เหนือมนตรา ตอนที่ 4

กระทู้สนทนา
“ ผมชื่อหัตถากานต์  ยินดีอย่างยิ่งที่คุณทั้งสองมาเยี่ยมเยียนถึงที่นี่  ”
“ ผมชื่อบุญลือครับผม  มีอะไรจะให้ผมรับใช้ผมก็ยินดีนะครับ  ”
“ บ้านของคุณสวยจัง  มองข้างนอกสวยแล้วได้เข้ามายิ่งสวยมาก  ”
“ มันเป็นเรือนพักยามที่ผมได้ขึ้นมาพำนักที่นี่เท่านั้น  ”
“ แสดงว่าคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ประจำ  ”

เจ้าหัตถากานต์ยิ้มแต่สายตามองภควัตแทบไม่ละสายตาบุญลือรู้สึกว่าสายตาของหัตถากานต์ผู้นี้น่ากลัวนักแม้ใบหน้าที่ยิ้มละมัยแต่แววตาช่างดุดันเสียเหลือเกินไม่รู้ว่าภควัตจะรู้สึกเหมือนเขาไหม  บุญลือยอมรับว่ารู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกที่นั่งคุยกับหัตถากานต์

“ ถ้าคุณชอบที่บ้านหลังนี้ก็ยินดีต้อนรับคุณทั้งสองเสมอ  ”
“ ขอบคุณมากครับ  ผมอาจจะมาเป็นแขกที่นี่บ่อยๆถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณกานต์และครอบครัวจนเกินไป  ”
“ ผมไม่เคยคิดว่าเพื่อนมาเยือนเป็นการรบกวนแต่อย่างใด  ”
“ แล้ว  เอ่อ  ภรรยาของคุณล่ะครับ  ”

เจ้าหัตถากานต์ทรงพระสรวลเบาๆ

“ ผมอยู่ที่นี่กับน้องสาวของผมและบริวารเพียงกี่คนเท่านั้น  ”
“ โอ  ที่คุณกานต์ยังเป็นโสด  ผมต้องขอโทษด้วยที่คิดว่าคุณมีภรรยาแล้ว  ”
“ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับน้องสาวของผม  ”

เจ้าหัตถากานต์ตรัสแล้วหันไปรับสั่งให้นางกำนัลที่นั่งรอถวายการรับใช้ไปเชิญองค์นักขวราชออกมา

“ เจ้าไปเชิญน้องหญิงออกมาพบข้าบอกนางว่าข้ามีแขกคนสำคัญจะให้นางรู้จัก  ”

แม้สรรพนามที่เจ้าหัตถากานต์รับสั่งกับนางกำนัลจะฟังดูเปร่งๆหูแต่ภควัตกับบุญลือก็ไม่ได้เฉลียวใจสงสัย  ภควัตกับบุญลือดื่มน้ำหวานที่เจ้าของบ้านเลี้ยงรับรอง  ความหอมหวานที่นุ่มชื่นในลำคออย่างที่สุดกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นของลูกไม้หรือผลไม้ทั้งคู่ไม่รู้ว่ามันคือผลไม้ชนิดใดแต่รสชาติชวนดื่มเหลือเกิน  ไม่นานน้องสาวของหัตถากานต์ก็เดินตามหญิงรับใช้สองคนออกมา  ทั้งภควัตทั้งบุญลือและองค์นักขวราชต่างตกตะลึงที่ได้เห็นกันเพียงแต่อาการตะลึงของทั้งสามแตกต่างกันออกไป  บุญลือนั้นตกตะลึงในความงามที่เขาถึงกับอุทานในใจว่า  อุแม่เจ้าเอ๋ยน้องสาวของหัตถากานต์ช่างสะสวยงดงามเสียเหลือเกิน  แต่ภควัตเขาจ้องมองนักขวราชเหมือนกับว่าเขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่หนึ่งที่ใดมาก่อน  สำหรับนักขวราชนั้นพระนางตื่นเต้นตกพระทัยอย่างไม่คาดคิดว่าจะทรงได้พบกับยอดดวงใจที่พระนางรอคอยมาอย่างยาวนาน  พระพักต์ที่งามผุดผาดซีดเผือดจนเจ้าหัตถากานต์ที่ทอดพระเนตรอิริยาบถของทุกคนอย่างไม่ว่างพระเนตรยิ้มเยาะ  

“ นักขวราช  น้องมารู้จักเพื่อนใหม่ของพี่หน่อยสิ  เขาชื่อว่า  ภควัตเป็นเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าที่มาสร้างเขื่อนใกล้กับบ้านเรา  ”

สุรเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลนั้นองค์นักขวราชรู้ดีว่าพระนางถูกเจ้าพี่หยามเยาะเอาซึ่งหน้าแล้ว  

“ สวัสดีครับยินดีที่รู้จักครับ  ”

ภควัตบอก  เขายิ้มให้เธอตามมารยาท  นักขวราชลงนั่งข้างๆพี่ชายและยกมือไหว้ภควัตหากจิตใจของพระนางนั้นสั่นระริกต้องควบคุมความรู้สึกตื่นเต้นอย่างเต็มที่
เจ้าหัตถากานต์ปรายดวงเนตรมองพระนางอย่างสะใจ  ภควัตพูดคุยกับพระองค์และนักขวราชอย่างธรรมดาและไม่นานเขาก็ลากลับไป

“ ฮ่า ๆๆๆ  ”

เจ้าหัตถากานต์พระสรวลดังลั่นอย่างสาแก่พระทัย  นักขวราชลุกขึ้นจะเดินหนี

“ เดี๋ยวสิ  เจ้าจะรีบไปไหนเล่าเทวี  หรือจะรีบไปแสดงอาการลิงโลดใจที่มันคับหัวอกจนอกจะแตกออกมา  ”
“ เจ้าพี่  ”

น้ำพระเนตรไหลพรั่งพรูออกมาอย่างสุดที่จะสะกดกลั้น

“ ทำไม  ตื่นเต้นดีใจจนร้องไห้เชียวหรือน้องพี่  ขนาดนั้นเชียวหรือ  ”
“ ทำไม  เจ้าพี่ต้องการอะไร  ต้องการอะไร  ”

ทรงสะอื้นจนร่างไหวเจ้าหัตถากานต์จ้องมองผู้ที่สะอึกสะอื้นอย่างทั้งรักทั้งแค้น

“ ต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ  นี่ไงชายคนรักของเจ้า ยอดดวงใจของเจ้า  เขากลับมาแล้วไง  ”
“ โหดร้าย  หม่อนฉันไม่เคยเห็นใครจิตใจโหดร้ายได้เท่าเจ้าพี่  ”
“ โหดร้ายหรือ  คนรักของเจ้ากลับมาแล้วไฉนมาว่าพี่โหดร้าย  ความรักที่ยิ่งใหญ่  รักจนยอมทำลายเกียรติของนครทิพย์  แล้วเป็นอย่างไร  การรอคอยของเจ้าสมหวังแล้วนี่  สมหวังใช่ไหม  ”

นักขวราชเชิดพระพักต์ตรัสทั้งสะอื้น

“ ใช่  หม่อมฉันรัก  รักเจ้าพี่นควัจ  รักถึงแม้รู้ว่าพระองค์จะไม่มีวันเหมือนเดิม  แต่ความรักของหม่อนฉันก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ไม่มีวัน  ”

นักขวราชตรัสจบก็วิ่งหนีออกไปเจ้าหัตถากานต์กำพระหัตถ์แน่น  เจ็บในอกแทบกระอัก  ทำไมน้องรักจึงไร้ซึ่งจิตสำนึกเช่นนี้


****


ภควัตได้รับการติดต่อจากสรีดาว่าจะเดินทางมาร่วมงานอัญมณีแฟร์ที่เชียงใหม่แล้วจะเลยขึ้นมาหาเขาที่น่านโดยเธอจะเดินทางมากับเพื่อนสาวที่มาจากสิงคโปร์ด้วย

“ แฟนโทรมาหรือครับพอวางสายก็ยิ้มคนเดียว  ”
“ เปล่าครับ  ”
“ เปล่า  แต่ท่าทางมันฟ้องนะ  แหมแฟนโทรมาก็ไม่เห็นต้องปิดกันเลย  หนุ่มรูปหล่ออย่างคุณมีแฟนแล้วถือเป็นเรื่องธรรมดา  ”
“ ไม่ใช่แฟนจริงๆ  เพื่อนน่ะ  พอดีเขามาที่เชียงใหม่แล้วจะขึ้นมาหา  ”
“ จริงหรือครับ  แล้วมาเมื่อไหร่ล่ะครับ  ”
“ คงถึงที่นี่พรุ่งนี้ตอนเย็น  ผมต้องไปรับที่สถานีขนส่ง  ”
“ แหมผมก็คิดว่าเป็นแฟนคุณโทรมา  ความจริงรูปหล่อหน้าที่การงานดีอย่างคุณไม่น่าเชื่อนะว่าจะหัวใจยังว่าง  ”
“ จะรีบไปทำไมล่ะครับ  ผมยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ถึงเวลาที่จะคิดแบบนั้น  ”
“ แหมฟังแล้วแปลกใจ  คุณคิดว่าตัวเองยังไม่ถึงเวลาจะมีแฟน  นี่ถ้าใครฟังเขาคงขำคุณตาย  ดีไม่ดีจะมองคุณแบบอื่นนะ  ”
“ แบบไหนครับ  อย่าบอกนะว่าคิดว่าผมผิดปรกติทางด้วยจิตใจ  ผมชายร้อยเปอร์เซ็นต์  ไม่ชอบไม้ป่าเดียวกันเด็ดขาด  ”
“ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนล่ะครับ  สาวเหนือถิ่นนี้ก็สวยเย้ายวนใจไม่เบานะคุณ  สนใจใครเป็นพิเศษก็บอกผมได้เลยนะถ้าผมพอช่วยได้ผมยินดีเต็มที่เลย  ”
“ ผมคงไม่รบกวนคุณหรอก  ”

อุดมหัวเราะชอบใจที่ภควัตตอบแบบนั้น  ภควัตนึกถึงใบหน้างดงามของใครคนหนึ่งแต่เขาก็รีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากใจแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของเขาไปเมื่อสายตาและจิตใจจดจ่อกับงานความรู้สึกต่างๆก็เลือนหายไปจากใจ


****


แสงจันทร์ในวันนี้ช่างสุกสว่างกระจ่างฟ้าเหลือเกิน  ภควัตพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับจนเกือบเที่ยงคืนจึงตัดสินใจลุกออกมาเดินเล่นที่หน้าระเบียงบ้านพัก  แสงสว่างจากพระจันทร์คืนวันเพ็ญสว่างนวลไปทั่วบริเวณ  ชายหนุ่มจึงลงมาเดินชมแสงจันทร์ข้างล่าง  อากาศยามดึกเย็นจนหนาว  ยามเฝ้าแคมป์สองคนเดินไปเดินมาภควัตคิดจะเข้าไปคุยด้วย  แต่เปลี่ยนใจเมื่อเห็นรถจักรยานจอดอยู่  ขี่รถเล่นตอนดึกน่าจะดีเพราะถ้าร่างกายเหนื่อยล้าก็คงจะหลับได้อย่างสบาย  ขี่รถผ่านหน้ายาม  ยามจึงตะโกนทัก

“ คุณวัตดึกดื่นป่านนี้คุณจะไปไหนครับ  ”
“ แถวๆนี้แหละ  คืนนี้พระจันทร์สว่างขอขี่รถชมจันทร์สักหน่อย  ”
“ ไปที่แหลมสิครับ  พระจันทร์สว่างอย่างนี้มองลงไปที่กลางลำน้ำสวยอย่าบอกใครเชียวคุณ  ”
“ เฮ้ย  มันไกลนะเอ็งไปแนะนำคุณวัตได้อย่างไรนี่มันกลางคืนนะไม่ใช่กลางวัน  ”

ยามอีกคนแย้ง

“ ก็กลางคืนน่ะสิ  ถ้ากลางวันจะแนะนำไปทำไม  คืนพระจันทร์เต็มดวงอย่างนี้น้ำในบึงสะท้อนแสงจันทร์มันสวยจับตานักเชียว  ”

ดังนั้นภควัตจึงขี่รถจักรยานมุ่งหน้าไปที่แหลมตามที่ยามแนะนำ  ถนนลูกลังเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์ที่สว่างนวลจึงขาวกระจ่างเหมือนลำตัวของพญางูยักษ์ที่เลื้อยทอดยาวไปเบื้องหน้า  เนินที่จะขึ้นไปยังแหลมเริ่มจะชันภควัตจึงจอดรถจักรยานเอาไว้แล้วเดินเท้าขึ้นไปเอง  เมื่อขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุดของแหลมแล้วมองลงไปยังท้องน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับมันช่างงดงามสมกับคำบอกความจริง  แต่ภควัตต้องชะงักเมื่อเขามองเห็นคนสองคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างจากเนินลงไป  มองก็รู้ว่าทั้งสองนั้นเป็นชายหนึ่งและหญิงหนึ่ง  ภควัตกลัวจะเป็นการเสียมารยาทที่เขามาเป็นบุคคลที่สามโดนไม่เจตนาเขาจึงหันหลังจะกลับ

“ เดี๋ยวก่อนสินควัจ  เจ้ามาถึงที่นี่แล้วใยจะรีบกลับเล่า  ”

ภควัตชะงัก  เขาจำได้ว่าผู้ที่เรียกเขานั้นคือหัตถากานต์เจ้าของเรือนทรงโบราณหลังนั่นเอง

“ คุณกานต์  เป็นคุณเองหรอกหรือ  มาชมจันทร์จนถึงที่นี่เชียวนะครับ  ”

ภควัตรีบเดินเข้าไปหาคนทั้งสองที่ยืนอยู่ชายเนินลงไป

“ ที่นี่หากใครมายืนตรงบริเวณนี้จะสามารถมองเห็นอาณาจักรแห้งท้องน้ำได้ทั่ว  ”
“ คุณมากันอย่างไรครับนี่  ”
“ ขับรถมา  ”

ภควัตมองน้องสาวของหัตถากานต์ที่ยืนฟังเงียบไม่พูดไม่จา  แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทำให้ใบหน้าที่งดงามของ
นักขวราชงามนัก  เส้นผมที่พลิ้วไหวต้องสายลมภควัตเผลอมองอย่างลืมตัว

“ พระจันทร์คืนนี้สวยจังเลยนะครับ  ไม่มีเมฆมาบังให้หมองแสงเลย  ”  
“ ผมพาคนที่รอคอยมาดื่มด่ำกับแสงจันทร์เพื่อจะกลับไปเริ่มต้นการรอที่ไม่มีวันสมหวัง  ”

ภควัตขมวดคิ้ว  คำพูดของหัตถากานต์ฟังแล้วเขาไม่เข้าใจเลย

“ คุณเคยรออะไรที่ยาวนานบ้างไหม  คุณนควัจ  ”
“ ไม่เคยครับ  ”

เสียงหัวเราะเบาๆจากหัตถากานต์ภควัตยิ่งรู้สึกแปลกๆ  เขามองนักขวราชที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นความรู้ของเขาบอกว่าสองพี่น้องคู่นี้น่าจะกำลังมีปัญหาอะไรกันแน่ๆ

“ นี่ก็ดึกมากแล้ว  ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ  ”
“ ประเดี๋ยวก่อนสิ  ผมกับนักขวราชยังอยากคุยกับคุณ  ”
“ แต่ฉันอยากจะกลับ  ”

น้ำเสียงฟังก็รู้ว่าอยู่ในภาวะอารมณ์ไม่ปรกติของนักขวราช  ภควัตเงียบ  แน่แล้วสองพี่น้องนี่ต้องมีเรื่องขัดใจกันแน่  

“ ผมก็ต้องขอตัวกลับ  ราตรีสวัสดิ์นะครับคุณกานต์คุณนักขวราช

ภควัตหันหลังเดินลิ่วกลับลงมาจากเนินโดยไม่ได้หันกลับไปมองว่าเบื้องหลังของเขานั้นคนทั้งสองจะเป็นอย่างไร







...พิมพ์พิลาสฒ์...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่