วันดับสูญ...
...การดิ้นรนที่สูญเปล่า
สองแสนล้านกิโลเมตรจากดาวมาตุภูมิ
สองสัปดาห์ที่คณะผู้อพยพต้องดำรงชีวิตโดยถูกโอบล้อมด้วยความมืดมิดไกลสุดลูกหูลูกตา คนส่วนหนึ่งยังคงตื่นตาตื่นใจกับระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในยานและบรรยากาศของอวกาศ
บางคนชอบที่จะฝึกการปรับตัวอยู่ในห้องควบคุมแรงโน้มถ่วง บางคนก็ชื่นชอบที่จะมองหาสีสันแปลกตาที่ปรากฏขึ้นมาในอวกาศ หากแต่ส่วนใหญ่กลับหมดความสนใจในเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว ดังนั้นการเข้าสู่ห้วงนิทราในเครื่องจำศีลจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเขาต้องการ
แต่วันนี้มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ คนส่วนใหญ่หยุดกิจกรรมของตัวเองลงชั่วขณะเพื่อมาชุมนุมกันที่ห้องพักผ่อน ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่มอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ในห้องพักผ่อน
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินเริ่มเกิดความแปรปรวน ทั้งแผ่นดินไหว พายุ ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ที่โจมตีเข้ามาพร้อมๆ กันทั่วทุกมุมโลก ราวกับธรรมชาติทั้งหมดทั้งมวลร่วมมือกันเพื่อเอาคืนมนุษย์
และเมื่อรุ่งสางที่ผ่านมาบ้านเรือนที่เคยสะอาดสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยก็กลับเหลือเพียงซากปรักหักพัง พื้นถนนคอนกรีตราบเรียบกลับกลายเป็นเหวลึก รอยแยกของแผ่นดินมีให้เห็นได้ทั่วไป
โลกกำลังสั่นคลอนมากขึ้น มากขึ้น ไม่มีทางทุเลาลงและไม่มีการยุติ
ภาพทั้งหมดที่ฉายอยู่ในจอมอนิเตอร์เหล่านี้ทุกคนบนยานต่างรู้อยู่แก่ใจ มันจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อทุกอย่างหายไป ความโกลาหลเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มคลุ้มคลั่งเมื่อมองไม่เห็นทางรอด ซากศพเกลื่องกลาดเป็นภูเขาเลากา
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนจอ ผู้สังเกตการณ์บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ในขณะที่บางคนที่ใจไม่แข็งพอถึงกับเบือนหน้าหนีและเดินออกจากห้องไป
ภาพธรณีสูบ หินละลายร้อนระอุพวกพุ่งขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดินพร้อมๆ กับที่มันปล่อยควันพิษซึ่งมีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ
สภาพอากาศ ชั้นบรรยากาศ มหาสมุทรแปรปรวน ทุกอย่างยังเลวร้ายลงเรื่อยๆ หากนรกมีจริง ภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก
“ฝุ่บ”
กล้องสังเกตการณ์ตัวที่หนึ่งดับไปแล้ว นั่นทำให้คาดการณ์ได้ว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกถึงจุดจบแล้วเช่นกัน ทุกอย่างเป็นไปตามข้อมูล ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีการพลิกโผ ไม่มีปาฏิหาริย์ในวินาทีสุดท้าย
ภาพตัดมาที่กล้องสังเกตการณ์ตัวที่สอง ในนั้นฉายให้เห็นถึงเปลือกโลกที่บัดนี้มีแต่สีแดงของหินละลาย มันพุ่งพล่านปกคลุมอยู่ทั่วทั้งโลก ร้อนแรงราวกับดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน
กินเวลาเพียงไม่นาน เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม แสงจ้าที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้กล้องสังเกตการณ์ไม่อาจจับภาพบนผิวโลกได้อีกต่อไป
และ
“บูม...มมม”
และกล้องสังเกตการณ์ตัวที่สองก็ดับลง
ที่กล้องสังเกตการณ์ตัวที่สาม
แสงสีขาวพุ่งกระจายจากดาวที่เคยได้ชื่อว่าดาวเคราะห์สีน้ำเงิน อีกเพียงอึดใจต่อจากนั้นดาวทั้งดวงก็แตกออกไปเสี่ยงๆ กลายเป็นสะเก็ดดาวพุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง
ภายในห้องพักผ่อนตอนนี้แทบไม่เหลือใครนั่งดูอยู่แล้ว ไม่ว่าคนใจหินขนาดไหนก็คงจะทำใจยากที่ต้องเห็นจุดจบคนกว่าหกพันล้านคนกับตา คนที่ยังอยู่หลายคนก็ไม่ได้สนใจจะดูภาพในมอนิเตอร์ต่อ หลายคนก้มหน้า หลายคนเบือนหน้าหนีแสร้งมองอย่างอื่นแทน
สมชายถอนหายใจ นั่งนิ่งไม่ไหวติง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่มอนิเตอร์ ทุกสิ่งจบลงแล้ว เขาลุกขึ้นและยืนสงบนิ่งเสมือนเป็นการไว้อาลัยครั้งสุดท้ายต่อบุคคลทั้งหมดที่ต้องจากไป และต่อบ้านเกิดเมืองนอนที่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
เขารอจนกระทั่งคนออกไปจากห้องจนหมดแล้ว กำลังคิดจะเดินออกไปบ้าง
“ครืน...นนน บูม...มมม”
ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด แรงสั่นสะเทือนและเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็เกิดขึ้น ยานโนอาห์สั่นคลอนราวกับมีมือยักษ์กำลังจับและเขย่าไปมา
เสียงตกใจตื่นกลัวเซ็งแซ่ไปทั่วยาน สมชายรีบหันกลับไปยังมอนิเตอร์ ความผิดปกติของภาพในนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับเขา
กล้องสังเกตการณ์กำลังสั่น แทนที่มันจะจับภาพนิ่งและราบเรียบของอวกาศ แต่ภาพที่ฉายอยู่นั้นกำลังสั่น มีแรงสั่นสะเทือนบางอย่างเกิดขึ้น โลกดับสูญไปแล้ว แรงสั่นสะเทือนจากการแตกดับนั้นหยุดลงไปแล้ว
แล้วอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้น แรงสั่นสะเทือนนั่นคืออะไร
“ตึ่กๆ ตึ่กๆ”
สมชายได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดเจน มันหนักหน่วงราวกับจะหลุดออกจากอก แฟ้มความรู้ในสมองกำลังถูกค้นกระจายเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่กำลังเห็น
ยานสั่นสะเทือนมากขึ้น เสียงผู้คนบนยานก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความผิดปกติไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง
เม็ดเหงื่อผุดตามใบหน้า เส้นเลือดที่ขมับบีบรัดจนรู้สึกปวดหัว
“ระบบสุริยะกำลังสั่นสะเทือน”
เขารำพึงกับตัวเองเบาๆ การระเบิดควรจะจบลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันไม่ใช่ ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวอื่นๆ ในระบบสุริยะกำลังมีวงโคจรที่ผิดแปลกไป มันเริ่มสูญเสียทิศทางที่เคยโคจรมาตลอดทุกเมื่อเชื่อวันและเริ่มระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่
“ซูเปอร์โนวา”
ดาวฤกษ์ดังเช่นดวงอาทิตย์สามารถสร้างพลังงานความร้อนจากปฏิกิริยาฟิวชั่นโดยการหลอมรวมไฮโดรเจนสองอะตอมเข้าด้วยกันกลายเป็นฮีเลียมหนึ่งอะตอม การทำเช่นนั้นส่งผลให้มันคายพลังงานมหาศาลออกมา
พลังงานมหาศาลที่ได้นั้นจะส่งผลให้เกิดการรวมตัวของอะตอมชุดใหม่และเกิดการคายพลังงานออกมาอีกเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
เมื่อวัตถุดิบหมดลงนั่นก็หมายถึงดาวฤกษ์ได้เผาผลาญพลังงานในตัวของมันเองจนหมด ใจกลางของดวงดาวจะเกิดแรงดันมหาศาลของธาตุเหล็กซึ่งเป็นผลิตผลสุดท้ายของปฏิกิริยาฟิวชั่น และมันจะดันออกมาภายนอกเกิดเป็นการระเบิดรุนแรงที่เรียกว่าซูเปอร์โนวา หรือ นวมหาดารา
แต่นี่ดาวที่ระเบิดกลับกลายเป็นโลก ดาวเคราะห์หินที่ไม่มีทางจะเกิดปรากฏการณ์เช่นนั้นได้
หากมองถึงโครงสร้างของระบบสุริยะแล้ว โลกเป็นดาวที่อยู่กึ่งกลางระหว่างดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ก๊าซ และหนึ่งในดาวเคราะห์ก๊าซที่มีทั้งมวลและความร้อนสูงก็คือดาวพฤหัสบดี
สมชายจ้องมอนิเตอร์นิ่ง
ดาวเคราะห์โลกที่ดูไร้พิษสงกำลังก่อให้เกิดหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เฉพาะตัวของมันเอง หากแต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างต่างหาก ทั้งดวงดาว กาแลคซี่ หรือแม้แต่จักรวาลทั้งหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ การจัดเรียงตัวของดวงดาว ของกาแลคซี่ ทั้งหมดทั้งมวลถูกกำหนดมาแล้วเป็นอย่างดีและมีระเบียบแบบแผน
หลายคนเข้าใจว่าเมื่อเข้าสู่ภาวะโลกร้อนแล้วโลกจะแห้งแล้งขึ้น ฝนจะไม่ตก แผ่นดินจะแตกระแหง สายน้ำจะแห้งเหือด
แต่กลับกัน โลกพยายามจัดการกับสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นโดยการพยายามทำให้ฝนตกมากขึ้นและรุนแรงขึ้น และเมื่อฝนจำเป็นต้องตกมากและรุนแรงขึ้น สภาวะที่ช่วยทำให้ฝนตกก็ต้องรุนแรงขึ้นตามไปด้วย
ธรรมชาติจะพยายามทำตัวเองให้กลับเข้าสู่สมดุลเสมอ แต่นั่นกลับกลายเป็นภัยพิบัติ เป็นหายนะสำหรับมนุษย์ นั่นก็เพราะมนุษย์ได้ทำให้สมดุลเสียหายจนเกินกว่าที่จะแก้ไขได้แล้ว
นี่เอง...
ความจริงง่ายๆ ที่สมชายไม่ทันได้คิด นี่เองที่ทำให้เขากังวลมาตลอดตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง
การที่วงโคจรของดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ซึ่งเป็นดาวเคราะห์หินถูกนำมาคั่นระหว่างดวงอาทิตย์และดาวพฤหัสบดีรวมถึงดาวเคราะห์ก๊าซดวงอื่นๆ ถัดออกไป มันไม่ได้เป็นอยู่อย่างที่มันเป็นด้วยความบังเอิญ หากแต่เพราะมันเป็นอยู่อย่างที่มันเป็นต่างหากจึงทำให้เกิดระบบสุริยะได้
เขาลืมคิดไปว่าพลังงานที่ถึงขนาดทำให้ดาวเคราะห์หินแตกดับได้นั้นมันมหาศาลขนาดที่ไม่ว่าใครๆ ก็คงจินตนาการไม่ออกว่ามันขนาดไหน
และพลังงานที่ไม่ควรจะมีอยู่หรือควรจะถูกเก็บเอาไว้อยู่ในแกนกลางนั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมา มันกลับกลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างแหล่งพลังงานทั้งหมดในระบบสุริยะ
ความสมดุลของแรงดึงดูด กาลอวกาศ ของดวงดาวในระบบสุริยะได้สูญสลายไปแล้ว และดาวทั้งหมดกำลังแตกดับและปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดออกมาพร้อมๆ กัน
การระเบิดอย่างกว้างขวางและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวาลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
สมชายมองดวงดาวแต่ละดวงที่กำลังแตกดับในเวลาไล่เลี่ยกันสูญสลายไปจากจอมอนิเตอร์
ช่างเป็นการดิ้นรนที่สูญเปล่าจริงๆ
“ฝุ่บ”
กล้องสังเกตการณ์ตัวสุดท้ายดับลงไป
วันดับสูญ...การดิ้นรนที่สูญเปล่า
...การดิ้นรนที่สูญเปล่า
สองแสนล้านกิโลเมตรจากดาวมาตุภูมิ
สองสัปดาห์ที่คณะผู้อพยพต้องดำรงชีวิตโดยถูกโอบล้อมด้วยความมืดมิดไกลสุดลูกหูลูกตา คนส่วนหนึ่งยังคงตื่นตาตื่นใจกับระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในยานและบรรยากาศของอวกาศ
บางคนชอบที่จะฝึกการปรับตัวอยู่ในห้องควบคุมแรงโน้มถ่วง บางคนก็ชื่นชอบที่จะมองหาสีสันแปลกตาที่ปรากฏขึ้นมาในอวกาศ หากแต่ส่วนใหญ่กลับหมดความสนใจในเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว ดังนั้นการเข้าสู่ห้วงนิทราในเครื่องจำศีลจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเขาต้องการ
แต่วันนี้มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ คนส่วนใหญ่หยุดกิจกรรมของตัวเองลงชั่วขณะเพื่อมาชุมนุมกันที่ห้องพักผ่อน ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่มอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ในห้องพักผ่อน
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินเริ่มเกิดความแปรปรวน ทั้งแผ่นดินไหว พายุ ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ที่โจมตีเข้ามาพร้อมๆ กันทั่วทุกมุมโลก ราวกับธรรมชาติทั้งหมดทั้งมวลร่วมมือกันเพื่อเอาคืนมนุษย์
และเมื่อรุ่งสางที่ผ่านมาบ้านเรือนที่เคยสะอาดสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยก็กลับเหลือเพียงซากปรักหักพัง พื้นถนนคอนกรีตราบเรียบกลับกลายเป็นเหวลึก รอยแยกของแผ่นดินมีให้เห็นได้ทั่วไป
โลกกำลังสั่นคลอนมากขึ้น มากขึ้น ไม่มีทางทุเลาลงและไม่มีการยุติ
ภาพทั้งหมดที่ฉายอยู่ในจอมอนิเตอร์เหล่านี้ทุกคนบนยานต่างรู้อยู่แก่ใจ มันจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อทุกอย่างหายไป ความโกลาหลเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มคลุ้มคลั่งเมื่อมองไม่เห็นทางรอด ซากศพเกลื่องกลาดเป็นภูเขาเลากา
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นบนจอ ผู้สังเกตการณ์บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ในขณะที่บางคนที่ใจไม่แข็งพอถึงกับเบือนหน้าหนีและเดินออกจากห้องไป
ภาพธรณีสูบ หินละลายร้อนระอุพวกพุ่งขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดินพร้อมๆ กับที่มันปล่อยควันพิษซึ่งมีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ
สภาพอากาศ ชั้นบรรยากาศ มหาสมุทรแปรปรวน ทุกอย่างยังเลวร้ายลงเรื่อยๆ หากนรกมีจริง ภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก
“ฝุ่บ”
กล้องสังเกตการณ์ตัวที่หนึ่งดับไปแล้ว นั่นทำให้คาดการณ์ได้ว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกถึงจุดจบแล้วเช่นกัน ทุกอย่างเป็นไปตามข้อมูล ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีการพลิกโผ ไม่มีปาฏิหาริย์ในวินาทีสุดท้าย
ภาพตัดมาที่กล้องสังเกตการณ์ตัวที่สอง ในนั้นฉายให้เห็นถึงเปลือกโลกที่บัดนี้มีแต่สีแดงของหินละลาย มันพุ่งพล่านปกคลุมอยู่ทั่วทั้งโลก ร้อนแรงราวกับดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน
กินเวลาเพียงไม่นาน เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม แสงจ้าที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้กล้องสังเกตการณ์ไม่อาจจับภาพบนผิวโลกได้อีกต่อไป
และ
“บูม...มมม”
และกล้องสังเกตการณ์ตัวที่สองก็ดับลง
ที่กล้องสังเกตการณ์ตัวที่สาม
แสงสีขาวพุ่งกระจายจากดาวที่เคยได้ชื่อว่าดาวเคราะห์สีน้ำเงิน อีกเพียงอึดใจต่อจากนั้นดาวทั้งดวงก็แตกออกไปเสี่ยงๆ กลายเป็นสะเก็ดดาวพุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง
ภายในห้องพักผ่อนตอนนี้แทบไม่เหลือใครนั่งดูอยู่แล้ว ไม่ว่าคนใจหินขนาดไหนก็คงจะทำใจยากที่ต้องเห็นจุดจบคนกว่าหกพันล้านคนกับตา คนที่ยังอยู่หลายคนก็ไม่ได้สนใจจะดูภาพในมอนิเตอร์ต่อ หลายคนก้มหน้า หลายคนเบือนหน้าหนีแสร้งมองอย่างอื่นแทน
สมชายถอนหายใจ นั่งนิ่งไม่ไหวติง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่มอนิเตอร์ ทุกสิ่งจบลงแล้ว เขาลุกขึ้นและยืนสงบนิ่งเสมือนเป็นการไว้อาลัยครั้งสุดท้ายต่อบุคคลทั้งหมดที่ต้องจากไป และต่อบ้านเกิดเมืองนอนที่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
เขารอจนกระทั่งคนออกไปจากห้องจนหมดแล้ว กำลังคิดจะเดินออกไปบ้าง
“ครืน...นนน บูม...มมม”
ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด แรงสั่นสะเทือนและเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็เกิดขึ้น ยานโนอาห์สั่นคลอนราวกับมีมือยักษ์กำลังจับและเขย่าไปมา
เสียงตกใจตื่นกลัวเซ็งแซ่ไปทั่วยาน สมชายรีบหันกลับไปยังมอนิเตอร์ ความผิดปกติของภาพในนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับเขา
กล้องสังเกตการณ์กำลังสั่น แทนที่มันจะจับภาพนิ่งและราบเรียบของอวกาศ แต่ภาพที่ฉายอยู่นั้นกำลังสั่น มีแรงสั่นสะเทือนบางอย่างเกิดขึ้น โลกดับสูญไปแล้ว แรงสั่นสะเทือนจากการแตกดับนั้นหยุดลงไปแล้ว
แล้วอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้น แรงสั่นสะเทือนนั่นคืออะไร
“ตึ่กๆ ตึ่กๆ”
สมชายได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดเจน มันหนักหน่วงราวกับจะหลุดออกจากอก แฟ้มความรู้ในสมองกำลังถูกค้นกระจายเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่กำลังเห็น
ยานสั่นสะเทือนมากขึ้น เสียงผู้คนบนยานก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความผิดปกติไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง
เม็ดเหงื่อผุดตามใบหน้า เส้นเลือดที่ขมับบีบรัดจนรู้สึกปวดหัว
“ระบบสุริยะกำลังสั่นสะเทือน”
เขารำพึงกับตัวเองเบาๆ การระเบิดควรจะจบลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันไม่ใช่ ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวอื่นๆ ในระบบสุริยะกำลังมีวงโคจรที่ผิดแปลกไป มันเริ่มสูญเสียทิศทางที่เคยโคจรมาตลอดทุกเมื่อเชื่อวันและเริ่มระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่
“ซูเปอร์โนวา”
ดาวฤกษ์ดังเช่นดวงอาทิตย์สามารถสร้างพลังงานความร้อนจากปฏิกิริยาฟิวชั่นโดยการหลอมรวมไฮโดรเจนสองอะตอมเข้าด้วยกันกลายเป็นฮีเลียมหนึ่งอะตอม การทำเช่นนั้นส่งผลให้มันคายพลังงานมหาศาลออกมา
พลังงานมหาศาลที่ได้นั้นจะส่งผลให้เกิดการรวมตัวของอะตอมชุดใหม่และเกิดการคายพลังงานออกมาอีกเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
เมื่อวัตถุดิบหมดลงนั่นก็หมายถึงดาวฤกษ์ได้เผาผลาญพลังงานในตัวของมันเองจนหมด ใจกลางของดวงดาวจะเกิดแรงดันมหาศาลของธาตุเหล็กซึ่งเป็นผลิตผลสุดท้ายของปฏิกิริยาฟิวชั่น และมันจะดันออกมาภายนอกเกิดเป็นการระเบิดรุนแรงที่เรียกว่าซูเปอร์โนวา หรือ นวมหาดารา
แต่นี่ดาวที่ระเบิดกลับกลายเป็นโลก ดาวเคราะห์หินที่ไม่มีทางจะเกิดปรากฏการณ์เช่นนั้นได้
หากมองถึงโครงสร้างของระบบสุริยะแล้ว โลกเป็นดาวที่อยู่กึ่งกลางระหว่างดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ก๊าซ และหนึ่งในดาวเคราะห์ก๊าซที่มีทั้งมวลและความร้อนสูงก็คือดาวพฤหัสบดี
สมชายจ้องมอนิเตอร์นิ่ง
ดาวเคราะห์โลกที่ดูไร้พิษสงกำลังก่อให้เกิดหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เฉพาะตัวของมันเอง หากแต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างต่างหาก ทั้งดวงดาว กาแลคซี่ หรือแม้แต่จักรวาลทั้งหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ การจัดเรียงตัวของดวงดาว ของกาแลคซี่ ทั้งหมดทั้งมวลถูกกำหนดมาแล้วเป็นอย่างดีและมีระเบียบแบบแผน
หลายคนเข้าใจว่าเมื่อเข้าสู่ภาวะโลกร้อนแล้วโลกจะแห้งแล้งขึ้น ฝนจะไม่ตก แผ่นดินจะแตกระแหง สายน้ำจะแห้งเหือด
แต่กลับกัน โลกพยายามจัดการกับสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นโดยการพยายามทำให้ฝนตกมากขึ้นและรุนแรงขึ้น และเมื่อฝนจำเป็นต้องตกมากและรุนแรงขึ้น สภาวะที่ช่วยทำให้ฝนตกก็ต้องรุนแรงขึ้นตามไปด้วย
ธรรมชาติจะพยายามทำตัวเองให้กลับเข้าสู่สมดุลเสมอ แต่นั่นกลับกลายเป็นภัยพิบัติ เป็นหายนะสำหรับมนุษย์ นั่นก็เพราะมนุษย์ได้ทำให้สมดุลเสียหายจนเกินกว่าที่จะแก้ไขได้แล้ว
นี่เอง...
ความจริงง่ายๆ ที่สมชายไม่ทันได้คิด นี่เองที่ทำให้เขากังวลมาตลอดตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง
การที่วงโคจรของดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ซึ่งเป็นดาวเคราะห์หินถูกนำมาคั่นระหว่างดวงอาทิตย์และดาวพฤหัสบดีรวมถึงดาวเคราะห์ก๊าซดวงอื่นๆ ถัดออกไป มันไม่ได้เป็นอยู่อย่างที่มันเป็นด้วยความบังเอิญ หากแต่เพราะมันเป็นอยู่อย่างที่มันเป็นต่างหากจึงทำให้เกิดระบบสุริยะได้
เขาลืมคิดไปว่าพลังงานที่ถึงขนาดทำให้ดาวเคราะห์หินแตกดับได้นั้นมันมหาศาลขนาดที่ไม่ว่าใครๆ ก็คงจินตนาการไม่ออกว่ามันขนาดไหน
และพลังงานที่ไม่ควรจะมีอยู่หรือควรจะถูกเก็บเอาไว้อยู่ในแกนกลางนั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมา มันกลับกลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างแหล่งพลังงานทั้งหมดในระบบสุริยะ
ความสมดุลของแรงดึงดูด กาลอวกาศ ของดวงดาวในระบบสุริยะได้สูญสลายไปแล้ว และดาวทั้งหมดกำลังแตกดับและปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดออกมาพร้อมๆ กัน
การระเบิดอย่างกว้างขวางและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวาลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
สมชายมองดวงดาวแต่ละดวงที่กำลังแตกดับในเวลาไล่เลี่ยกันสูญสลายไปจากจอมอนิเตอร์
ช่างเป็นการดิ้นรนที่สูญเปล่าจริงๆ
“ฝุ่บ”
กล้องสังเกตการณ์ตัวสุดท้ายดับลงไป