ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดให้ประชุมอำมาตย์ราช-
*บริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้าเป็นต้น จนคนรักษา
ประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา แล้วตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ เขา
เหล่านั้นอันท้าวเธอตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแก้ถวาย
ท้าวเธอ ท้าวเธอได้ฟังคำทูลแก้ของพวกเขาแล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อพระราชา (ชนชั้นปกครอง ในสมัยที่ท่านกล่าวว่า
มนุษย์มีอายุขัย ๘ หมื่นปี ซึ่งข้อนี้เป็นการคำนวณเทียบส่วนแห่งความต้องการของ๑กิเลสกับ
ความเป็นอยู่ของมนุษย์) มีการกระทำชนิดที่เป็นไปแต่เพียงเพื่อการรักษาป้องกัน
และคุ้มครอง อารักขา,แต่มิได้เป็นไปเพื่อการกระทำให้เกิดทรัพย์
แก่บุคคลผู้ไม่มีทรัพย์ทั้งหลาย ดังนั้นแล้ว
ความยากจนขัดสน จึงเกิดโจรขโมยทรัพย์ของคนอื่นไป..............
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของ
คนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
เขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้
ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ ฯ
บุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
ร. เพราะเหตุไร ฯ
บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเรา
จักให้ทรัพย์แก่คนที่ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นเสมอไป อทินนาทานนี้จักเจริญทวี
ขึ้นด้วยประการอย่างนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจะให้คุมตัวบุรุษผู้นี้ให้แข็งแรง จะทำ
การตัดต้นตอ ตัดศีรษะของบุรุษนั้นเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอ
ตรัสสั่งบังคับราชบุรุษทั้งหลายว่า แน่ะ พนาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเชือก
เหนียวๆ มัดบุรุษนี้ให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น
แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตู
ด้านทักษิณ จงคุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้นเสีย นอก
พระนครทิศทักษิณ ราชบุรุษทั้งหลายรับพระราชดำรัสของเธอแล้ว จึงเอาเชือก
เหนียวมัดบุรุษนั้นให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น แล้วพา
ตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตูด้านทักษิณ
คุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้น นอกพระนคร
ทิศทักษิณแล้ว ฯ
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะความยากจนขันสนเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อทินนาทาน
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะอทินนาทานเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด การใช้ศัสตราวุธ
โดยวิธีการต่าง ๆ ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะการใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่าง ๆ เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
ปาณาติบาต (ซึ่งหมายถึงการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า
ถึงที่สุด;เพราะปาณาติบาตเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มุสวาท (การ
หลอกลวงคดโกง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี
บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดง
แก่พระราชาผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกพร้อมด้วยกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่าง
นี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของ
คนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูล คำเท็จทั้งรู้อยู่ว่า ไม่จริงเลยพระพุทธเจ้าข้า ฯ
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๔ หมื่นปี)เพราะมุสาวาทเป็นไป
อย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปิสุณาวาท (การพูดจายุแหย่เพื่อการแตกกัน
เป็นก๊กเป็นหมู่ ทำลายความสามัคคี) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒ หมื่นปี)
เพราะปิสุณาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด กาเมสุมิจฉาจาร
(การทำชู้ การละเมิดของรักของบุคคลอื่น) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
สัตว์บางพวกมีวรรณะดี สัตว์บางพวกมีวรรณะไม่ดี ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น
สัตว์พวกที่มีวรรณะไม่ดีก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี
ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น ฯ
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑ หมื่นปี)
เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ผรุสวาท และ
สัมผัปปลาปวาท (การใช้คำหยาบ และคำพูดเพ้อเจ้อเพื่อความสำราญ) ก็เป็นไปอย่าง
กว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕ พันปี) เพราะผรุสวาท และสัมผัปปลาปวาท
เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุดอภิชฌาและพยาบาท (แผนกการกอบโกย และการทำ
ลายล้าง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรง กล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปี) เพราะอภิชฌาและพยาบาท
เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิดชนิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
นิยมความชั่ว) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรง กล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑,๐๐๐ ปี) เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นไปอย่างกว้างขวาง
แรงกล้าถึงที่สุด(อกุศล)ธรรมทั้งสามคือ อธัมมราคะ (ความยินดีที่ไม่เป็นธรรม) วิสมโลภะ (ความ
โลภไม่สิ้นสุด) มิจฉาธรรม (การประพฤติตามอำนาจกิเลส)ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่
สุด(อย่างไม่แยกกัน);แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย
แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี ฯ
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕๐๐ ปี)เพราะ(อกุศล)ธรรม ทั้งสาม...
คือ อธรรมราคะ ๑- วิสมโลภ ๒- มิจฉาธรรม ๓- ก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อธรรม
๓ ประการถึงความแพร่หลายนั้นเป็นไป
อย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด(อกุศล) ธรรมทั้งหลายคือ ไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องในมารดา,
บิดา, สมณะ,-พราหมณ์, และ ไม่มีกุลเชฏธาปจายนธรรม (ความอ่อนน้อมตามฐานะสูงต่ำ),
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด. แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็
เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตร
ของมนุษย์ที่มีอายุ ๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๕๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๐๐ ปี ฯ
@(๑) ความกำหนัดในฐานะอันไม่ชอบธรรม (๒) ความโลภไม่เลือก (๓) ความ
@กำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐-๒๐๐-๑๐๐ ปี)
ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท แห่ง มิคสัญญีสัตถันตรกัปป์(ภาวะสงคราม)
*บริพารโหราจารย์และมหาอำมาตย์ นายกองช้าง นายกองม้าเป็นต้น จนคนรักษา
ประตู และคนเลี้ยงชีพด้วยปัญญา แล้วตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐ เขา
เหล่านั้นอันท้าวเธอตรัสถามจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแก้ถวาย
ท้าวเธอ ท้าวเธอได้ฟังคำทูลแก้ของพวกเขาแล้ว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อพระราชา (ชนชั้นปกครอง ในสมัยที่ท่านกล่าวว่า
มนุษย์มีอายุขัย ๘ หมื่นปี ซึ่งข้อนี้เป็นการคำนวณเทียบส่วนแห่งความต้องการของ๑กิเลสกับ
ความเป็นอยู่ของมนุษย์) มีการกระทำชนิดที่เป็นไปแต่เพียงเพื่อการรักษาป้องกัน
และคุ้มครอง อารักขา,แต่มิได้เป็นไปเพื่อการกระทำให้เกิดทรัพย์
แก่บุคคลผู้ไม่มีทรัพย์ทั้งหลาย ดังนั้นแล้ว
ความยากจนขัดสน จึงเกิดโจรขโมยทรัพย์ของคนอื่นไป..............
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของ
คนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดงแก่ท้าวเธอพร้อมด้วยกราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
เขาพากันกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษผู้นั้นว่า พ่อบุรุษ ได้
ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ ฯ
บุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
ร. เพราะเหตุไร ฯ
บุ. เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเรา
จักให้ทรัพย์แก่คนที่ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นเสมอไป อทินนาทานนี้จักเจริญทวี
ขึ้นด้วยประการอย่างนี้ อย่ากระนั้นเลย เราจะให้คุมตัวบุรุษผู้นี้ให้แข็งแรง จะทำ
การตัดต้นตอ ตัดศีรษะของบุรุษนั้นเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวเธอ
ตรัสสั่งบังคับราชบุรุษทั้งหลายว่า แน่ะ พนาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเชือก
เหนียวๆ มัดบุรุษนี้ให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น
แล้วพาตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตู
ด้านทักษิณ จงคุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้นเสีย นอก
พระนครทิศทักษิณ ราชบุรุษทั้งหลายรับพระราชดำรัสของเธอแล้ว จึงเอาเชือก
เหนียวมัดบุรุษนั้นให้มือไพล่หลังให้แน่น เอามีดโกนๆ ศีรษะให้โล้น แล้วพา
ตระเวนตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว ออกทางประตูด้านทักษิณ
คุมตัวให้แข็งแรง ทำการตัดต้นตอ ตัดศีรษะบุรุษนั้น นอกพระนคร
ทิศทักษิณแล้ว ฯ
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะความยากจนขันสนเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อทินนาทาน
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะอทินนาทานเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด การใช้ศัสตราวุธ
โดยวิธีการต่าง ๆ ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะการใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่าง ๆ เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด
ปาณาติบาต (ซึ่งหมายถึงการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้า
ถึงที่สุด;เพราะปาณาติบาตเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มุสวาท (การ
หลอกลวงคดโกง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี
บุรุษคนหนึ่งขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป เขาช่วยกันจับบุรุษนั้นได้แล้ว จึงแสดง
แก่พระราชาผู้กษัตริย์ ซึ่งได้มูรธาภิเษกพร้อมด้วยกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
บุรุษผู้นี้ขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาพากันกราบทูลอย่าง
นี้แล้ว ท้าวเธอจึงตรัสคำนี้กะบุรุษนั้นว่า พ่อบุรุษ ได้ยินว่า เธอขโมยเอาทรัพย์ของ
คนอื่นไปจริงหรือ บุรุษนั้นได้กราบทูล คำเท็จทั้งรู้อยู่ว่า ไม่จริงเลยพระพุทธเจ้าข้า ฯ
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๔ หมื่นปี)เพราะมุสาวาทเป็นไป
อย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปิสุณาวาท (การพูดจายุแหย่เพื่อการแตกกัน
เป็นก๊กเป็นหมู่ ทำลายความสามัคคี) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒ หมื่นปี)
เพราะปิสุณาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด กาเมสุมิจฉาจาร
(การทำชู้ การละเมิดของรักของบุคคลอื่น) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
สัตว์บางพวกมีวรรณะดี สัตว์บางพวกมีวรรณะไม่ดี ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น
สัตว์พวกที่มีวรรณะไม่ดีก็เพ่งเล็งสัตว์พวกที่มีวรรณดี
ถึงความประพฤติล่วงในภรรยาของคนอื่น ฯ
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑ หมื่นปี)
เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ผรุสวาท และ
สัมผัปปลาปวาท (การใช้คำหยาบ และคำพูดเพ้อเจ้อเพื่อความสำราญ) ก็เป็นไปอย่าง
กว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕ พันปี) เพราะผรุสวาท และสัมผัปปลาปวาท
เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุดอภิชฌาและพยาบาท (แผนกการกอบโกย และการทำ
ลายล้าง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรง กล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปี) เพราะอภิชฌาและพยาบาท
เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิดชนิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
นิยมความชั่ว) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรง กล้าถึงที่สุด;
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑,๐๐๐ ปี) เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นไปอย่างกว้างขวาง
แรงกล้าถึงที่สุด(อกุศล)ธรรมทั้งสามคือ อธัมมราคะ (ความยินดีที่ไม่เป็นธรรม) วิสมโลภะ (ความ
โลภไม่สิ้นสุด) มิจฉาธรรม (การประพฤติตามอำนาจกิเลส)ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่
สุด(อย่างไม่แยกกัน);แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย
แม้วรรณะก็เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะ
บ้าง บุตรของมนุษย์ที่มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี ก็มีอายุถอยลงเหลือ ๕๐๐ ปี ฯ
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕๐๐ ปี)เพราะ(อกุศล)ธรรม ทั้งสาม...
คือ อธรรมราคะ ๑- วิสมโลภ ๒- มิจฉาธรรม ๓- ก็ได้ถึงแก่ความแพร่หลาย เมื่อธรรม
๓ ประการถึงความแพร่หลายนั้นเป็นไป
อย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด(อกุศล) ธรรมทั้งหลายคือ ไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องในมารดา,
บิดา, สมณะ,-พราหมณ์, และ ไม่มีกุลเชฏธาปจายนธรรม (ความอ่อนน้อมตามฐานะสูงต่ำ),
ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด. แม้อายุของสัตว์เหล่านั้นก็เสื่อมถอย แม้วรรณะก็
เสื่อมถอย เมื่อพวกเขาเสื่อมถอยจากอายุบ้าง เสื่อมถอยจากวรรณะบ้าง บุตร
ของมนุษย์ที่มีอายุ ๕๐๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๕๐ ปี บางพวกมีอายุ ๒๐๐ ปี ฯ
@(๑) ความกำหนัดในฐานะอันไม่ชอบธรรม (๒) ความโลภไม่เลือก (๓) ความ
@กำหนัดด้วยอำนาจความพอใจผิดธรรมดา
(สมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐-๒๐๐-๑๐๐ ปี)