ตอนที่ 5 part2 ตอนจบ
ชายแก่รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผมหงอกขาวประปรายปนกับผมสีดำ ดวงตาเล็กแหลมเฉียงแววตาดุดัน ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยที่เลยมาถึงห้าหกปีแล้ว เขาอยู่ในชุดกางเกงยีนส์ขายาวเนื้อผ้าเก่าซีดกับเสื้อยืดสีขาวคอกลม เดินมาหยุดอยู่ตรงกลางวงล้อมทหาร แล้วสั่งทหารให้ลดปืนลง
“คุณบอกว่าพาเด็กมาตามหาพ่อกับแม่ใช่ไหม” ชายแก่เอ่ยขึ้น เขาถามอันโตนิโอแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่ทิมมี่คนเดียว
ไม่รอให้อันโตนิโอได้พูดโต้ตอบ ชายแก่ก็พูดขึ้นมาก่อน
“มานี่เจ้าหนู” ชายแก่กวักมือเรียกทิมมี่ ทิมมี่เดินเก้ๆกังๆตรงมาหาเขาด้วยความประหม่า ชายแก่จ้องมองทิมมี่ใกล้ๆ
“เธอมีแหวนไหม” ชายแก่เอ่ยถาม ทิมมี่ดึงสร้อยเงินที่อยู่ใต้เสื้อออกมามีแหวนเพชรสองวงห้อยอยู่ที่สร้อยนั่น ชายแก่จับแหวนพิจารณาอย่างทีถ้วน
“ตามฉันมาเจ้าหนู” ชายแก่สาวเท้าเดินนำหน้า มีทิมมี่เดินตามและอันโตนิโอวิ่งตามมาติดๆ เขาพาทั้งสองมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวมีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง มีโต๊ะวงกลมและเก้าอี้สีขาวสี่ตัวตั้งไว้รอบโต๊ะ ฝาผนังโดยรอบมีรูปภาพวาดสีน้ำมันเป็นรูปจำพวก ภูเขา ต้นไม้ ดอกไม้ ทะเล รูปวิวธรรมชาติที่อันโตนิโอมองดูแล้วนึกแปลกใจกับความสวยงามของมัน
เป็นภาพวาดที่มีมนต์ขลังและมีเสน่ห์จริงๆ เขาครุ่นคิดในใจ
ชายแก่บอกให้ทั้งสองนั่งบนเก้าอี้สีขาว ส่วนเขานั่งตรงข้ามกับทิมมี่ ชายแก่มองหน้าทิมมี่สลับกับอันโตนิโอไปมาก่อนจะมาหยุดที่ทิมมี่
“ฉันแน่ใจว่าเธอคือดนัย ลูกชายของดอกเตอร์ชาติชายและแพทย์หญิงพิมพ์ผกา ฉันเห็นแหวนแวบเดียวก็จำได้แล้ว และหน้าเธอเหมือนพ่อมาก ชาติชายเขาเป็นเพื่อนฉันน่ะ ฉันจำเขาได้ดีแม้เวลาจะผ่านมาสิบสามปี” ชายแก่เริ่มพูด และไม่รู้จะเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวให้เด็กน้อยคนนี้ฟังยังไง
“ผมชื่อดนัยหรือครับ คุณเป็นเพื่อนพ่อผม แล้วพวกเขาอยู่ไหน พ่อกับแม่ผมอยู่ไหน”
คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาสุดที่ทิมมี่จะห้ามได้ เขาอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาเกี่ยวกับพ่อแม่ หัวใจของเขาเต้นรัว น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด เขาจะได้เจอพ่อกับแม่แล้วเพียงเท่านี้เขาก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“นี่ใช่ดาวโลกหรือเปล่าครับ”
ความสงสัยของอันโตนิโอก็ทำให้เขาอดที่เอ่ยแทรกถามขึ้นมาไม่ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามาถูกที่ เพราะเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่าดาวนี่ใช่ดาวโลกจริงไหม ดูแล้วไม่เหมือนกับที่เขาเคยศึกษามาเลย
ชายแก่นิ่งเงียบไม่พูดตอบ สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบ้างอย่าง สายตาของเขาเหม่อลอยมาไปที่ประตู ก่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ไม่มีโลกให้เราได้อยู่กันอีกต่อไปแล้ว พวกเราทุกคนทำลายโลกที่แสนสวยงาม บดขยี้โลกด้วยมือของพวกเราเอง ใช้พลังงานทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่เห็นคุณค่า สูบกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่โลกสร้างมาให้ เป็นเวลามาเนิ่นนานเหลือเกิน” ชายแก่หยุดพักเพื่อที่จะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ผ่อนคลายตัว
“ความมักง่ายละโมบโลภมากของมนุษย์ไม่เคยมีวันพอ วันแล้ววันเล่า เราดึงพลังงานมาใช้อย่าสนุกสนาน เราปล่อยสิ่งปฏิกูลพิษร้ายแรงลงสู่พื้นดินแม่น้ำอากาศ เราทะนงตน ว่ายิ่งใหญ่เราสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่ภัยธรรมชาติ แต่เราทุกคนคิดผิด” ชายแก่หยุดพักระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“ธรรมชาติกลับมาทวงสิ่งที่เป็นของมันคืน ภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก น้ำท่วมใหญ่กวาดล้างผู้คนให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก ศพหลายหมื่นศพนอนเกลื่อนตามท้องถนน ไฟป่าโหมกระหน่ำปกคลุมภูเขาลูกแล้วลูกเล่าเปลวเพลิงโบกสะบัดเริงร่าท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน ตามมาด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัสของคนทั่วมุมโลก ความทุกข์ทรมานกัดกินหัวใจมนุษย์ทุกคน” ชายแก่หยุดเว้นวรรคเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในสิ่งที่ตัวเองเล่า
“แล้วเกิดอะไรกับพ่อแม่ผมฮะ” ทิมมี่ฟังแล้วนึกเป็นห่วงพ่อกับแม่ขึ้นมา ชายแก่หันมาสบตาทิมมี่ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“แผ่นดินแห้งแล้งไปทั่วทุกหนแห่ง ผู้คนล้มตายจากโรคระบาดที่ไม่มียารักษา อาหารขาดแคลนเราต่างเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงอาหาร แล้วแผ่นดินก็เริ่มแตกระแหงลุกร้อนเป็นไฟเหมือนจะระเบิด โลกของเราอยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ธรรมชาติกำลังเอาทุกอย่างกลับคืน”
“ยานอพยพหลายลำพุ่งทะยานสู่อวกาศมาที่ดาวเคปเลอร์ ที่ที่เราอยู่ตอนนี้ล่ะ” ชายแก่หยุดพูดเพื่อเดินไปหยิบน้ำขวดที่วางอยู่มุมห้อง มาให้พวกเขาคนละขวด ชายแก่กลับมานั่งแล้วเล่าต่อ
“ยานอพยพลำแล้วลำทะยานสู่อวกาศ และลำสุดท้ายลำที่เธอนั่งมากับพ่อแม่ ระบบสูบฉีดพลังงานไม่ทำงาน ตัวส่งพลังงานไม่สามารถไหลผ่านไปยังท่อได้ ยานจะระเบิดถ้าไม่สามารถแก้ไขให้ทันการ” ชายแก่หยุดพูดเพื่อระบายลมหายใจ เขาเริ่มอ่อนแรงแววตาแฝงไปด้วยความเศร้า น้ำเสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้นฮะ” ทิมมี่แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้เมื่อพูดถึงพ่อกับแม่
“เด็กทารกเจ็ดคนถูกยัดใส่แคปซูลแล้วดีดพวกเขาออกจากยาน แคปซูลเจ็ดกล่องแตกกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง เพียงเวลาไม่นานยานลำนั่นก็ระเบิด”
“พ่อกับแม่ผมอยู่ในยานลำนั่น” ทิมมี่พูดเสียงสั่นคลอน้ำใสๆเอ่อนองในตาทั้งสองข้าง
“ใช่ พวกเขาอยู่ในนั่น พวกเขารักเธอมากนะดนัย พวกเขาฝากเธอให้ฉันดูแลเธอ ฉันออกตามหาเธอทั่วอวกาศแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตัวส่งสัญญาณที่แคปซูลไม่ทำงาน ฉันเหมือนคนขมเข็มในมหาสมุทร”
ชายแก่โน้มตัวมาใกล้ทิมมี่ก่อนจะใช้มือลูกหัวเขาเบาๆ
“ตาเธอเหมือนแม่ จมูกของเธอเหมือนพ่อ” ชายแก่พูดพลางกับบีบจมูกทิมมี่เล่นอย่างเอ็นดู
“เธอควรเรียกฉันว่าลุงนะ เรียกฉันว่าลุงโน๊ตเข้าใจไหม” ชายแก่ลูกหัวทิมมี่อีกครั้ง
“ครับ ลุงโน๊ต” ทิมมี่เรียกแผ่วเบา ใจของเขายังคงนึกถึงพ่อกับแม่ เขาเคยคิดมาตลอดว่าพ่อแม่ไม่รักเขา แต่วันนี้ได้มารู้ความจริงว่าทั้งสองรักเขามาแค่ไหน ทั้งสองปกป้องเขา ยอมเสียสละเสียชีวิตตัวเองเพื่อให้เขาอยู่รอดปลอดภัย เมื่อคิดได้แบบนี้น้ำตาของทิมมี่ก็ไหลออกมาจนสุดห้าม
“อย่าร้องหนูน้อย พ่อกับแม่ของเธอไม่ได้ไปไหนเลย พวกเขาอยู่ตรงนี้ในใจของเธอ พวกเขาอยู่กับเธอตลอดเวลา” ลุงโน๊ตใช้มือตัวเองตบที่อกข้างซ้ายของทิมมี่เบาๆเพื่อปลอบประโลม
“พ่อกับแม่ของหลานเป็นคนดีดนัย พวกเขาทุ่มเทใจแรงกายทุกอย่างเมื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แม่ของเธอเป็นหมอนะ เธอช่วยผู้ที่เจ็บป่วยแบบไม่หลับไม่นอนติดต่อกันยาวสามวัน คนไข้ล้นโรงพยาบาล หมอไม่เพียงพอ แต่เธอก็ยืนหยัดเพื่อช่วยคนไข้ของเธออย่างเต็มที่ที่สุด” ลุงโน๊ตหยุดพูด เมื่อเห็นหลานชายมีแววตาที่สดใสขึ้น ทิมมี่ปาดน้ำตาตัวเองรอยยิ้มนิดๆปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ผมภูมิใจในตัวแม่มากเลยฮะ” ทิมมี่พูดแผ่วเบาน้ำเสียงสั่นคลอเล็กน้อย ลุงโน๊ตพยักหน้าให้อย่างเข้าใจก่อนจะพูดต่อ
“ส่วนพ่อของหลานชาติชายเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำงานแทบจะไม่มีวันหยุด เขาต้องวิจัยตรวจสอบและแก้ปัญหาหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องงานของเขาเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่างานที่เขาทำ มันจะช่วยปกป้องโลกของเราไม่ให้แตกสลายได้แต่ก็ยังช่วยไว้ไม่ได้”
“พ่อกับแม่ผม เขาเป็นคนเก่งจังเลยฮะ” ทิมมี่หันไปพูดกับอันโตนิโอ แววตาสดใสขึ้นกว่าเก่าใบหน้าอมยิ้มด้วยความปลาบปลื้มในตัวพ่อแม่
“ใช่ พ่อกับแม่ของเธอเก่งมากทิมมี่ ฉันก็พอจะรู้แล้วว่าเธอเก่งเหมือนใคร และฉันดีใจแทนเธอที่ได้รู้เรื่องราวของตัวเอง” อันโตนิโอตบไหล่ทิมมี่เบาๆเพื่อแสดงความยินดี กับเรื่องราวทิมมี่ที่ได้รับการเปิดเผยเสียที
“แล้วเด็กอีกหกคนที่เหลือล่ะครับ” อันโตนิโอเอ่ยถามลุงโน๊ตด้วยความสงสัย
“พวกเราออกไปตามหาพวกเขากลับมา ตามสัญญาณที่ติดไว้ในแคปซูล ได้ตัวพวกเขามาห้าคน อีกสองคนหายไม่เจอ เด็กทารกหญิงคนหนึ่งและหลานดนัย ลุงหาหลานไม่เจอ ลุงพยายามแล้วแทบจะพลิกจักรวาลหาเลยก็ว่าได้ สัญญาณที่ตัวแคปซูลไม่ส่งบอกตำแหน่งอะไรเลย” ลุงโน๊ตบอกกับหลานชายที่นั่งฟังอย่างตั้งใจและทิมมี่เริ่มมองเห็นความรักที่ทุกคนมอบให้เขา
“ลุงเลยคิดว่าหลานอาจตกลงไปในเซ็นเซอร์อวกาศ” ลุงโน๊ตพูดต่อ
“เซ็นเซอร์อวกาศคืออะไรฮะ” ทิมมี่ถามกลับด้วยความสงสัย
“มวลพลังงามหาศาลของจักรวาล ที่เคลื่อนตัวไปรอบเอกภพทั้งหมด มันจะดึงดูดสิ่งที่อยู่ใกล้เข้าไปในมวลพลังงานนั่น แล้วส่งสิ่งที่ดึงดูดไปโผล่ในอีกมิติหนึ่ง หรือไปโผล่ยังสถานที่หนึ่งที่ไกลออกไป” ลุงโน๊ตอธิบาย
“เหมือนเครื่องวาร์ปของฮันซินะฮะ” ทิมมี่หันไปถามอันโตนิโออย่างตื่นเต้น
“ใช่เหมือน แต่ไม่เหมือนกันนะ เซ็นเซอร์จักรวาล เป็นมวลพลังงานที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คนเราไม่สามารถควบคุมได้ว่าต้องไปโผล่ที่ไหน ส่วนเครื่องวาร์ปเป็นเพียงสิ่งที่คนสร้างขึ้นมาเลียนแบบ เซ็นเซอร์จักรวาลนี่ล่ะ” อันโตนิโออธิบายให้ทิมมี่ฟังอย่างผู้รอบรู้ และลุงโน๊ตก็พยักหน้าให้อันโตนิโอด้วยความชื่นชม
“แล้วมันต่างจากหลุมดำยังไงล่ะฮะ หลุมดำก็มีมวลมหาศาลและดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้เข้าไปเหมือนกัน” ทิมมี่ถามด้วยความสงสัย เขาเคยอ่านเจอเรื่องหลุมดำในบ้านของวาติน ในคืนที่วาตินชวนเขาไปกินข้าวแต่เขายังอ่านไม่จบ
“ต่างกันมากเลยจ้ะ หลุมดำมีมวลมหาศาลและดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปก็จริง แต่มันจะบดขยี้ทุกอย่างให้เป็นเศษผงธุลีเพียงชั่วพริบตา” ลุงโน๊ตอธิบายเสริมต่อจากอันโตนิโอ
“ท่าทางจะอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนพ่อแล้วนะ” ลุงโน๊ตพูดแซวหลานชายตัวน้อย
ทิมมี่และอันโตนิโอพักที่ดาวเคปเลอร์นานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทิมมี่แสนจะดีใจเป็นที่สุดเมื่อได้รู้จักกับเพื่อนๆของพ่อกับแม่หลายคน ทุกคนเล่าเรื่องราวเก่าก่อนให้ทิมมี่ฟังจนทิมมี่รู้สึกเลยว่าพ่อกับแม่อยู่ที่นี้ อยู่กับเขาตลอดเวลาทั้งสองไม่เคยทิ้งเขาไปไหน
ทิมมี่ได้รูปถ่ายของพ่อกับแม่ที่เพื่อนคนหนึ่งของแม่มอบให้เขา ในรูปมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยผมสีดำขลับปะบ่า รอยยิ้มสดใสเผยให้เห็นฟันขาวสวยงาม อีกคนเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอม ผมสีดำชี้ตั้งดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ แววตาขี้เล่นซุกซน มีเด็กทารกน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มจ้ำม่ำนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม ทุกคนส่งยิ้มสดใสไม่เว้นแม้แต่ทารกน้อย
ทิมมี่เห็นแหวนสองวงที่อยู่บนนิ้วนางของคนทั้งสองเขาจำได้ดีนั่นคือแหวนที่อยู่ติดตัวเขามาตลอดเวลา ในรูปถ่ายนั่นคือพ่อแม่และตัวเขาเอง ทิมมี่มองดูรูปนั่นน้ำตาไหลพรากมันเป็นความรู้สึกทุกข์ปนสุขที่เขาเองก็บอกไม่ถูก แต่หัวใจของเขารับรู้ถึงความรักความอบอุ่นที่คนทั้งสองมอบให้เขา ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาคงเป็นเด็กกำพร้าที่โชคดีและมีความสุขที่สุดในจักรวาล
ทิมมี่ตัดสินใจออกเดินทางไปท่องอวกาศกับอันโตนิโอ แม้ลุงโน๊ตจะพยายามลบเล้าให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ แต่ทิมมี่อยากทำงานช่วยเหลือทุกคนเหมือนกับที่พ่อกับแม่ทำ การได้ไปท่องอวกาศอาจทำให้เขาได้ไปพบเจอผู้คนที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ อย่างเช่นไซเทน เขาก็จะหยิบยื่นความช่วยเหลือไปสู่ผู้ที่ต้องการ
แต่ลุงโน๊ตก็กำชับให้ทิมมี่กลับมาที่นี้ทุกๆหนึ่งเดือน ถ้าไม่ทำตามลุงโน๊ตจะไม่ให้ทิมมี่ไป ทิมมี่กับอันโตนิโอจึงต้องรับปากตามนั่น
ยานของอันโตนิโอถูกดูแลซ่อมแซมเป็นอย่างดี จากช่างมือดีหลายคนที่ดาวเคปเลอร์พวกติดตั้งระบบใหม่ให้กับยานของอันโตนิโอหลายอย่าง และอัพเกรดเครื่องวาร์ปให้ทันสมัยใช้งานได้ไม่จำกัดระยะทาง อันโตนิโอแสนจะเป็นปลื้มที่ยานของเขาได้อัพเกรดเครื่องวาร์ปใหม่โดยที่เขาไม่ต้องเสียงเงินซักบาท ก็ทำให้เจ้าของยานอย่างเขาต้องตามขอบคุณคนโน้นทีคนนี่ทีเป็นว่าเล่น
ส่วนทิมมี่หรือดนัยก็ได้ธนูใหม่เอี่ยมที่ลุงโน๊ตสั่งทำเป็นพิเศษให้เหมาะกับรูปร่างของทิมมี่ ลุงโน๊ตได้เห็นความแม่ยำในการยิงธนูของหลานชายแล้ว ก็อดที่จะเอ่ยปากชวนทิมมี่ให้มาเป็นทหารในกองทัพของตน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากหลานชายตัวน้อยอยู่เนืองๆ
อันโตนิโอกับทิมมี่ทะยานสู่อวกาศอีกครั้งการผจญภัยครั้งใหม่ของคนทั้งสองเพิ่งเริ่มต้นขึ้น หนึ่งนักเล่าเรื่องและหนึ่งนักช่วยเหลือกำลังจะสร้างตำนานให้จักรวาลได้จดจำพวกเขาไปตลอดกาล
จบบริบูรณ์คะ
ฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่องแห่งจักรวาล ตอนที่ 5 Part2....(ตอนจบ)
ชายแก่รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผมหงอกขาวประปรายปนกับผมสีดำ ดวงตาเล็กแหลมเฉียงแววตาดุดัน ใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยที่เลยมาถึงห้าหกปีแล้ว เขาอยู่ในชุดกางเกงยีนส์ขายาวเนื้อผ้าเก่าซีดกับเสื้อยืดสีขาวคอกลม เดินมาหยุดอยู่ตรงกลางวงล้อมทหาร แล้วสั่งทหารให้ลดปืนลง
“คุณบอกว่าพาเด็กมาตามหาพ่อกับแม่ใช่ไหม” ชายแก่เอ่ยขึ้น เขาถามอันโตนิโอแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่ทิมมี่คนเดียว
ไม่รอให้อันโตนิโอได้พูดโต้ตอบ ชายแก่ก็พูดขึ้นมาก่อน
“มานี่เจ้าหนู” ชายแก่กวักมือเรียกทิมมี่ ทิมมี่เดินเก้ๆกังๆตรงมาหาเขาด้วยความประหม่า ชายแก่จ้องมองทิมมี่ใกล้ๆ
“เธอมีแหวนไหม” ชายแก่เอ่ยถาม ทิมมี่ดึงสร้อยเงินที่อยู่ใต้เสื้อออกมามีแหวนเพชรสองวงห้อยอยู่ที่สร้อยนั่น ชายแก่จับแหวนพิจารณาอย่างทีถ้วน
“ตามฉันมาเจ้าหนู” ชายแก่สาวเท้าเดินนำหน้า มีทิมมี่เดินตามและอันโตนิโอวิ่งตามมาติดๆ เขาพาทั้งสองมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวมีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง มีโต๊ะวงกลมและเก้าอี้สีขาวสี่ตัวตั้งไว้รอบโต๊ะ ฝาผนังโดยรอบมีรูปภาพวาดสีน้ำมันเป็นรูปจำพวก ภูเขา ต้นไม้ ดอกไม้ ทะเล รูปวิวธรรมชาติที่อันโตนิโอมองดูแล้วนึกแปลกใจกับความสวยงามของมัน เป็นภาพวาดที่มีมนต์ขลังและมีเสน่ห์จริงๆ เขาครุ่นคิดในใจ
ชายแก่บอกให้ทั้งสองนั่งบนเก้าอี้สีขาว ส่วนเขานั่งตรงข้ามกับทิมมี่ ชายแก่มองหน้าทิมมี่สลับกับอันโตนิโอไปมาก่อนจะมาหยุดที่ทิมมี่
“ฉันแน่ใจว่าเธอคือดนัย ลูกชายของดอกเตอร์ชาติชายและแพทย์หญิงพิมพ์ผกา ฉันเห็นแหวนแวบเดียวก็จำได้แล้ว และหน้าเธอเหมือนพ่อมาก ชาติชายเขาเป็นเพื่อนฉันน่ะ ฉันจำเขาได้ดีแม้เวลาจะผ่านมาสิบสามปี” ชายแก่เริ่มพูด และไม่รู้จะเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวให้เด็กน้อยคนนี้ฟังยังไง
“ผมชื่อดนัยหรือครับ คุณเป็นเพื่อนพ่อผม แล้วพวกเขาอยู่ไหน พ่อกับแม่ผมอยู่ไหน”
คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาสุดที่ทิมมี่จะห้ามได้ เขาอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาเกี่ยวกับพ่อแม่ หัวใจของเขาเต้นรัว น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด เขาจะได้เจอพ่อกับแม่แล้วเพียงเท่านี้เขาก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“นี่ใช่ดาวโลกหรือเปล่าครับ”
ความสงสัยของอันโตนิโอก็ทำให้เขาอดที่เอ่ยแทรกถามขึ้นมาไม่ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามาถูกที่ เพราะเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่าดาวนี่ใช่ดาวโลกจริงไหม ดูแล้วไม่เหมือนกับที่เขาเคยศึกษามาเลย
ชายแก่นิ่งเงียบไม่พูดตอบ สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบ้างอย่าง สายตาของเขาเหม่อลอยมาไปที่ประตู ก่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ไม่มีโลกให้เราได้อยู่กันอีกต่อไปแล้ว พวกเราทุกคนทำลายโลกที่แสนสวยงาม บดขยี้โลกด้วยมือของพวกเราเอง ใช้พลังงานทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่เห็นคุณค่า สูบกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่โลกสร้างมาให้ เป็นเวลามาเนิ่นนานเหลือเกิน” ชายแก่หยุดพักเพื่อที่จะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ผ่อนคลายตัว
“ความมักง่ายละโมบโลภมากของมนุษย์ไม่เคยมีวันพอ วันแล้ววันเล่า เราดึงพลังงานมาใช้อย่าสนุกสนาน เราปล่อยสิ่งปฏิกูลพิษร้ายแรงลงสู่พื้นดินแม่น้ำอากาศ เราทะนงตน ว่ายิ่งใหญ่เราสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่ภัยธรรมชาติ แต่เราทุกคนคิดผิด” ชายแก่หยุดพักระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“ธรรมชาติกลับมาทวงสิ่งที่เป็นของมันคืน ภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก น้ำท่วมใหญ่กวาดล้างผู้คนให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก ศพหลายหมื่นศพนอนเกลื่อนตามท้องถนน ไฟป่าโหมกระหน่ำปกคลุมภูเขาลูกแล้วลูกเล่าเปลวเพลิงโบกสะบัดเริงร่าท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน ตามมาด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัสของคนทั่วมุมโลก ความทุกข์ทรมานกัดกินหัวใจมนุษย์ทุกคน” ชายแก่หยุดเว้นวรรคเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในสิ่งที่ตัวเองเล่า
“แล้วเกิดอะไรกับพ่อแม่ผมฮะ” ทิมมี่ฟังแล้วนึกเป็นห่วงพ่อกับแม่ขึ้นมา ชายแก่หันมาสบตาทิมมี่ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“แผ่นดินแห้งแล้งไปทั่วทุกหนแห่ง ผู้คนล้มตายจากโรคระบาดที่ไม่มียารักษา อาหารขาดแคลนเราต่างเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงอาหาร แล้วแผ่นดินก็เริ่มแตกระแหงลุกร้อนเป็นไฟเหมือนจะระเบิด โลกของเราอยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ธรรมชาติกำลังเอาทุกอย่างกลับคืน”
“ยานอพยพหลายลำพุ่งทะยานสู่อวกาศมาที่ดาวเคปเลอร์ ที่ที่เราอยู่ตอนนี้ล่ะ” ชายแก่หยุดพูดเพื่อเดินไปหยิบน้ำขวดที่วางอยู่มุมห้อง มาให้พวกเขาคนละขวด ชายแก่กลับมานั่งแล้วเล่าต่อ
“ยานอพยพลำแล้วลำทะยานสู่อวกาศ และลำสุดท้ายลำที่เธอนั่งมากับพ่อแม่ ระบบสูบฉีดพลังงานไม่ทำงาน ตัวส่งพลังงานไม่สามารถไหลผ่านไปยังท่อได้ ยานจะระเบิดถ้าไม่สามารถแก้ไขให้ทันการ” ชายแก่หยุดพูดเพื่อระบายลมหายใจ เขาเริ่มอ่อนแรงแววตาแฝงไปด้วยความเศร้า น้ำเสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้นฮะ” ทิมมี่แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้เมื่อพูดถึงพ่อกับแม่
“เด็กทารกเจ็ดคนถูกยัดใส่แคปซูลแล้วดีดพวกเขาออกจากยาน แคปซูลเจ็ดกล่องแตกกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง เพียงเวลาไม่นานยานลำนั่นก็ระเบิด”
“พ่อกับแม่ผมอยู่ในยานลำนั่น” ทิมมี่พูดเสียงสั่นคลอน้ำใสๆเอ่อนองในตาทั้งสองข้าง
“ใช่ พวกเขาอยู่ในนั่น พวกเขารักเธอมากนะดนัย พวกเขาฝากเธอให้ฉันดูแลเธอ ฉันออกตามหาเธอทั่วอวกาศแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตัวส่งสัญญาณที่แคปซูลไม่ทำงาน ฉันเหมือนคนขมเข็มในมหาสมุทร”
ชายแก่โน้มตัวมาใกล้ทิมมี่ก่อนจะใช้มือลูกหัวเขาเบาๆ
“ตาเธอเหมือนแม่ จมูกของเธอเหมือนพ่อ” ชายแก่พูดพลางกับบีบจมูกทิมมี่เล่นอย่างเอ็นดู
“เธอควรเรียกฉันว่าลุงนะ เรียกฉันว่าลุงโน๊ตเข้าใจไหม” ชายแก่ลูกหัวทิมมี่อีกครั้ง
“ครับ ลุงโน๊ต” ทิมมี่เรียกแผ่วเบา ใจของเขายังคงนึกถึงพ่อกับแม่ เขาเคยคิดมาตลอดว่าพ่อแม่ไม่รักเขา แต่วันนี้ได้มารู้ความจริงว่าทั้งสองรักเขามาแค่ไหน ทั้งสองปกป้องเขา ยอมเสียสละเสียชีวิตตัวเองเพื่อให้เขาอยู่รอดปลอดภัย เมื่อคิดได้แบบนี้น้ำตาของทิมมี่ก็ไหลออกมาจนสุดห้าม
“อย่าร้องหนูน้อย พ่อกับแม่ของเธอไม่ได้ไปไหนเลย พวกเขาอยู่ตรงนี้ในใจของเธอ พวกเขาอยู่กับเธอตลอดเวลา” ลุงโน๊ตใช้มือตัวเองตบที่อกข้างซ้ายของทิมมี่เบาๆเพื่อปลอบประโลม
“พ่อกับแม่ของหลานเป็นคนดีดนัย พวกเขาทุ่มเทใจแรงกายทุกอย่างเมื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แม่ของเธอเป็นหมอนะ เธอช่วยผู้ที่เจ็บป่วยแบบไม่หลับไม่นอนติดต่อกันยาวสามวัน คนไข้ล้นโรงพยาบาล หมอไม่เพียงพอ แต่เธอก็ยืนหยัดเพื่อช่วยคนไข้ของเธออย่างเต็มที่ที่สุด” ลุงโน๊ตหยุดพูด เมื่อเห็นหลานชายมีแววตาที่สดใสขึ้น ทิมมี่ปาดน้ำตาตัวเองรอยยิ้มนิดๆปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ผมภูมิใจในตัวแม่มากเลยฮะ” ทิมมี่พูดแผ่วเบาน้ำเสียงสั่นคลอเล็กน้อย ลุงโน๊ตพยักหน้าให้อย่างเข้าใจก่อนจะพูดต่อ
“ส่วนพ่อของหลานชาติชายเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำงานแทบจะไม่มีวันหยุด เขาต้องวิจัยตรวจสอบและแก้ปัญหาหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องงานของเขาเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่างานที่เขาทำ มันจะช่วยปกป้องโลกของเราไม่ให้แตกสลายได้แต่ก็ยังช่วยไว้ไม่ได้”
“พ่อกับแม่ผม เขาเป็นคนเก่งจังเลยฮะ” ทิมมี่หันไปพูดกับอันโตนิโอ แววตาสดใสขึ้นกว่าเก่าใบหน้าอมยิ้มด้วยความปลาบปลื้มในตัวพ่อแม่
“ใช่ พ่อกับแม่ของเธอเก่งมากทิมมี่ ฉันก็พอจะรู้แล้วว่าเธอเก่งเหมือนใคร และฉันดีใจแทนเธอที่ได้รู้เรื่องราวของตัวเอง” อันโตนิโอตบไหล่ทิมมี่เบาๆเพื่อแสดงความยินดี กับเรื่องราวทิมมี่ที่ได้รับการเปิดเผยเสียที
“แล้วเด็กอีกหกคนที่เหลือล่ะครับ” อันโตนิโอเอ่ยถามลุงโน๊ตด้วยความสงสัย
“พวกเราออกไปตามหาพวกเขากลับมา ตามสัญญาณที่ติดไว้ในแคปซูล ได้ตัวพวกเขามาห้าคน อีกสองคนหายไม่เจอ เด็กทารกหญิงคนหนึ่งและหลานดนัย ลุงหาหลานไม่เจอ ลุงพยายามแล้วแทบจะพลิกจักรวาลหาเลยก็ว่าได้ สัญญาณที่ตัวแคปซูลไม่ส่งบอกตำแหน่งอะไรเลย” ลุงโน๊ตบอกกับหลานชายที่นั่งฟังอย่างตั้งใจและทิมมี่เริ่มมองเห็นความรักที่ทุกคนมอบให้เขา
“ลุงเลยคิดว่าหลานอาจตกลงไปในเซ็นเซอร์อวกาศ” ลุงโน๊ตพูดต่อ
“เซ็นเซอร์อวกาศคืออะไรฮะ” ทิมมี่ถามกลับด้วยความสงสัย
“มวลพลังงามหาศาลของจักรวาล ที่เคลื่อนตัวไปรอบเอกภพทั้งหมด มันจะดึงดูดสิ่งที่อยู่ใกล้เข้าไปในมวลพลังงานนั่น แล้วส่งสิ่งที่ดึงดูดไปโผล่ในอีกมิติหนึ่ง หรือไปโผล่ยังสถานที่หนึ่งที่ไกลออกไป” ลุงโน๊ตอธิบาย
“เหมือนเครื่องวาร์ปของฮันซินะฮะ” ทิมมี่หันไปถามอันโตนิโออย่างตื่นเต้น
“ใช่เหมือน แต่ไม่เหมือนกันนะ เซ็นเซอร์จักรวาล เป็นมวลพลังงานที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คนเราไม่สามารถควบคุมได้ว่าต้องไปโผล่ที่ไหน ส่วนเครื่องวาร์ปเป็นเพียงสิ่งที่คนสร้างขึ้นมาเลียนแบบ เซ็นเซอร์จักรวาลนี่ล่ะ” อันโตนิโออธิบายให้ทิมมี่ฟังอย่างผู้รอบรู้ และลุงโน๊ตก็พยักหน้าให้อันโตนิโอด้วยความชื่นชม
“แล้วมันต่างจากหลุมดำยังไงล่ะฮะ หลุมดำก็มีมวลมหาศาลและดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้เข้าไปเหมือนกัน” ทิมมี่ถามด้วยความสงสัย เขาเคยอ่านเจอเรื่องหลุมดำในบ้านของวาติน ในคืนที่วาตินชวนเขาไปกินข้าวแต่เขายังอ่านไม่จบ
“ต่างกันมากเลยจ้ะ หลุมดำมีมวลมหาศาลและดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปก็จริง แต่มันจะบดขยี้ทุกอย่างให้เป็นเศษผงธุลีเพียงชั่วพริบตา” ลุงโน๊ตอธิบายเสริมต่อจากอันโตนิโอ
“ท่าทางจะอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนพ่อแล้วนะ” ลุงโน๊ตพูดแซวหลานชายตัวน้อย
ทิมมี่และอันโตนิโอพักที่ดาวเคปเลอร์นานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทิมมี่แสนจะดีใจเป็นที่สุดเมื่อได้รู้จักกับเพื่อนๆของพ่อกับแม่หลายคน ทุกคนเล่าเรื่องราวเก่าก่อนให้ทิมมี่ฟังจนทิมมี่รู้สึกเลยว่าพ่อกับแม่อยู่ที่นี้ อยู่กับเขาตลอดเวลาทั้งสองไม่เคยทิ้งเขาไปไหน
ทิมมี่ได้รูปถ่ายของพ่อกับแม่ที่เพื่อนคนหนึ่งของแม่มอบให้เขา ในรูปมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยผมสีดำขลับปะบ่า รอยยิ้มสดใสเผยให้เห็นฟันขาวสวยงาม อีกคนเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอม ผมสีดำชี้ตั้งดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ แววตาขี้เล่นซุกซน มีเด็กทารกน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มจ้ำม่ำนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม ทุกคนส่งยิ้มสดใสไม่เว้นแม้แต่ทารกน้อย
ทิมมี่เห็นแหวนสองวงที่อยู่บนนิ้วนางของคนทั้งสองเขาจำได้ดีนั่นคือแหวนที่อยู่ติดตัวเขามาตลอดเวลา ในรูปถ่ายนั่นคือพ่อแม่และตัวเขาเอง ทิมมี่มองดูรูปนั่นน้ำตาไหลพรากมันเป็นความรู้สึกทุกข์ปนสุขที่เขาเองก็บอกไม่ถูก แต่หัวใจของเขารับรู้ถึงความรักความอบอุ่นที่คนทั้งสองมอบให้เขา ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาคงเป็นเด็กกำพร้าที่โชคดีและมีความสุขที่สุดในจักรวาล
ทิมมี่ตัดสินใจออกเดินทางไปท่องอวกาศกับอันโตนิโอ แม้ลุงโน๊ตจะพยายามลบเล้าให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ แต่ทิมมี่อยากทำงานช่วยเหลือทุกคนเหมือนกับที่พ่อกับแม่ทำ การได้ไปท่องอวกาศอาจทำให้เขาได้ไปพบเจอผู้คนที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ อย่างเช่นไซเทน เขาก็จะหยิบยื่นความช่วยเหลือไปสู่ผู้ที่ต้องการ
แต่ลุงโน๊ตก็กำชับให้ทิมมี่กลับมาที่นี้ทุกๆหนึ่งเดือน ถ้าไม่ทำตามลุงโน๊ตจะไม่ให้ทิมมี่ไป ทิมมี่กับอันโตนิโอจึงต้องรับปากตามนั่น
ยานของอันโตนิโอถูกดูแลซ่อมแซมเป็นอย่างดี จากช่างมือดีหลายคนที่ดาวเคปเลอร์พวกติดตั้งระบบใหม่ให้กับยานของอันโตนิโอหลายอย่าง และอัพเกรดเครื่องวาร์ปให้ทันสมัยใช้งานได้ไม่จำกัดระยะทาง อันโตนิโอแสนจะเป็นปลื้มที่ยานของเขาได้อัพเกรดเครื่องวาร์ปใหม่โดยที่เขาไม่ต้องเสียงเงินซักบาท ก็ทำให้เจ้าของยานอย่างเขาต้องตามขอบคุณคนโน้นทีคนนี่ทีเป็นว่าเล่น
ส่วนทิมมี่หรือดนัยก็ได้ธนูใหม่เอี่ยมที่ลุงโน๊ตสั่งทำเป็นพิเศษให้เหมาะกับรูปร่างของทิมมี่ ลุงโน๊ตได้เห็นความแม่ยำในการยิงธนูของหลานชายแล้ว ก็อดที่จะเอ่ยปากชวนทิมมี่ให้มาเป็นทหารในกองทัพของตน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากหลานชายตัวน้อยอยู่เนืองๆ
อันโตนิโอกับทิมมี่ทะยานสู่อวกาศอีกครั้งการผจญภัยครั้งใหม่ของคนทั้งสองเพิ่งเริ่มต้นขึ้น หนึ่งนักเล่าเรื่องและหนึ่งนักช่วยเหลือกำลังจะสร้างตำนานให้จักรวาลได้จดจำพวกเขาไปตลอดกาล