นักขวราชกำลังนั่งเขียนหนังสือพระเจ้าหัตถากานต์เสด็จมาหาด้วยท่าทางเหมือนจะขยี้ใครก็ได้ที่บังอาจมาขวางทางหน้าในบัดนี้ เมื่อทรงมาถึงก็กระชากหนังสือที่พระน้องนางกำลังเขียนออกเหวี่ยงทิ้งจนแผ่นกระดาษกระจายและยังทรงปัดสิ่งของทุกอย่างที่วางอยู่บนตั่งจนกระจัดกระจายเหล่าบรรดานางกำนัลถึงกับตกใจกลัวจนลนลาน นักขวราชเทวีมองผู้ที่กำลังอาละวาดอย่างนิ่งสงบ จนท้าวเธอเข้ามานั่งจ้องหน้าพระนางด้วยสายตาที่วาวโรจน์น่ากลัว เหงื่อที่ผุดพรายเต็มพระพักตร์บ่งบอกถึงอารมณ์ที่กำลังโกรธเกรี้ยวเต็มที่
“ นักขวราชเจ้าจงฟัง เจ้าจะไม่มีวันชนะพี่ ไม่มีวัน ”
“ เจ้าพี่ ถ้าอยากจะมาหาเรื่องหม่อมฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำให้บ่าวไพร่มันตกอกตกใจหรอกเพคะ ”
“ พี่หรือหาเรื่องเจ้า สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายหาเรื่อง นังพวกนั้น ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้ ออกไปให้หมด ไป๊ ”
บรรดานางกำนัลต่างลนลานคลานออกไปนักขวราชจึงลุกขึ้นจะเดินออกไปด้วย เจ้าหัตถากานต์คว้าแขนของพระนางและกระชากให้นั่งลงบนตั่ง
“ เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ”
“ เจ้าพี่ ทรงทำเช่นนี้เกินไปแล้วนะเพคะ หม่อมฉันจะไม่อยู่ให้เจ้าพี่มาระบายอารมณ์ใส่หม่อมฉันอย่างนี้ ”
“ ก็เอาซี่ เจ้ากล้าดีออกไปจากตรงนี้ เจ้าลองดู ”
นักขวราชไม่กลัวพระนางผุดลุกขึ้นจะก้าวเดิน เจ้าหัตถากานต์คว้าคอของพระนางจับบีบอย่างแรงจนร่างบางที่พยายามดิ้นรนอ่อนแรงจึงทรงปล่อย พระเทวีฟุบลงกับพื้นและทรงกรรแสงอย่างอัดอั้นในพระทัยที่ถูกท้าวเธอมารังแกอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นนี้
“ ร้องไห้ ร้องไปเลย น้ำตาของเจ้ามันเรียกร้องได้ทุกอย่าง ร้องไปสิ ร้องๆๆๆ ”
สุรเสียงเหมือนกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ พระเกศาที่หลุดลุ่ยกับดวงหน้าที่ถทึงน่ากลัว นักขราชรู้ว่าเจ้าหัตถากานต์กำลังโกรธสุดขีด เขาไปทำอะไรมา ทำไมจึงโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้คงอาละวาดมาอย่างหนักแล้วด้วย แล้วทำไมต้องมาพาลที่พระนาง ช่างใจร้ายนักใจร้ายที่สุด
“ จะมาอาละวาดทำไม ถ้าไม่พอใจก็ฆ่ากันเสียเลย ”
“ หยุดนะ เจ้าอย่านึกว่าพี่ทำไม่ได้ ”
“ ก็ทำเลยสิเพคะ ”
“ นักขวราช หรือเจ้าอยากตายแล้วไปพบกับยอดดวงใจของเจ้า ไม่ต้องหรอก เจ้าไม่ต้องทำถึงเพียงนั้น ไม่ต้อง ”
“ เมื่อไหร่จะพอเสียที ”
“ พอหรือ เจ้าเรียกร้องให้ใครพอ ใจของเจ้าร้อนร่านไร้ยางอาย ”
เพี๊ยะ!!
ตกตะลึงทั้งสองพระองค์แต่ผู้ที่ถูกตบพระพักตร์ถึงกับกำพระหัตถ์แน่นเมื่อตั้งสติได้ก่อนจะผวาเข้าหาร่างบางที่ตกตะลึงที่บังอาจตบพระพักตร์พระพี่ยา
“ เจ้า บังอาจนัก ”
นักขวราชดิ้นรนสุดชีวิตเมื่อถูกพระพี่ยากอดปล้ำจูบขยี้อย่างคลั่งแค้น ทั้งตกใจทั้งเจ็บช้ำที่ถูกรังแกพระนางถึงกับช็อคหมดสติในอ้อมพระกรณ์ของท้าวเธอนั่นเอง
****
“ องค์ปู่เจ้ากำลังสวดมนต์อยู่นะพระเจ้าค่ะ ทรงสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน ”
ฑันทวาผู้ดูแลรับใช้องค์ปู่เจ้าทูลองค์หัตถากานต์ที่จะเข้าเฝ้าองค์ปู่เจ้า
“ แม้แต่ข้ารึ ”
“ ฝ่าบาท ทรงเป็นพระประสงค์องค์ปู่เจ้าจริงๆพระเจ้าค่ะ ”
“ หลีกทางข้านะฑันทวา ถ้าเจ้าไม่อยากเจ็บตัวเจ้าจงหลีก ”
ทรงตวาดอย่างเอาเรื่อง ฑันทวาถึงกับตัวสั่นงกเงิ่นทำอะไรไม่ถูก จะขัดคำสั่งขององค์ปู่เจ้าก็ไม่กล้า กลัวองค์เหนือหัวก็สุดจะกลัวมันแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เสียงของปู่เจ้าที่ดังออกมา
“ ให้พระองค์เข้ามาเถอะฑันทวา เจ้าขัดขวางพระองค์ไม่ได้หรอกเดี๋ยวจะเจ็บตัวซะเปล่าๆ ”
ฑันทวารีบถอยกรูด เจ้าหัตถากานต์เสด็จเข้าไปเฝ้าองค์ปู่เจ้าด้วยอาการที่ร้อนเร่าคลั่งแค้นเหลือเกิน
“ พ่อปู่ มันกลับมาแล้ว มันกลับมา มันไม่ยอมแพ้ ข้าจะทำอย่างไรดี ”
เจ้านครทิพย์ทรงฟุบพระพักตร์ลงกับแท่นหินกรรแสงอย่างคลั่งแค้นเหลือเกิน องค์ปู่เจ้าทอดพระเนตรเจ้านครที่กำลังกำศรวลอย่างสงบ จนเวลาผ่านไป
“ มหาบพิตร ทรงมีสติพิจารณาหน่อยสิว่าเหตุการณ์มันเป็นเช่นไร ”
“ สติหรือ ไหนว่ามนตราของพ่อปู่ตัดขาดมันออกจากชาติออกจากภพแห่งนาคราช มันไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้วไฉน บัดนี้มันจึงกลับมา มันกลับมาแล้ว ”
“ พระทัยเย็นๆเถิดพระองค์ ทรงลืมอะไรไปบ้างทรงพินิจดูเถิด อย่าให้ความโกรธบดบังความจริงสิฝ่าบาท ”
“ อะไรที่บดบังความจริง ข้าเห็นมากับตาพบมันมากับตัว พ่อปู่คงไม่คิดว่าข้าวิปลาศฟั่นเฟือนจนไม่สามารถจำใครได้หรอกใช่ไหม ”
“ ข้าไม่ได้ว่าฝ่าบาทฟั่นเฟือนเลือนเลอะ แต่ข้าต้องการเตือนพระสติให้ฝ่าบาทพิจารณาอะไรให้ถ่องแท้ต่างหาก ”
“ มีอะไรที่ข้าจะต้องพิจารณาในเมื่อข้าได้พบกับมันด้วยตัวของข้าเองมิใช่คำล่ำลือหรือบอกกล่าวจากผู้ใด ข้าเกือบจะฆ่ามันด้วยมือของข้าอีกครั้งแล้วแต่ติดที่มันไม่มีศาสตราวุธใดๆอยู่ในมือ ”
“ ทรงแน่พระทัยนะว่าเขาอยู่ชาติเดียวภพเดียวกับพระองค์มีสถานภาพเป็นนาคราชเช่นเรา ”
องค์หัตถากานต์ถึงกับอึ้ง จริงสิ ทรงโกรธจนลืมพิจารณาในข้อนี้ทรงร้อนรุ่มพระทัยจนไม่ทันได้พิเคราะห์ว่านควัจอยู่ในสถานภาพใด
“ แต่มันก็กลับมา มันมาที่นี่ข้ารู้ว่ามันกลับมาเพื่ออะไร ”
“ อานุภาพแห่งชาติภพนั้นข้าห้ามได้ แต่อานุภาพแห่งความปรารถนานั้นมันเป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละคนข้าไม่สามารถห้ามได้ ”
“ ข้าจะฆ่ามัน ”
“ แล้วพระองค์จะได้อะไรขึ้นมา ฆ่าเขาได้เขาก็เกิดใหม่แล้วกลับมาอีก แล้วพระองค์ก็ต้องตามฆ่าล้างผลาญเขาอีกไม่มีที่สิ้นสุด ”
“ แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่เป็นผล หรือข้าต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้จึงจะพอใจ ”
“ จะแพ้หรือชนะมันอยู่ที่ใจของพระองค์ ถ้าใจของพระองค์สงบชีวิตมันก็จะมีความสุข ”
“ ใจของข้ามันไม่มีวันสงบได้หรอก ตราบใดที่มันยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆข้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าข้าห้ามดวงใจปรารถนาของพวกเขาไม่ได้ แต่มันเป็นศักดิ์ศรีของข้าที่ข้าต้องรักษามันเอาไว้ ข้าทนไม่ไดที่จะให้พระสกนิกรของข้าดูหมิ่นเหยียดหยามข้าว่าเป็นผู้แพ้ให้แก่มัน ”
“ แล้วฝ่าบาทจะทำเช่นไร ”
“ ข้าจะจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นักขวราชเป็นพระเทวีเสียเลย ”
“ มีประโยชน์อันใด เพิ่มบาดแผลความเจ็บปวดให้กับพระองค์อย่างนั้นหรือ ได้มาแต่ร่างกาย จิตวิญญาณยังรักยังผูกพันกับผู้อื่น ผู้ที่เจ็บปวดทรมานก็จะเป็นพระองค์เอง และองค์นักขวราชก็จะไม่มีวันภักดีกับพระองค์ด้วย พระทัยนางจะยิ่งชิงชังพระองค์อีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณ ”
“ ฤาชีวิตของข้าจะต้องจมดิ่งทุกทรมานอยู่เช่นนี้ไปตลอดกาล ”
พระเจ้าหัตถากานต์ตรัสอย่างเจ็บปวดขมขื่นพระทัย
****
ปิคอัพโฟรวีลขับเลาะเลี้ยวตามทางลูกรังเล็กๆผ่านป่าละเมาะไปตามเชิงเขา
“ คุณวัตแน่ใจนะครับว่าแถวนี้จะมีบ้านคนอยู่ มันน่าจะเป็นเขตป่าสงวนแล้วนะครับ ”
“ มีสิครับ เมื่อวานผมยังจอดดูอยู่เลย บ้านหลังใหญ่โตเลยทีเดียวตอนแรกยังคิดว่าเป็นที่ทำการของอุทยานเลยแต่ดูแล้วไม่ใช่แน่เพราะมีรั้วรอบขอบชิด ”
“ แล้วคุณจะมาหาใครล่ะนี่ ”
“ ก็ มาทำความรู้จักกับเขาบ้างสิอย่างน้อยก็อยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน เผื่อมีอะไรก็ได้อาศัยไหว้วานกันได้ ”
“ เขาจะไม่ว่าเอาได้หรือว่าเราจะมารุ่มร่ามกับเขา ”
“ คงไม่หรอกเราแค่อยากมาทำความรู้จักกับเขาบ้างเท่านั้น นั่นไงเห็นไหมรั้วไม้ที่เห็นข้างหน้านั่นไง ผมบอกแล้วมีบ้านคนอยู่คุณก็ไม่เชื่อผม ”
“ โอ้โฮ รั้วสูงลิบยังกับกำพงวังโบราณเห็นแต่หลังคาบ้านลิบๆ แบบนี้เขาจะต้อนรับคนนอกหรือคุณวัต ดีไม่ดีอาจจะเป็นบ้านของพวกเจ้าพ่อมีอิทธิพลที่ไม่อยากคบค้ากับใครเราจะแย่นา ”
“ คิดมากได้คุณลือ เจ้าพ่อที่ไหนจะมาอยู่อย่างสันโดษอย่างนี้ ”
“ อ้าว ก็พวกเจ้าพ่อนั่นแหระมันถึงจะอยู่กันแบบนี้คนดีๆเขาไม่ต้องคอยหลบซ่อนที่อยู่กับใครหรอก ผมว่าเรากลับกันดีกว่าอย่าเข้าไปในบ้านเขาเลย ”
“ ปอดไปได้ ไหนๆก็มากันจนถึงแล้ว ลองเข้าไปหาเขาหน่อยจะเป็นไรไป ให้มันรู้ไปว่าเขาเป็นยังไง ถ้าเป็นเจ้าพ่อจริงอย่างคุณว่าคราวหน้าเราก็ไม่ต้องมาอีก ”
“ ผมกลัวจะไม่ได้กลับออกไปน่ะสิ ”
“ บ้าน่า ใครเขาจะมาทำอะไรเรา คนเราไม่ไม่ใช่อยู่ๆจะมาทำร้ายกันได้ง่ายๆหรอก ”
พูดจบภควัตก็บีบแตรรถเรียกคนในบ้านบุญลือถึงกับตาพอง
“ เฮ้ยคุณวัตเอาจริงหรือคุณ ”
“ อ้าวก็เอาจริงสิ เรามาจนถึงหน้าบ้านเขาแล้วไม่เข้าไปก็เสียความตั้งใจหมดพอดี ”
“ ผมไม่มั่นใจเลยว่ะ ”
“ กลัวอะไรนะคุณ แน่ะเห็นไหมมีคนมาเปิดเประตูให้เราแล้ว ไปหามิตรเพิ่มกันดีกว่า ”
ภควัตเคลื่อนรถมาในบริเวณบ้านแล้วจอดรถกดกระจกลง
“ สวัสดีครับผมจะมาขอพบท่านเจ้าของบ้านน่ะครับ ”
“ เชิญขอรับ นายทานให้เชิญคุณเข้าไปในบ้านเลยขอรับ ”
ภควัตหันหน้ามองบุญลือและยิ้มให้
“ เห็นไหมเขาเชิญเราแล้ว ”
บุญลือถอนใจยังกังวลใจที่จะต้องมารู้จักกับคนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ภควัตกับบุญลือตามคนรับใช้ของเจ้าของบ้านขึ้นมาบนเรือนและมานั่งคอยที่ตั่งรับแขก ทั้งสองมองไปรอบๆอย่างชอบใจกับการจัดบ้านและตกแต่งบ้านแบบโบราณ เรือนที่สร้างแบบโบราณหลังนี้ปลูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลังและไม้ที่สร้างคือไม้เนื้อดีที่ภควัตและบุญลือไม่รู้จักเลยว่าเป็นไม้ชนิดใดกระดานปูพื้นเรียบเสมอกันจนมองหารอยต่อของแผ่นกระดานไม่พบ มันเหมือนเป็นไม้ชิ้นเดียวกันทั้งพื้น สีของไม้เป็นสีเหลืองเข้มเหมือนลงขมิ้นในเนื้อไม้ ต้นเสาทรงกลมถูกแกะสลักลวดลายเป็นเครือเถาอ่อนช้อยงดงามทุกต้น ฝ้าเพดานคือแผ่นไม้แกะลวดลายงามวิจิตทั่วทั้งห้อง ผ้าม่านที่กันแสงจากหน้าต่างคือผ้าโปร่งสีทองนวลตาช่วยทำให้บรรยากาศในบ้านหลังนี้เรืองรองมีประกายสรแห่งทองฉาบฉายไปทั่วทั้งบ้าน
“ ข้างนอกว่าอลังการแล้ว เข้ามาในบ้านยิ่งสุดอลังการเลยนะคุณ ”
บุญลือกระซิบบอกภควัตหลังจากที่หันมองความวิจิตรงดงามของสถานที่นี้อย่างตื่นตา
เจ้าหัตถากานต์เดือนเข้ามาในห้องรับแขกที่ภควัตและบุญลือนั่งรออยู่ ภควัตถึงกับตาโตเมื่อรู้ว่าที่แท้เจ้าของบ้านหลังนี้คือผู้ชายที่ช่วยชีวิตของเขาให้รอดจากอสรพิษร้ายในวันนั้นนั่นเอง
“ ที่แท้ก็เป็นคุณนั่นเอง ”
เจ้าหัตถาการต์ยิ้มหากแต่แววตานั้นช่างตรงข้ามกับใบหน้าที่แสดงออกเหลือเกิน
“ ยินดีต้อนรับคุณนควัจ ”
“ รู้จักชื่อของผมด้วย ”
“ ไม่น่าแปลกไม่ใช่หรือ พวกคุณคือเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่มาสร้างเขื่อนที่นี่ ”
“ คือผมอยากมาทำความรู้จักกับคุณในฐานะที่เราเป็นคนต่างถิ่นมาเผื่อมีอะไรพอจะให้เรารับใช้บ้าง ”
เจ้าหัตถาการต์ยิ้มทรงจ้องมองผู้ที่นั่งตรงหน้าที่ไม่มีท่าทางของนควัจองค์เดิมเลย นควัจเวลานี้คือหนุ่มน้อยผู้ใสซื่อแววตาใสกระจ่างอย่างสมวัยแห่งมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
...พิมพ์พิลาสฒ์...
เหนือมนตรา ตอนที่ 3
“ นักขวราชเจ้าจงฟัง เจ้าจะไม่มีวันชนะพี่ ไม่มีวัน ”
“ เจ้าพี่ ถ้าอยากจะมาหาเรื่องหม่อมฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำให้บ่าวไพร่มันตกอกตกใจหรอกเพคะ ”
“ พี่หรือหาเรื่องเจ้า สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายหาเรื่อง นังพวกนั้น ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้ ออกไปให้หมด ไป๊ ”
บรรดานางกำนัลต่างลนลานคลานออกไปนักขวราชจึงลุกขึ้นจะเดินออกไปด้วย เจ้าหัตถากานต์คว้าแขนของพระนางและกระชากให้นั่งลงบนตั่ง
“ เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ”
“ เจ้าพี่ ทรงทำเช่นนี้เกินไปแล้วนะเพคะ หม่อมฉันจะไม่อยู่ให้เจ้าพี่มาระบายอารมณ์ใส่หม่อมฉันอย่างนี้ ”
“ ก็เอาซี่ เจ้ากล้าดีออกไปจากตรงนี้ เจ้าลองดู ”
นักขวราชไม่กลัวพระนางผุดลุกขึ้นจะก้าวเดิน เจ้าหัตถากานต์คว้าคอของพระนางจับบีบอย่างแรงจนร่างบางที่พยายามดิ้นรนอ่อนแรงจึงทรงปล่อย พระเทวีฟุบลงกับพื้นและทรงกรรแสงอย่างอัดอั้นในพระทัยที่ถูกท้าวเธอมารังแกอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นนี้
“ ร้องไห้ ร้องไปเลย น้ำตาของเจ้ามันเรียกร้องได้ทุกอย่าง ร้องไปสิ ร้องๆๆๆ ”
สุรเสียงเหมือนกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ พระเกศาที่หลุดลุ่ยกับดวงหน้าที่ถทึงน่ากลัว นักขราชรู้ว่าเจ้าหัตถากานต์กำลังโกรธสุดขีด เขาไปทำอะไรมา ทำไมจึงโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้คงอาละวาดมาอย่างหนักแล้วด้วย แล้วทำไมต้องมาพาลที่พระนาง ช่างใจร้ายนักใจร้ายที่สุด
“ จะมาอาละวาดทำไม ถ้าไม่พอใจก็ฆ่ากันเสียเลย ”
“ หยุดนะ เจ้าอย่านึกว่าพี่ทำไม่ได้ ”
“ ก็ทำเลยสิเพคะ ”
“ นักขวราช หรือเจ้าอยากตายแล้วไปพบกับยอดดวงใจของเจ้า ไม่ต้องหรอก เจ้าไม่ต้องทำถึงเพียงนั้น ไม่ต้อง ”
“ เมื่อไหร่จะพอเสียที ”
“ พอหรือ เจ้าเรียกร้องให้ใครพอ ใจของเจ้าร้อนร่านไร้ยางอาย ”
เพี๊ยะ!!
ตกตะลึงทั้งสองพระองค์แต่ผู้ที่ถูกตบพระพักตร์ถึงกับกำพระหัตถ์แน่นเมื่อตั้งสติได้ก่อนจะผวาเข้าหาร่างบางที่ตกตะลึงที่บังอาจตบพระพักตร์พระพี่ยา
“ เจ้า บังอาจนัก ”
นักขวราชดิ้นรนสุดชีวิตเมื่อถูกพระพี่ยากอดปล้ำจูบขยี้อย่างคลั่งแค้น ทั้งตกใจทั้งเจ็บช้ำที่ถูกรังแกพระนางถึงกับช็อคหมดสติในอ้อมพระกรณ์ของท้าวเธอนั่นเอง
****
“ องค์ปู่เจ้ากำลังสวดมนต์อยู่นะพระเจ้าค่ะ ทรงสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน ”
ฑันทวาผู้ดูแลรับใช้องค์ปู่เจ้าทูลองค์หัตถากานต์ที่จะเข้าเฝ้าองค์ปู่เจ้า
“ แม้แต่ข้ารึ ”
“ ฝ่าบาท ทรงเป็นพระประสงค์องค์ปู่เจ้าจริงๆพระเจ้าค่ะ ”
“ หลีกทางข้านะฑันทวา ถ้าเจ้าไม่อยากเจ็บตัวเจ้าจงหลีก ”
ทรงตวาดอย่างเอาเรื่อง ฑันทวาถึงกับตัวสั่นงกเงิ่นทำอะไรไม่ถูก จะขัดคำสั่งขององค์ปู่เจ้าก็ไม่กล้า กลัวองค์เหนือหัวก็สุดจะกลัวมันแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เสียงของปู่เจ้าที่ดังออกมา
“ ให้พระองค์เข้ามาเถอะฑันทวา เจ้าขัดขวางพระองค์ไม่ได้หรอกเดี๋ยวจะเจ็บตัวซะเปล่าๆ ”
ฑันทวารีบถอยกรูด เจ้าหัตถากานต์เสด็จเข้าไปเฝ้าองค์ปู่เจ้าด้วยอาการที่ร้อนเร่าคลั่งแค้นเหลือเกิน
“ พ่อปู่ มันกลับมาแล้ว มันกลับมา มันไม่ยอมแพ้ ข้าจะทำอย่างไรดี ”
เจ้านครทิพย์ทรงฟุบพระพักตร์ลงกับแท่นหินกรรแสงอย่างคลั่งแค้นเหลือเกิน องค์ปู่เจ้าทอดพระเนตรเจ้านครที่กำลังกำศรวลอย่างสงบ จนเวลาผ่านไป
“ มหาบพิตร ทรงมีสติพิจารณาหน่อยสิว่าเหตุการณ์มันเป็นเช่นไร ”
“ สติหรือ ไหนว่ามนตราของพ่อปู่ตัดขาดมันออกจากชาติออกจากภพแห่งนาคราช มันไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้วไฉน บัดนี้มันจึงกลับมา มันกลับมาแล้ว ”
“ พระทัยเย็นๆเถิดพระองค์ ทรงลืมอะไรไปบ้างทรงพินิจดูเถิด อย่าให้ความโกรธบดบังความจริงสิฝ่าบาท ”
“ อะไรที่บดบังความจริง ข้าเห็นมากับตาพบมันมากับตัว พ่อปู่คงไม่คิดว่าข้าวิปลาศฟั่นเฟือนจนไม่สามารถจำใครได้หรอกใช่ไหม ”
“ ข้าไม่ได้ว่าฝ่าบาทฟั่นเฟือนเลือนเลอะ แต่ข้าต้องการเตือนพระสติให้ฝ่าบาทพิจารณาอะไรให้ถ่องแท้ต่างหาก ”
“ มีอะไรที่ข้าจะต้องพิจารณาในเมื่อข้าได้พบกับมันด้วยตัวของข้าเองมิใช่คำล่ำลือหรือบอกกล่าวจากผู้ใด ข้าเกือบจะฆ่ามันด้วยมือของข้าอีกครั้งแล้วแต่ติดที่มันไม่มีศาสตราวุธใดๆอยู่ในมือ ”
“ ทรงแน่พระทัยนะว่าเขาอยู่ชาติเดียวภพเดียวกับพระองค์มีสถานภาพเป็นนาคราชเช่นเรา ”
องค์หัตถากานต์ถึงกับอึ้ง จริงสิ ทรงโกรธจนลืมพิจารณาในข้อนี้ทรงร้อนรุ่มพระทัยจนไม่ทันได้พิเคราะห์ว่านควัจอยู่ในสถานภาพใด
“ แต่มันก็กลับมา มันมาที่นี่ข้ารู้ว่ามันกลับมาเพื่ออะไร ”
“ อานุภาพแห่งชาติภพนั้นข้าห้ามได้ แต่อานุภาพแห่งความปรารถนานั้นมันเป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละคนข้าไม่สามารถห้ามได้ ”
“ ข้าจะฆ่ามัน ”
“ แล้วพระองค์จะได้อะไรขึ้นมา ฆ่าเขาได้เขาก็เกิดใหม่แล้วกลับมาอีก แล้วพระองค์ก็ต้องตามฆ่าล้างผลาญเขาอีกไม่มีที่สิ้นสุด ”
“ แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่เป็นผล หรือข้าต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้จึงจะพอใจ ”
“ จะแพ้หรือชนะมันอยู่ที่ใจของพระองค์ ถ้าใจของพระองค์สงบชีวิตมันก็จะมีความสุข ”
“ ใจของข้ามันไม่มีวันสงบได้หรอก ตราบใดที่มันยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆข้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าข้าห้ามดวงใจปรารถนาของพวกเขาไม่ได้ แต่มันเป็นศักดิ์ศรีของข้าที่ข้าต้องรักษามันเอาไว้ ข้าทนไม่ไดที่จะให้พระสกนิกรของข้าดูหมิ่นเหยียดหยามข้าว่าเป็นผู้แพ้ให้แก่มัน ”
“ แล้วฝ่าบาทจะทำเช่นไร ”
“ ข้าจะจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นักขวราชเป็นพระเทวีเสียเลย ”
“ มีประโยชน์อันใด เพิ่มบาดแผลความเจ็บปวดให้กับพระองค์อย่างนั้นหรือ ได้มาแต่ร่างกาย จิตวิญญาณยังรักยังผูกพันกับผู้อื่น ผู้ที่เจ็บปวดทรมานก็จะเป็นพระองค์เอง และองค์นักขวราชก็จะไม่มีวันภักดีกับพระองค์ด้วย พระทัยนางจะยิ่งชิงชังพระองค์อีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณ ”
“ ฤาชีวิตของข้าจะต้องจมดิ่งทุกทรมานอยู่เช่นนี้ไปตลอดกาล ”
พระเจ้าหัตถากานต์ตรัสอย่างเจ็บปวดขมขื่นพระทัย
****
ปิคอัพโฟรวีลขับเลาะเลี้ยวตามทางลูกรังเล็กๆผ่านป่าละเมาะไปตามเชิงเขา
“ คุณวัตแน่ใจนะครับว่าแถวนี้จะมีบ้านคนอยู่ มันน่าจะเป็นเขตป่าสงวนแล้วนะครับ ”
“ มีสิครับ เมื่อวานผมยังจอดดูอยู่เลย บ้านหลังใหญ่โตเลยทีเดียวตอนแรกยังคิดว่าเป็นที่ทำการของอุทยานเลยแต่ดูแล้วไม่ใช่แน่เพราะมีรั้วรอบขอบชิด ”
“ แล้วคุณจะมาหาใครล่ะนี่ ”
“ ก็ มาทำความรู้จักกับเขาบ้างสิอย่างน้อยก็อยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน เผื่อมีอะไรก็ได้อาศัยไหว้วานกันได้ ”
“ เขาจะไม่ว่าเอาได้หรือว่าเราจะมารุ่มร่ามกับเขา ”
“ คงไม่หรอกเราแค่อยากมาทำความรู้จักกับเขาบ้างเท่านั้น นั่นไงเห็นไหมรั้วไม้ที่เห็นข้างหน้านั่นไง ผมบอกแล้วมีบ้านคนอยู่คุณก็ไม่เชื่อผม ”
“ โอ้โฮ รั้วสูงลิบยังกับกำพงวังโบราณเห็นแต่หลังคาบ้านลิบๆ แบบนี้เขาจะต้อนรับคนนอกหรือคุณวัต ดีไม่ดีอาจจะเป็นบ้านของพวกเจ้าพ่อมีอิทธิพลที่ไม่อยากคบค้ากับใครเราจะแย่นา ”
“ คิดมากได้คุณลือ เจ้าพ่อที่ไหนจะมาอยู่อย่างสันโดษอย่างนี้ ”
“ อ้าว ก็พวกเจ้าพ่อนั่นแหระมันถึงจะอยู่กันแบบนี้คนดีๆเขาไม่ต้องคอยหลบซ่อนที่อยู่กับใครหรอก ผมว่าเรากลับกันดีกว่าอย่าเข้าไปในบ้านเขาเลย ”
“ ปอดไปได้ ไหนๆก็มากันจนถึงแล้ว ลองเข้าไปหาเขาหน่อยจะเป็นไรไป ให้มันรู้ไปว่าเขาเป็นยังไง ถ้าเป็นเจ้าพ่อจริงอย่างคุณว่าคราวหน้าเราก็ไม่ต้องมาอีก ”
“ ผมกลัวจะไม่ได้กลับออกไปน่ะสิ ”
“ บ้าน่า ใครเขาจะมาทำอะไรเรา คนเราไม่ไม่ใช่อยู่ๆจะมาทำร้ายกันได้ง่ายๆหรอก ”
พูดจบภควัตก็บีบแตรรถเรียกคนในบ้านบุญลือถึงกับตาพอง
“ เฮ้ยคุณวัตเอาจริงหรือคุณ ”
“ อ้าวก็เอาจริงสิ เรามาจนถึงหน้าบ้านเขาแล้วไม่เข้าไปก็เสียความตั้งใจหมดพอดี ”
“ ผมไม่มั่นใจเลยว่ะ ”
“ กลัวอะไรนะคุณ แน่ะเห็นไหมมีคนมาเปิดเประตูให้เราแล้ว ไปหามิตรเพิ่มกันดีกว่า ”
ภควัตเคลื่อนรถมาในบริเวณบ้านแล้วจอดรถกดกระจกลง
“ สวัสดีครับผมจะมาขอพบท่านเจ้าของบ้านน่ะครับ ”
“ เชิญขอรับ นายทานให้เชิญคุณเข้าไปในบ้านเลยขอรับ ”
ภควัตหันหน้ามองบุญลือและยิ้มให้
“ เห็นไหมเขาเชิญเราแล้ว ”
บุญลือถอนใจยังกังวลใจที่จะต้องมารู้จักกับคนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ภควัตกับบุญลือตามคนรับใช้ของเจ้าของบ้านขึ้นมาบนเรือนและมานั่งคอยที่ตั่งรับแขก ทั้งสองมองไปรอบๆอย่างชอบใจกับการจัดบ้านและตกแต่งบ้านแบบโบราณ เรือนที่สร้างแบบโบราณหลังนี้ปลูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลังและไม้ที่สร้างคือไม้เนื้อดีที่ภควัตและบุญลือไม่รู้จักเลยว่าเป็นไม้ชนิดใดกระดานปูพื้นเรียบเสมอกันจนมองหารอยต่อของแผ่นกระดานไม่พบ มันเหมือนเป็นไม้ชิ้นเดียวกันทั้งพื้น สีของไม้เป็นสีเหลืองเข้มเหมือนลงขมิ้นในเนื้อไม้ ต้นเสาทรงกลมถูกแกะสลักลวดลายเป็นเครือเถาอ่อนช้อยงดงามทุกต้น ฝ้าเพดานคือแผ่นไม้แกะลวดลายงามวิจิตทั่วทั้งห้อง ผ้าม่านที่กันแสงจากหน้าต่างคือผ้าโปร่งสีทองนวลตาช่วยทำให้บรรยากาศในบ้านหลังนี้เรืองรองมีประกายสรแห่งทองฉาบฉายไปทั่วทั้งบ้าน
“ ข้างนอกว่าอลังการแล้ว เข้ามาในบ้านยิ่งสุดอลังการเลยนะคุณ ”
บุญลือกระซิบบอกภควัตหลังจากที่หันมองความวิจิตรงดงามของสถานที่นี้อย่างตื่นตา
เจ้าหัตถากานต์เดือนเข้ามาในห้องรับแขกที่ภควัตและบุญลือนั่งรออยู่ ภควัตถึงกับตาโตเมื่อรู้ว่าที่แท้เจ้าของบ้านหลังนี้คือผู้ชายที่ช่วยชีวิตของเขาให้รอดจากอสรพิษร้ายในวันนั้นนั่นเอง
“ ที่แท้ก็เป็นคุณนั่นเอง ”
เจ้าหัตถาการต์ยิ้มหากแต่แววตานั้นช่างตรงข้ามกับใบหน้าที่แสดงออกเหลือเกิน
“ ยินดีต้อนรับคุณนควัจ ”
“ รู้จักชื่อของผมด้วย ”
“ ไม่น่าแปลกไม่ใช่หรือ พวกคุณคือเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่มาสร้างเขื่อนที่นี่ ”
“ คือผมอยากมาทำความรู้จักกับคุณในฐานะที่เราเป็นคนต่างถิ่นมาเผื่อมีอะไรพอจะให้เรารับใช้บ้าง ”
เจ้าหัตถาการต์ยิ้มทรงจ้องมองผู้ที่นั่งตรงหน้าที่ไม่มีท่าทางของนควัจองค์เดิมเลย นควัจเวลานี้คือหนุ่มน้อยผู้ใสซื่อแววตาใสกระจ่างอย่างสมวัยแห่งมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น