[CR] แชร์ประสบการณ์การขับ Uber Black รายได้ดีจริงหรือไม่ !!!

สวัสดีครับ
     กระทู้นี้ผมต้องการที่จะแชร์ประสบการณ์ในการหารายได้เสริมจากการเป็นคนขับ Uber Black ในมุมมองของคนขับนะครับ ซึ่งหลายๆคนอาจจะสนใจและสงสัยว่ารายได้ดีจริงอย่างที่โฆษณาหรือคนเค้าว่ากันหรือเปล่า โดยผมจะพยายามแชร์ประสบการณ์ที่เจอมาให้กระชับและเข้าใจง่ายที่สุดนะครับ แต่ประสบการณ์ทั้งหมดนี้มาจากความเห็นส่วนตัวของผมเองนะครับ
     
     เริ่มกันเลยดีกว่า เนื่องจากว่าผมพอจะมีเวลาว่างและต้องการที่จะหารายได้เสริมที่สามารถหาเงินได้ไว โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากและสามารถทำควบคู่กับงานประจำที่มีอยู่แล้วได้ จากที่ปกติก็เคยเป็นลูกค้า Uber อยู่แล้วก็เลยมีโอกาสได้คุยกับคนขับหลายๆคนก็เลยเกิดความสนใจขึ้น จึงเป็นที่มาของการเข้าร่วมมาเป็น Partner หรือคนขับรถของ Uber ซึ่งรถที่ผมใช้จัดอยู่ในประเภทของ Uber Black (รถ D Segment ปี 2008 ขึ้นไป)
     
     ขั้นตอนในการสมัครก็ไม่มีอะไรมาก ขั้นแรกก็เข้าไปกรอกข้อมูลในเวปของ Uber แล้วก็ทำการ Upload File เอกสารที่ทาง Uber ต้องการและรอการติดต่อกลับ จากนั้นก็เข้าไปที่ออฟฟิตเพื่อทำเรื่องตรวจสอบประวัติอาชญากรรม (ประมาณ 1 วัน – 2 สัปดาห์) และตรวจสอบสภาพรถ ซึ่งผมไม่ต้องตรวจเพราะพนักงานบอกว่า ถ้าเป็นรถปี 2008 ขึ้นไป แค่ยื่นเอกสารก็สามารถเอารถออกมาขับรับงานได้เลย เทรนนิ่งมี แต่ไม่เข้าก็ได้ เพราะทาง Uber จะส่ง Link จาก YouTube เป็นวิธีการใช้ Application มาให้ทาง Email ถ้ามีคำถามอะไรก็ให้เข้าไปที่ออฟฟิตหรือเข้าไปเทรนเพิ่มเติมได้ ซึ่งไม่ได้เข้มงวดหรือตรวจสอบอะไรมากมายอย่างที่อธิบายไว้ในเวปไซต์เลย ออกแนวรับๆไปก่อนแล้วถ้ามีปัญหาค่อยว่ากันอีกที
     
     หลังจากเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็จะได้รับ SMS แจ้งว่าสามารถออกมารับงานได้แล้ว เราก็สามารถออกมาวิ่งรับงานได้เลย ในวันแรกๆ ถ้าใครยังใช้ Application ไม่ค่อยคล่องก็ควรจะระวังในกรณีที่มีคนเรียกระหว่างขับรถ เพราะค่อนข้างจะอันตราย ทางที่ดีรีบกดรับงานแล้วควรหาที่จอดเพิ่อดูตำแหน่งของผู้โดยสารและก็วางแผนการเดินทางให้ดี
     
     สำหรับค่าโดยสารของ Uber Black จะเริ่มต้นที่ 50 บาท กิโลละ 14 บาท และคิดเวลาเดินทาง x 2.5 บาท และจะมีช่วงเวลาที่มีการประกันค่าโดยสารขั้นต่ำสำหรับคนขับ เช่น ค่าโดยสารจริง 150 บาท แต่ทาง Uber จะจ่ายให้ 250 บาท โดยทาง Uber จะหักค่าบริการเทคโนโลยีของเค้าไป 20% จากค่าโดยสาร (เช่น ถ้าได้ประกัน 250 ก็จะถูกหัก 20% ด้วย หรือถ้าค่าโดยสารเกิน 250 ก็จะคิดเป็นค่าโดยสารจริงหัก 20%) ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวผมมองว่าค่อยข้างเยอะไปหน่อย เพราะต่อให้มีประกันค่าโดยสารขั้นต่ำต่อเที่ยวแต่ถ้าไม่มีคนเรียกก็ไม่มีประโยชน์ จากการที่ผมลองขับมาเหมือนปริมาณคนเรียกจะน้อยกว่าจำนวนรถอยู่มากสำหรับ Uber Black ถนนบางเส้น นั้นมี Uber Black จอดรอกันอยู่ตลอดเส้น (แอบดูในโหมดผู้โดยสาร) นี่ยังไม่นับ Uber X ซึ่งมีอยู่ทุกตรอกซอกซอย การได้ผู้โดยสารแต่ละครั้งอาจจะต้องอาศัยจังหวะและดวงอยู่บ้างในบางครั้ง ซึ่งผมก็ต้องไปหาของขลังมาติดรถอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไร และส่วนมาก ผู้โดยสารที่ใช้บริการจะเป็นชาวต่างชาติประมาณ 60-70%
     
     คราวนี้มาเข้าเรื่องของรายได้จากการขับมาประมาณเกือบ 4 เดือน โดยปกติผมจะขับหลังเลิกงานที่อยู่ในช่วงประกันรายได้ขั้นต่ำสำหรับคนขับ ประมาณ 6 โมงถึง 4-5 ทุ่ม ในวันจันทร์ถึงพฤหัส โดยปกติวันนึงจะได้ประมาณ 1-2 รอบ แต่ถ้าโชคดีจริงๆ ก็อาจจะได้ถึง 3 รอบ หรือไม่ได้เลยก็มี ซึ่งก็จะเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 1-2 รอบ (เริ่มรับงานแถวสุขุมวิท) และคืนวันศุกร์เคยทำได้มากสุด 4 รอบ (6 โมง – ตี 1) ส่วนวันเสาร์นั้นถ้าไม่กลัวรถติดหรือเหนื่อยสะสมมาจากวันก่อนๆก็สามารถวิ่งได้ทั้งวัน ผมเคยวิ่งทั้งวันอยู่หลายสัปดาห์ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง ตี 1 ได้ทั้งหมดประมาณ 8 รอบซึ่งในช่วงกลางวัน (10 โมง – 5 โมงเย็น) รับได้ประมาณ 3-4 รอบ เพราะอย่างที่เราก็รู้กันว่า รถในกรุงเทพนั้นติดทั้งวัน ทั้งชั้นในและชั้นนอก ส่วนกลางคืน ถ้าโชคดีหน่อยก็ได้อีก 2-4 รอบ แต่โดยปกติวันเสาร์ วิ่งทั้งวันผมได้เฉลี่ยประมาณ 5 รอบ ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เพราะลูกค้ายกเลิกก็เยอะ ส่วนวันอาทิตย์นั้น วิ่งกลางวันจะดีกว่ากลางคืน เฉลี่ยอยู่ที่ 3-4 รอบเช่นกัน สรุปโดยเฉลี่ยถ้าขับแบบ Part time แบบผม
     วันจันทร์ – พฤหัส (6 โมง – 5 ทุ่ม: 5 ชั่วโมง x 4 วัน = 20 ชม.) – เฉลี่ยวันละ 2 รอบ = 4 วัน x 2 รอบ = 8 รอบ
     วันศุกร์ (6 โมง – ตี 1: 7 ชั่วโมง) – เฉลี่ย 3 รอบ
     วันเสาร์ (10 โมง – ตี 1: 15 ชั่งโมง พัก 1 ชั่วโมงโดยประมาณ ) – เฉลี่ย 4 รอบ
     วันอาทิตย์ (10 โมง – 2 ทุ่ม: 10 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมง) – เฉลี่ย 4 รอบ
     
     รวมทั้งอาทิตย์ จะได้ผู้โดยสารประมาณ 19-20 รอบ  โดยประมาณ โดยอัตราค่าโดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 250 ต่อเที่ยว เพราะส่วนมากวิ่งในช่วงมีประกันค่าโดยสาร ถ้าอยู่นอกช่วงประกันก็อาจจะไม่ถึง หรืออาจจะเกินนิดหน่อย นานๆครั้งถึงจะได้ออกไปส่งไกลๆ (บางนา, รามอินทรา, บางใหญ่) แต่ก็ไม่ค่อยคุ้มเพราะต้องตีรถเปล่ากลับมาเข้าเมือง ดังนั้นพอลองมาคำนวณดูแล้วรายได้ต่อสัปดาห์จะได้ประมาณนี้ครับ
     (20 รอบ x 250 บาท) – 20% (ค่าบริการเทคโนโลยี Uber) = 4,000 บาท
     4,000 บาท – ค่าเชื้อเพลิง ประมาณ >= 2,500 บาท = เหลือ 1,500-2,000 บาท โดยที่ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษารถและค่าใช้จ่ายในการทำงาน เช่น ค่าโทรศัพท์สำหรับโทรหาผู้โดยสาร ค่า Internet สำหรับ Online หรือถ้าต้องเช่า iPad จากทาง Uber ก็จะมีค่าใช้จ่ายอีกอาทิตย์ละ 175 บาท แต่จะรวมค่า Internet
     เวลาที่ใช้ในการทำงานทั้งหมด ประมาณ 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รายได้ต่อชั่วโมงก็จะอยู่ประมาณ 30-40 บาทต่อชั่วโมง และรายได้ทั้งเดือนก็จะอยู่ที่ประมาณ 6,000-8,000 บาท ต่อเดือน (คิดแบบหยาบๆนะครับ ยังไม่ได้หักค่าเสื่อมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ)
     
     ทั้งหมดนี้ผมคิดแบบคร่าวๆ อาจจะได้มากหรือน้อยกว่านี้นิดหน่อย อยู่ที่ปัจจัยอื่นๆในช่วงนั้นๆด้วย คราวนี้เราอาจจะสงสัยว่า 20% ที่โดนหักไปนั้นได้อะไรมาบ้าง สิ่งที่ Uber ให้บริการกับคนขับก็คือ
     •    Application Uber Partner ที่เอาไว้ใช้สำหรับ Online ไว้รับงาน
     •    ระบบ Dashboard สำหรับดูข้อมูลประวัติการรับงาน การจ่ายเงินต่างๆ และข้อมูลส่วนตัวของคนชับ
     •    ระบบ Support เมื่อมีปัญหา ทาง Email และ LINE เท่านั้น ไม่มี Call Center
     •    ระบบ SMS แจ้งข่าวสาร โปรโมชัน ช่วงเวลาและสถานที่ๆมีคนเรียกเยอะ หรือแจ้งให้ออกมารับงานในกรณีที่มีความต้องการรถมาก

เรื่องดีๆจากการขับ Uber
     •    ได้และเปลี่ยนประสบการณ์และพบเจอผู้คนมากมายต่างสาขา ต่างอาชีพ
     •    ได้ศึกษาเส้นทางใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา

ปัญหาที่พบจากการขับ Uber ขอแยกเป็น 3 ประเด็นคือ
1.  ผู้โดยสาร
     •    หลายครั้งที่เจอยกเลิกในขณะที่เราใกล้จะมาถึงหรือถึงแล้ว บางครั้งรถติดมากๆแล้วโดยยกเลิกก็ถือว่าโชคร้ายไป
     •    ผู้โดยสารเรียกจนเรามาถึงปลายทางแล้วติดต่อไม่ได้ ต้องยกเลิกทริปเอง
     •    ทานอาหารหกบนรถ หรือ ทานอาหารที่มีกลิ่นติดรถและทิ้งขยะไว้บนรถ
     •    มากันเยอะมากกว่าที่กำหนดไว้ บางครั้งก็ยากที่จะปฏิเสธ เพราะวิ่งมารับไกล
     •    สูบบุหรี่บนรถ พอเราห้ามก็ไม่พอใจ ให้ดาวน้อย
     •    ยกเท้ามาวางบนที่พักแขน
     •    ใส่รองเท้าแล้วนั่งย่องๆบนเบาะ
     •    กลิ่นตัวหรือกลิ่นเท้าแรง
2.  Uber
     •    ระบบ Navigator นำทางผิดพลาดบ้าง
     •    คิดค่าทางด่วนผิดบ่อยมาก ต้องคอยตรวจสอบให้ดีทุกครั้งที่ขึ้นทางด่วน (ทั้งผู้โดยสารและคนขับ)
     •    บางครั้งระบบคิดเงินมีปัญหาเวลาส่งผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว
     •    ข้อมูลประชาสัมพันธ์โปรโมชันยุ่งยาก เสียเวลาทำความเข้าใจมาก บางสัปดาห์ต้องมาลงทะเบียน ถ้าไม่ได้ลงก็ไม่ได้โปรโมชัน
     •    ระบบ Support Partner ตอบช้ามาก และเหมือนคนตอบใช้อารมณ์ส่วนตัวมากจนเกินไป (คหสต)
3.  ทั่วๆไป
     •    ต้องคอยหลบด่านหรือตำรวจเวลามีผู้โดยสารอยู่ในรถ เพราะผิดกฎหมายและใช้รถป้ายดำ ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ

ข้อแนะนำสำหรับการขับ Uber
     •    ควรมีที่ชาร์ตแบตและที่วางโทรศัพท์ติดรถไว้
     •    เตรียมน้ำไว้ให้พร้อมอย่าให้ขาดจะได้ไม่ต้องจอดรถหยิบบ่อย ส่วนตัวผมมีขนม ทิชชู่ หนังสือ ถุงอ้วก ให้ด้วย
     •    เติมเชื้อเพลิงให้พร้อมก่อนออกรับงาน เพราะบางครั้งไปบริเวณที่เราไม่คุ้นเคยก็จะไม่รู้ว่ามีปั้มอยู่แถวไหนบ้าง
     •    อย่าลืมกดเริ่มทริป และจบทริปทุกครั้งที่รับงาน
     •    ควรโทรหาผู้โดยสารทุกครั้งที่ใกล้ถึงจุดหมาย เพราะระบบอาจจะนำทางผิดพลาด
     •    ถึงสิ้นปีก็อย่าลืมที่จะยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยนะครับ เพราะเงินที่ได้มาถือว่าเป็นรายได้ของบุคคล ไม่ได้ถูกหัก ณ ที่จ่าย

ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับการขับ Uber
     •    ค่าโทรศัพท์ ค่า Internet  ถ้าไม่ได้ใช้ Smart Phone อยู่แล้วก็ต้องเพิ่มตรงนี้เข้าไปด้วย
     •    ค่าเชื้อเพลิง
     •    ค่าบำรุงรักษารถ ค่าน้ำมันเครื่อง ค่ายาง ค่าเสื่อมต่างๆ
     •    ค่าล้างรถ เพราะถ้ารถสกปรกๆ มีกลิ่นอับ ผู้โดยสารก็คงไม่ชอบใจและให้ดาวน้อยเป็นแน่

สิ่งที่คิดว่า Uber ควรปรับปรุงสำหรับคนขับ (ทั้ง Uber X และ Black)
     •   ควรจะมี Call Center โดยด่วน
     •    หักค่าบริการแพงเกินไป ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงประกันราคาขั้นต่ำ แทบไม่ได้อะไรเลย
     •    ประกันการยกเลิกไม่ควรหักค่าธรรมเนียม เพราะคนขับต้องแบกรับภาระตรงส่วนนั้นค่อยข้างเยอะ เพราะบางครั้งจุดที่ผู้โดยสารเรียกอยู่ห่างกันหลายกิโล พอขับไปใกล้ๆถึงผู้โดยสารยกเลิก เสียค่าน้ำมันวิ่งมาไม่พอ พอโดนยกเลิกก่อนถึงจุดหมายก็จะไม่ได้อะไรเลย ถ้าถึงจุดหมายแล้วถูกยกเลิกก็ยังโดนหักค่าธรรมเนียนอีก บางครั้งก็ขาดทุนเพราะวิ่งมาไกลๆ ผมเคยวิ่งอยู่เส้นรัชดา แถวแยกห้วยขวาง ถูกเรียกให้ไปรับแถว BTS อารีย์ (ซึ่งตอนอบรบบอกว่าระยะทางที่จะถูกเรียกจะอยู่ที่ประมาณ 2 กิโลเมตร) แล้วอีกประมาณ 300 เมตรจะถึง ผู้โดยสารยกเลิก ในกรณีนี้จะไม่ได้ค่าประกันการยกเลิกเพราะยังไม่ถึงจุดหมาย แถมเรายังต้องวิ่งรถเปล่าไปอีก
     •    ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว ควรมีประกันการยกเลิกให้ในกรณีที่ให้ไปรับลูกค้าเกินระยะ 2 กิโลเมตร
     •    ควรระบุสีรถให้ผู้โดยสารทราบด้วยว่ารถสีอะไร
     •    ระบบโปรโมชัน ยุ่งยาก ดูลำบากเสียเวลาทำความเข้าใจค่อยข้างนาน
     •    ระบบ Support Partner ช้า ตอบแย่ ใช้อารมณ์ส่วนตัว และบางครั้งตอบไม่ตรงประเด็นพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
     •    ระบบดาว ไม่ได้การันตีคุณภาพของคนขับ การที่จะได้ 5 ดาวตลอดนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากว่าความพอใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางครั้งผู้โดยสารพอใจแต่ให้แค่ 4 ดาว ก็ดูเหมือนจะโอเคแล้ว แต่สำหรับคนขับ Uber 4 ดาวบ่อยๆ ก็จะทำให้ไม่ผ่านคุณสมบัติสำหรับการเข้าร่วมโปรโมชันในแต่ละสัปดาห์นั้นๆได้
     •    ควรจะทำให้ถูกกฏหมายอย่างเร็วที่สุด

     สรุปแล้วสำหรับผมคิดว่าถ้าใครที่กำลังมองหาอาชีพเสริมและมีรถยนต์ส่วนตัวอยู่แล้วก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในระยะสั้น แต่ถ้าในระยะยาวผมว่ายังไงก็คงไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป ความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้นและค่าบำรุงรักษารถในระยะยาว เพราะรถจะวิ่งเยอะขึ้นมาก และมีโอกาสที่จะเสียหายจากผู้โดยสารที่ขึ้นๆลงๆได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นในการวิ่งรถ ณ ช่วงเวลานี้อาจจะต้องวางแผนให้รอบคอบเพราะรถ Uber ในถนนตอนนี้เยอะมากกว่าจำนวนคนเรียกใช้บริการ  อีกทั้งรถในกรุงเทพค่อยข้างติด ถ้าเราหลุดเข้าไปในโซนรถติดก็แทบจะทำรอบไม่ได้เลยและถ้าระหว่างทางไปรับผู้โดยสารโดนยกเลิกอีกก็รถติดไปฟรีๆเลย ยังไงก็หวังว่ากระทู้นี้คงจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจจะขับ Uber Black ไม่มากก็น้อยนะครับ และหวังว่า Uber จะหันมาสนใจดูแล Partner และพัฒนาระบบให้ดีขึ้น ให้เหมือนกับที่โฆษณาไว้ด้วยนะครับ

ยาวหน่อยแต่ขอบคุณที่อ่านนะครับ อมยิ้ม29
ชื่อสินค้า:   UBER BLACK
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่