จากกรณีที่กรมขนส่งฯ ไทยได้ออกมาประกาศว่า Uber นั้น
ผิดกฏหมาย
ในแง่ใช้รถยนต์ผิดประเภท (ทั้งป้ายเขียวและป้ายดำ)
,ค่าโดยสารไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
และผู้ขับไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
แถมยังบอกอีกว่า
ไม่ปลอดภัย อีกด้วย
ในประเด็นการใช้บัตรเครดิต และรถที่ให้บริการไม่อยู่ในฐานข้อมูลรถสาธารณะของกรมการขนส่งทางบกซะงั้น
เหมือนจะสื่อว่าแทกซี่ในสารบบปัจจุบันปลอดภัยแล้วดีแล้วก็ตาม
(บางทีบัตรประจำตัวคนขับที่โชว์ก็ไม่ใช่คนขับจริง ,อ้างว่าไม่มีทอนก็เลยเก็บเกินมิเตอร์ ,ไม่รับผู้โดยสาร, มารยาทแย่, ขับขี่ไม่ปลอดภัย, เป็นโจรเลยก็มี และเร็วๆนี้ยังจะมีการปรับขึ้นค่าโดยสารอีกทั้งๆที่คุณภาพและการให้บริการเท่าเดิม)
ซึ่งถ้าเทียบกับโดยเทียบกับ Uber หรือระบบเรียกแทกซี่บริการอื่นแล้วนั้นมันจะดีเลิศหรูต่างกันอย่างไร มาทำความรู้จักกันดีกว่าครับ
ปัจจุบันนี้มี 3 แอพที่กำลังทำตลาดในเมืองไทยคือ EasyTaxi, GrabTaxi และ Uber
EasyTaxi และ
GrabTaxi : บริการจะคล้ายกันมาก ปกติจะเจอแท็กซี่รับทั้งสองแอพนี้ในเวลาเดียวกัน โดย EasyTaxi จะคิดค่าเรียกถูกกว่าเล็กน้อย แต่ GrabTaxi จะทำตลาดมากกว่า โดยมีแคมเปญการตลาดพร้อมโปรโมชั่นส่วนลดต่างๆมากมาย
ในแง่การชำระเงิน EasyTaxi ถึงแม้จะมีระบบการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต แต่เหมือนว่าจะยังไม่มีแท็กซี่ในไทยรองรับ
ส่วนของ GrabTaxi เปิดรับชำระค่าโดยสารด้วยบัตรเครดิตจากความร่วมมือกับธนาคารกสิกรแล้ว
ส่วน
Uber นั้นมีสองแบบด้วยกัน คือ
Uber Black : บริการแท็กซี่แบบลิมูซีน เอารถป้ายเขียวมาวิ่งรับผู้โดยสาร พบรถกันขั้นต่ำก็ Camry Accord หรือไปสุดที่ Mercedez หรือ BMW กันเลยทีเดียว แต่ค่าบริการก็จะแพงกว่าปกติพอสมควรเช่นกัน และรถมีไม่มากนัก
Uber X : บริการแท็กซี่โดยใครๆก็สมัครทำได้ หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นรถทะเบียนขาว-ดำ ที่พวกเราขับกันทั่วไปเนี่ยแหละ มีตั้งแต่ toyota vios-altis ค่าบริการช่วงแนะนำจะถูกว่าแท็กซี่ทั่วไป แต่ต่อไปยังไม่ทราบ แต่บางคนก็เป็นห่วงคือความปลอดภัย เพราะเป็นใครที่ไหนมาขับก็ไม่มีใครรู้
(Uber X เป็นบริการที่เปิดให้บริการมาแล้วในหลายประเทศและเกิดปัญหามากมาย ไม่ใช่ว่าผู้ใช้ร้องเรียนในความปลอดภัย แต่เป็นคนขับแท็กซี่ออกมาโวยว่า Uber X แย่งงาน แย่งผู้โดยสารไปซะหมดเลย อีกหน่อยในไทยก็คงเป็นแบบนี้เช่นกัน 5555)
ข้อควรรู้
1. ระบบการคิดเงินค่าเดินทางของ Uber และ EasyTaxi+GrabTaxi ต่างกัน
2. EasyGrab จะเป็นการวางระบบครอบปกติเท่านั้น การคิดเงินค่าเดินทางยังใช้มิเตอร์ปกติ รถวิ่งคิดเงินกม.ละ 5 บาท รถจอดหรือติดคิด 1.5 บาทต่อนาที
3. Uber จะทำระบบขึ้นมาใหม่เลย และจะรถวิ่งหรือรถจอดก็เสียเงินคิด ไม่มีหยุดอันใดอันหนึ่ง แต่โดยรวมก็ยังถูกกว่าแท็กซี่อยู่ราว 10-15%
4. Uber ไม่ต้องควักเงินเสียค่าทางด่วนให้คนขับ เพราะมันจะหักในยอดรวมอยู่แล้ว
5. Uber จะไม่มีมิเตอร์บอกค่าใช้จ่ายปัจจุบันเป็นเท่าไหร่อย่างไร ไปรอลุ้นอีกทีตอนบิลแจ้งค่าบริการเข้ามาในอีเมล์เท่านั้น
6. ทั้ง Uber และ EasyGrab จะคิดค่าบริการเมื่อเราขึ้นรถแล้วเท่านั้น ใครโดนกดก่อนโปรดโวยหรือร้องเรียนไปที่ Call Center ของแอพนั้นๆ
ทีนี้เรามาถึงเรื่องหลักของเราคือ
แท็กซี่ท้องถิ่น ที่มีมาแต่เก่าก่อนทั่วโลกนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งมีการจัดอันดับโดยการโหวตจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ใน HOTELS.com (ซึ่งเป็นเว็ปไซต์ที่จัดหาโรงแรมผ่านอินเตอร์เนตชื่อดัง)
โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
ความปลอดภัย ,ความคุ้มค่า ,รู้เส้นทางดีหรือไม่ ,เรียกหาได้ง่ายไหม ,ขับดีไหม ,ความสะอาด และมนุษยสัมพันธ์ดีของคนขับ
ดีที่สุด
1. ลอนดอน,อังกฤษ
2. นิวยอร์ค,อเมริกา
3. โตเกี่ยว,ญี่ปุ่น
4. เบอร์ลิน,เยอรมัน
แย่ที่สุด (อันตรายที่สุด)
อันดับ 1 แห่งความอันตรายที่สุดของการนั่ง Taxi ยกให้
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
“Sure, every place has its share of scary cab drivers but some places are worse than others. Bangkok for instance, topped the Most Dangerous list of a recent HOTEL.com taxi survey”
ส่วนประเทศอื่นเป็นอย่างไรกันบ้างงง
- Seoul : ที่ประเทศนี้, คุณจะได้เห็นคนขับรถดูละครเกาหลีแทนที่จะมองถนน
- Moscow : ไม่มีการลงทะเบียนคนขับหรือองค์กรรัฐรองรับใดๆ
- Mexico City : มี Taxi เถื่อนสีเขียวปะปนมาบนถนน, บ่อยครั้งคนขับลักพาตัวไป
- Delhi : ไม่กดมิเตอร์ / ไม่มี Safety Belt และบางคันไม่มีประตู…
- Johannesburg : ผู้โดยสารอัดกันอย่างบ้าระห่ำในรถคันเดียว
- Lima : คนขับพกอาวุธ พร้อมจัดการคุณเสมอ
- Cairo : ไม่มีกระทั่งไฟหน้าและหลายคันเอาเทปมาแปะยึดตัวรถไว้…
- Manila : มีคนนั่งเบาะหลังอยู่แล้วและดึงคุณไปปล้นทันทีที่เปิดประตูเรียกรถ…
- Jakarta : มั่วราคาได้ตามใจราวกับการบรรเพลง “Improvisation” ในบทเพลง Jazz
***เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับอันดับ 1 ของแท็กซี่บ้านเรา ยิ่งช่วงปีใหม่ใครฉลองจนมึนเมาก็มีสติสักนิดนะครับว่าเมาไม่ขับ แล้วจะกลับแท็กซี่แบบไหนแทน***
แทกซี่ไทยดังไกลติดอันดับซะด้วย
ในแง่ใช้รถยนต์ผิดประเภท (ทั้งป้ายเขียวและป้ายดำ)
,ค่าโดยสารไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
และผู้ขับไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
แถมยังบอกอีกว่า ไม่ปลอดภัย อีกด้วย
ในประเด็นการใช้บัตรเครดิต และรถที่ให้บริการไม่อยู่ในฐานข้อมูลรถสาธารณะของกรมการขนส่งทางบกซะงั้น
เหมือนจะสื่อว่าแทกซี่ในสารบบปัจจุบันปลอดภัยแล้วดีแล้วก็ตาม
(บางทีบัตรประจำตัวคนขับที่โชว์ก็ไม่ใช่คนขับจริง ,อ้างว่าไม่มีทอนก็เลยเก็บเกินมิเตอร์ ,ไม่รับผู้โดยสาร, มารยาทแย่, ขับขี่ไม่ปลอดภัย, เป็นโจรเลยก็มี และเร็วๆนี้ยังจะมีการปรับขึ้นค่าโดยสารอีกทั้งๆที่คุณภาพและการให้บริการเท่าเดิม)
ซึ่งถ้าเทียบกับโดยเทียบกับ Uber หรือระบบเรียกแทกซี่บริการอื่นแล้วนั้นมันจะดีเลิศหรูต่างกันอย่างไร มาทำความรู้จักกันดีกว่าครับ
ปัจจุบันนี้มี 3 แอพที่กำลังทำตลาดในเมืองไทยคือ EasyTaxi, GrabTaxi และ Uber
EasyTaxi และ GrabTaxi : บริการจะคล้ายกันมาก ปกติจะเจอแท็กซี่รับทั้งสองแอพนี้ในเวลาเดียวกัน โดย EasyTaxi จะคิดค่าเรียกถูกกว่าเล็กน้อย แต่ GrabTaxi จะทำตลาดมากกว่า โดยมีแคมเปญการตลาดพร้อมโปรโมชั่นส่วนลดต่างๆมากมาย
ในแง่การชำระเงิน EasyTaxi ถึงแม้จะมีระบบการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต แต่เหมือนว่าจะยังไม่มีแท็กซี่ในไทยรองรับ
ส่วนของ GrabTaxi เปิดรับชำระค่าโดยสารด้วยบัตรเครดิตจากความร่วมมือกับธนาคารกสิกรแล้ว
ส่วน Uber นั้นมีสองแบบด้วยกัน คือ
Uber Black : บริการแท็กซี่แบบลิมูซีน เอารถป้ายเขียวมาวิ่งรับผู้โดยสาร พบรถกันขั้นต่ำก็ Camry Accord หรือไปสุดที่ Mercedez หรือ BMW กันเลยทีเดียว แต่ค่าบริการก็จะแพงกว่าปกติพอสมควรเช่นกัน และรถมีไม่มากนัก
Uber X : บริการแท็กซี่โดยใครๆก็สมัครทำได้ หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นรถทะเบียนขาว-ดำ ที่พวกเราขับกันทั่วไปเนี่ยแหละ มีตั้งแต่ toyota vios-altis ค่าบริการช่วงแนะนำจะถูกว่าแท็กซี่ทั่วไป แต่ต่อไปยังไม่ทราบ แต่บางคนก็เป็นห่วงคือความปลอดภัย เพราะเป็นใครที่ไหนมาขับก็ไม่มีใครรู้
ข้อควรรู้
1. ระบบการคิดเงินค่าเดินทางของ Uber และ EasyTaxi+GrabTaxi ต่างกัน
2. EasyGrab จะเป็นการวางระบบครอบปกติเท่านั้น การคิดเงินค่าเดินทางยังใช้มิเตอร์ปกติ รถวิ่งคิดเงินกม.ละ 5 บาท รถจอดหรือติดคิด 1.5 บาทต่อนาที
3. Uber จะทำระบบขึ้นมาใหม่เลย และจะรถวิ่งหรือรถจอดก็เสียเงินคิด ไม่มีหยุดอันใดอันหนึ่ง แต่โดยรวมก็ยังถูกกว่าแท็กซี่อยู่ราว 10-15%
4. Uber ไม่ต้องควักเงินเสียค่าทางด่วนให้คนขับ เพราะมันจะหักในยอดรวมอยู่แล้ว
5. Uber จะไม่มีมิเตอร์บอกค่าใช้จ่ายปัจจุบันเป็นเท่าไหร่อย่างไร ไปรอลุ้นอีกทีตอนบิลแจ้งค่าบริการเข้ามาในอีเมล์เท่านั้น
6. ทั้ง Uber และ EasyGrab จะคิดค่าบริการเมื่อเราขึ้นรถแล้วเท่านั้น ใครโดนกดก่อนโปรดโวยหรือร้องเรียนไปที่ Call Center ของแอพนั้นๆ
ทีนี้เรามาถึงเรื่องหลักของเราคือ แท็กซี่ท้องถิ่น ที่มีมาแต่เก่าก่อนทั่วโลกนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งมีการจัดอันดับโดยการโหวตจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ใน HOTELS.com (ซึ่งเป็นเว็ปไซต์ที่จัดหาโรงแรมผ่านอินเตอร์เนตชื่อดัง)
โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
ความปลอดภัย ,ความคุ้มค่า ,รู้เส้นทางดีหรือไม่ ,เรียกหาได้ง่ายไหม ,ขับดีไหม ,ความสะอาด และมนุษยสัมพันธ์ดีของคนขับ
ดีที่สุด
1. ลอนดอน,อังกฤษ
2. นิวยอร์ค,อเมริกา
3. โตเกี่ยว,ญี่ปุ่น
4. เบอร์ลิน,เยอรมัน
แย่ที่สุด (อันตรายที่สุด)
อันดับ 1 แห่งความอันตรายที่สุดของการนั่ง Taxi ยกให้ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
“Sure, every place has its share of scary cab drivers but some places are worse than others. Bangkok for instance, topped the Most Dangerous list of a recent HOTEL.com taxi survey”
ส่วนประเทศอื่นเป็นอย่างไรกันบ้างงง
- Seoul : ที่ประเทศนี้, คุณจะได้เห็นคนขับรถดูละครเกาหลีแทนที่จะมองถนน
- Moscow : ไม่มีการลงทะเบียนคนขับหรือองค์กรรัฐรองรับใดๆ
- Mexico City : มี Taxi เถื่อนสีเขียวปะปนมาบนถนน, บ่อยครั้งคนขับลักพาตัวไป
- Delhi : ไม่กดมิเตอร์ / ไม่มี Safety Belt และบางคันไม่มีประตู…
- Johannesburg : ผู้โดยสารอัดกันอย่างบ้าระห่ำในรถคันเดียว
- Lima : คนขับพกอาวุธ พร้อมจัดการคุณเสมอ
- Cairo : ไม่มีกระทั่งไฟหน้าและหลายคันเอาเทปมาแปะยึดตัวรถไว้…
- Manila : มีคนนั่งเบาะหลังอยู่แล้วและดึงคุณไปปล้นทันทีที่เปิดประตูเรียกรถ…
- Jakarta : มั่วราคาได้ตามใจราวกับการบรรเพลง “Improvisation” ในบทเพลง Jazz