๑.๓๐ น.
ห่างไกลจากโลกไปหลายล้านล้านปีแสง ณ ดินแดนที่เวิ้งว้างและโดดเดี่ยวถูกทอดทิ้งให้อยู่เยี่ยงเศษขยะบนจักรวาลที่กว้างใหญ่แห่งนี้
ฮัน อันโตนิโอ เดินทางอย่างยาวนานบนโลกแห่งอวกาศและตอนนี้พลังงานขับเคลื่อนยานของเขาใกล้จะหมดลงเต็มที แต่ไม่รอช้าเขาลดระดับความเร็วของยานลง เขาค่อยๆหย่อนยานที่พลังยานใกล้จะหมดเข้าเทียบท่าจอดในดาวที่รกร้างและดูโดดเดี่ยว เขาท่องอวกาศมาเนินนานแต่ไม่เคยแวะที่ดาวดวงนี้มาก่อนเลย ท่าเทียบยานสำหรับต้อนรับผู้มาเยียน ขึ้นป้ายสีแดงเด่นชัดว่า
“ชาวเมืองแห่งดาวไซเทน ยินดีต้อนรับแขกผู้มาเยียนทุกท่านด้วยใจยินดี”
อันโตนิโอมองเห็นป้ายต้อนรับอย่างเป็นมิตร ด้วยใจผ่อนคลาย เขาต้องการพลังงานมาเติมยานของเขา ดาวดวงนี้อาจมีสิ่งที่เขาต้องการ และดูจากป้ายที่เขียนต้อนรับคนในดาวนี้ก็คงจะใจดีอยู่ไม่น้อย เขาคิดในใจด้วยความเป็นสุขปนกับความตื่นเต้นที่คิดว่าจะได้สำรวจดาวดวงใหม่ ที่ที่เขาเองก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
“เมเดย์ เมเดย์ ผมฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่อง บินมาด้วยยานเคพีฮอบ752 พลังงานของยานใกล้จะหมด ขออนุญาตลงจอดที่ท่าเทียบยาน ” เขาต่อสัญญาณส่งไปยังเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างล่างเพื่อขอลงจอด แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับใดๆ
“เมเดย์ เมเดย์ ผมฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่อง บินมาด้วยยานเคพีฮอบ752 พลังงานของยานใกล้จะหมด ขออนุญาตลงจอดที่ท่าเทียบยาน “ ฮัน อันโตนิโอ ลองอีกครั้งหนึ่ง เงียบอีกเช่นเคย มีเพียงเสียง
ซูซ่า ซูซ่า ซ่า ซ่า……………ดังมาจากปลายสาย เจ้าหน้าที่แอบหลับกันอยู่หรือไง ฮัน อันโตนิโอได้แต่คิดในใจ
ปิ๊ด ปิ๊ด ปิ๊ด
เสียงเตือนจากยานของเขาดังก้องไปทั่วบอกให้รู้ว่าพลังงานจวนจะหมดแล้ว แผงควบคุมเริ่มสั่นรั่ว ไฟกระพริบดับไปแล้วเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
บ้าเอ๊ย!!!! เขาอุทานคนเดียว
“ย้ำอีกครั้ง ขออนุญาตลงจอด” เขายังพยายามติดต่อคนข้างล่าง
ซูซ่า ซูซ่า ซ่า ซ่าซ่าซ่า….เสียงจากปลายสายยังคงไม่มีใครตอบรับกลับมา
“เตรียมรับแรงกระแทกในอีก 10 วินาที” เสียงจากระบบรักษาความปลอดภัยบอกเขาให้รู้ตัวว่าต้องทำไง
“รู้แล้วน่า ฮันนี่” เขาพูดกับระบบรักษาความปลอดภัยอย่างหงุดหงิดนิดๆ เขาพยายามควบคุมให้ยานลงจอดให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ณ ตอนนี้
เก้า..
แปด..
เจ็ด..
หก..
ห้า..
สี่ ..
สาม…. เครื่องยนต์สั่นรัว ฮันพยายามยึดที่นั่งไว้มั่นหลับตาลงคอยลุ้นสุดใจ แสงไฟกระพริบถี่ทั่วยาน
สอง... หนึ่ง…..
แรงกระแทกของยานเมื่อมากระทบพื้นสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ฝุ่นปลิวตลบอบอวนรอบยานทำเอามองไม่เห็นบรรยากาศข้างนอกวิสัยทัศน์เป็นศูนย์ อันโตนิโอนั่งจับเก้าอี้ที่สั่นสะเทือนไว้มั่น หัวใจเต้นรั่วอย่างตื่นเต้นและลุ้นระทึกเป็นที่สุด
“ยานลงมาจอดอย่างปลอดภัย ขอให้เดินทางอย่างสนุกนะคะคุณ ฮัน อันโตนิโอ” ระบบเครื่องตอบโต้อัตโนมัติบอกเขาอย่างยินดีปรีดา
“น่าประทับใจมากครับ ฮันนี่” อันโตนิโอตอบกลับ
“ด้วยความยินดีคะ" สิ้นเสียงของระบบอัตโนมัติที่ชื่อฮันนี่ แสงไฟที่กระพริบก็ดับวูบลงทันที
เข็มบอกปริมาณพลังงานที่แผงควบคุมเคลื่อนมาอยู่ที่เลขศูนย์พอเหมาะพอดีแป๊ะ อันโตนิโอมองเข็มพลังงานอย่างอามรณ์เสีย
“เยี่ยม” เขาพูดคนเดียวเมื่อมองเห็นว่าเข็มบอกพลังงานจะเลยเลขศูนย์ไปมากทีเดียว เขาปลดสายรัดรอบเอวออกด้วยท่าทีที่ขี้เกียจ
“เอาล่ะ ลงไปดูหน่อยว่าดาวดวงนี้มีอะไรที่พอจะช่วยได้บ้าง” เขาพูดกับตัวเองคนเดียวก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์ที่เขาต้องการพบติดตัวไปด้วยสองสามชิ้นใส่ในกระเป๋าเป้ใบจิ๋วสีดำ
ฮัน อันโตนิโอ เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบปี เขาเป็นคนรูปร่างผอมสูง เวลาเดินจะดูเหมือนเขาเดินหลังค่อมตลอดเวลา แต่ที่จริงแล้วเขาเดินหลังค่อมตั้งแต่เกิดนั่นล่ะ มันเหมือนจะกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขาไปแล้วใบหน้าเกลี้ยงเกลาจมูกโด่งเป็นสันช่างเข้ากับใบหน้าแห้งผอมของเขาเสียจริงๆ ผมแสกกลางหวีเรียบเข้าทรง ดูเนียนเรียบติดหนังศีรษะของเขา คงไม่มีใครเคยบอกเขาว่าเป็นทรงผมที่น่าเกียจที่สุด
ฮัน อันโตนิโอหยิบแว่นกันฝุ่นสีขาวมาสวมใส่แล้วจัดให้เข้าที ตามด้วยผ้าพันคอสีน้ำตาลเข้มเขาเอามาพันปิดปากป้องกันฝุ่นละอองที่ลอยล่องอยู่ข้างนอก
อากาศข้างนอกถือว่าเย็นทีเดียว เขาพยายามมองไปยังหอควบคุมที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ไกลๆและพยายามเดินมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายอย่างทันที แม้จะลำบากในตอนแรกที่มองไม่ค่อยเห็นถนนหนทางซักเท่าไหร่ แต่เมื่อเดินมาได้ซักพักเขาก็เริ่มจะปรับสายตาให้เห็นสิ่งรอบข้างได้มากขึ้น มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี้
ข้างหน้าเขามียานเก่าๆผุๆสองลำจอดนิ่ง มีชื่อเขียนอยู่ข้างลำตัวด้วยสีแดงว่า ไซเทน-T254 และอีกลำ ไซเทน-T255
ไซเทน-T254 พังไปหนึ่งลำ เหมือนโดยค้อนใหญ่ๆทุบให้พังยุบลงแต่อีกลำยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ ละอองฝุ่นเคลื่อนออกห่างไปเรื่อยภาพยิ่งชัดเจน ฮัน อันโตนิโอ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังและเศษขยะลอยปลิวทั่วท้องฟ้า
กำแพงรั้วเหล็กที่ใช้กั้นสำหรับใช้เป็นพื้นที่ท่าเทียบยานถูกทำลายพังลงมองกองที่พื้น เศษแก้วกระจกกระเด็น แตกกระจายอยู่เป็นจุดทั่วบริเวณที่เขายืน ป้ายที่เขียนว่าสำนักงานท่าเทียนยานแห่งไซเทน ห้อยลงมาจากตัวอาคารชั้นสอง
ท่าจะไม่ดีแล้ว ฮัน อันโตนิโอคิดในใจ มือเคลื่อนมาจับมีดพกเล่มสั้นที่อยู่ข้างเอวมันเป็นอาวุธเดียวที่เขามีอยู่ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นอาวุธเดียวที่เขามีอยู่จริงๆ
ฮัน ฮันโตนิโอ ไม่กล้าที่จะเดินต่อไปเพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี้อาจมีใครซุ่มอยู่รอการโจมตี ที่เกิดสงครามขึ้นอย่างแน่นอน เขาคิด จะหนีขึ้นยานก็ไปไหนไม่ได้จะเดินหน้าก็ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ นักเล่าเรื่องอย่างเขาเริ่มจะเครียด คิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง
อยู่ๆตรงที่เขายืนอยู่แผ่นดินก็เกิดสั่นสะเทือน แผ่นดินสั่นไหวอย่างน่ากลัว
อ่าว ซวยเข้าไปแผ่นดินดันไหวอีก เขาสบถอยู่คนเดียวพยายามวิ่งหาที่หลบภัย แต่แล้วสายตากลับมองไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังวิ่งตรงมาที่เขา
เขาเห็นไม่ค่อยชัดว่าเด็กนั่นทำอะไรเหมือนจะโบกไม้โบกมือให้เขา อันโตนิโอได้แต่โบกมือตอบอย่างเป็นมิตรคิดในใจว่านี้คงเป็นการทักทายของชาวเมืองที่นี้ เด็กชายคนนั้นใส่แว่นกันฝุ่นสีดำอันใหญ่ที่ปิดครอบศีรษะ
“หนี หนีเร็ว” เด็กชายตะโกนบอกเขา
ฮัน อันโตนิโอ ได้ยินชัดเจนขึ้น และเห็นว่าเด็กชายพยายามโบกมือไล่เขา ฝุ่นละอองยังคงปลิวทำลายการมองเห็นบวกกับสายลมที่พัดโหมเข้ามาอีกระลอก ก็ยิ่งทำให้ฝุ่นลอยปลิวขึ้นฟ้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“หนี หนี วิ่ง ๆ” เด็กชายมาใกล้เขามากขึ้น
“หนีอะไร” ฮัน อันโตนิโอ ตะโกนถามเด็กชาย
เด็กชายวิ่งมาถึงตรงที่เขายืนอยู่ แล้วตะโกนบอกเขาโดยไม่หันมองหน้า
“รีบหนีเร็ว พวกยักษ์มาแล้ว”
“ยักษ์ ยักษ์ที่ไหน” พูดยังไม่ทันจบคำเขา ก็เริ่มมองคนเห็นยักษ์ร่างใหญ่ที่กำลังเดินตรงมาที่เขา เขาได้แต่ยืนมองด้วยความตกตะลึงเกิดมานี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นยักษ์ตัวเป็นๆ เขาได้เรื่องไว้ไปเล่าให้เด็กๆฟังแล้ว อันโตนิโอรู้สึกดีใจเป็นที่สุด เขาพยายามค้นหากล้องถ่ายรูปที่อยู่ในเป้อย่างตื่นเต้นดีใจ
“คุณจะบ้าหรือไง ทำไมไม่วิ่ง” เด็กชายที่วิ่งไปก่อนหน้านั้นย้อนกลับมาดึงแขนเขาให้รีบหนี
“ขอถ่ายรูปยักษ์หน่อยซิเจ้าหนูรีบไปไหน” อันโตนิโอตอบเด็กชายอย่างตื่นเต้น ยักษ์ก้าวย่างเข้ามาเรื่อยๆแผ่นดินสั่นไหวตามแรงลงเท้าของมัน ฮัน อันโตนิโอ กับเด็กชายยืนทรงตัวโยกเยกไปตามแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดิน
“อยากตายหรือไง ยักษ์มันกินคนนะ” เด็กชายตะโกนบอกอย่างหงุดหงิด แล้วรีบวิ่งหนีอย่างทันทีเมื่อเห็นว่ายักษ์มันเริ่มเข้ามาใกล้ อันโตนิโอสองจิตสองใจแต่ก็รีบยัดกล้องลงเป้แล้ววิ่งตามเด็กชายทันทีที่เห็นยักษ์ใกล้ๆมันน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ
“ตามผมมาทางนี้” เด็กชายตะโกนบอกคนที่วิ่งตามมาข้างหลัง แผ่นดินสั่นไหวเมื่อยักษ์เข้ามาใกล้พวกเขาทุกขณะ เสียงกู่ร้องของมันดังก้องสะท้อนไปทั่วเมือง
“เร็วเข้า” เด็กชายยังตะโกนบอกคนข้างหลังเป็นระยะ เขาวิ่งมาหยุดอยู่ที่ท่อระบายน้ำขนาดใหญ่มีเหล็กกั้นไว้ เด็กชายงัดเหล็กทั้งแผงออกอย่างง่ายดาย
“ทางนี้เข้ามาเลย” เด็กชายมุดลงไปในท่อระบายน้ำ ตามมาด้วยฮัน อันโตนิโอที่ดูจะเหนื่อยหอบเต็มที่
“ปิดฝาไว้ด้วย” เด็กชายบอกเขาซึ่งเป็นผู้ที่เข้ามาทีหลัง
ทั้งสองเดินอยู่ในท่อระบายน้ำที่มีน้ำขังอยู่แค่ตาตุ่ม ผนังสั่นไหวเศษฝุ่นปลิวร่วงลงมาเมื่อยักษ์เดินผ่าน มันกู่ร้องก้องราวจะบอกว่าให้รู้ว่ามันจะหาพวกเขาสองคนให้เจอ เสียงฝีเท้าของยักษ์เดินห่างออกไปเรื่อยๆแล้วก็เงียบลงไป
ฮัน อันโตนิโอ เดินตามหลังเด็กชายด้วยความสงสัยใคร่รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี้
“นั่นมันยักษ์จริงๆหรือเปล่า” เขาถามเด็กชายอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ดูคุณจะดีใจมาเลยนะที่เจอยักษ์ ผู้คนที่นี้เขาไม่ดีใจหรอกนะ มันกินพวกเรา พวกเราทุกคน” เด็กชายหันมามองหน้าฮัน อันโตนิโอ ด้วยใบหน้าที่จริงจัง จนเขาเผลอกลืนน้ำลายตัวเองลงคอด้วยความหวาดกลัว
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันเจ้าหนู” เขาถามด้วยความสงสัย
“ไปที่ปลอดภัย และอย่ามาเรียกผมว่าเจ้าหนู” เด็กชายหันมาตอบอย่างไม่พอใจ
“ก็ได้ ถ้าเธอมีชื่อนะ”
“ทิม ทิมมี่ผมชื่อทิมมี่ฮะ” เด็กชายบอกแต่เท้ายังคงก้าวเดินต่อไปไม่หยุด
“โอเค จิมมี่เป็นชื่อที่ เอ่อ ดีนะ” ฮัน อันโตนิโอขานรับคำตอบ
“เมื่อกี้ผมบอกว่า ผมชื่อทิมมี่” เด็กชายหันมาค้อนใส่เสียงดัง
“ทิมมี่ก็ทิมมี่” ฮัน อันโตนิโอทั้งเดินทั้งวิ่งตามเด็กชายที่ดูจะเดินเร็วขึ้นเรื่อย เสียงพูดคุยกันของพวกเขาสะท้อนก้องในท่อระบายน้ำ อันโตนิโอเดินตัวโก่งค่อมตัวเมื่อท่อลงระบายน้ำเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ
เขามุดเข้าไปอีกท่อหนึ่งตามเด็กชายและเดินตรงไปยังทางออกอีกเส้นหนึ่ง พาพวกเขามุ่งไปยังท่อระบายที่มีประตูเหล็กวงกลมถูกล็อคอย่างแน่นหนา เด็กชายค้นหาบางอย่างในกระเป๋ากางเกงพวงกุญแจชุดใหญ่ถูกดึงออกมา เขาปลดล็อคประตูเหล็กนั่นได้อย่างง่ายดาย