การพิสูจน์ดูกรรมและผลของกรรม พิสูจน์ดูการตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ พิสูจน์ดูโลกนี้และโลกหน้า

ผู้มุ่งความสุขความเจริญแก่ตนในปัจจุบันและอนาคต จึงไม่ควรมองข้ามหลักของกรรมซึ่งมีอยู่กับทุกคน ถ้ากรรมและผลของกรรมไม่มีอยู่ในมวลมนุษย์และสัตว์แล้ว โลกก็ไม่ควรทำกรรมและไม่ควรได้เสวยผลของกรรม อันเป็นส่วนดี ชั่ว และสุข ทุกข์อย่างที่เห็น ๆ รู้ ๆ กันอยู่ทั่วดินแดน ไม่มีรายใดจะอยู่เหนืออำนาจความดี ชั่ว และสุข ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกฎของกรรมที่ตนทำไว้เลย อนึ่งถ้าคนและสัตว์ที่ตายแล้วสูญจริง ๆ ก็ไม่ควรมีคนและสัตว์มาเกิดและเสวยสุขและทุกข์ อันเป็นเรื่องของกรรมเกลื่อนอยู่ในโลกที่เข้าใจว่าตายแล้วสูญนี้อีกต่อไป โลกนี้จะได้มีเวลาว่างจากการต้อนรับความเกิดความตายของคนและสัตว์ไปบ้าง แม้จะมีอยู่บ้างก็ควรให้เป็นหน้าที่ของต้นไม้ ภูเขา และดินฟ้าอากาศ ซึ่งไม่รู้ภาษีภาษา เป็นผู้เกิด ตาย รับเคราะห์กรรมแทนมวลมนุษย์และสัตว์เป็นการเหมาะสมยิ่ง

แต่เพราะเหตุใด การเกิด ตาย จึงเป็นเรื่องของมนุษย์และสัตว์เสียเอง ทั้งนี้เพราะกรรมและผลของกรรมไม่ใช่ฟุตบอล จึงมิได้กลิ้งไปตามความชอบใจของผู้ต้องการให้เป็นต่าง ๆ แต่มันขึ้นอยู่กับผู้ทำกรรมต่างหาก ผลคือความดี ความชั่ว และสุข ทุกข์ จึงมิได้สูญไปจากโลกที่ทำกรรมอยู่เป็นประจำ

ฉะนั้น การพิสูจน์ดูกรรมและผลของกรรม พิสูจน์ดูการตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ พิสูจน์ดูโลกนี้และโลกหน้า และพิสูจน์ดูความเปลี่ยนแปลงของภพชาติ ถ้าไม่ย้อนเข้ามาพิสูจน์ตัวเองซึ่งเป็นองค์การสำคัญของสิ่งเหล่านั้นแล้ว จะไม่มีวันพบหลักฐานความจริงได้เลย เช่นเดียวกับการตะครุบเงานอกจากตัวนั่นแล เพราะหลักสำคัญของสิ่งเหล่านั้นมันขึ้นอยู่กับใจของแต่ละราย ๆ ใจซึ่งเป็นผู้ทำงานในหน้าที่เหล่านี้โดยตรงและเป็นเวลานานแสนนาน ทำไมจะไม่รู้ผลงานในหน้าที่ของตัว

งานทางโลกที่เขาทำขึ้นมากน้อยเท่าไร แม้จะมีการหลงลืมไปบ้าง แต่เมื่อมาตรวจค้นดูบัญน้ำบัญชีแล้วก็ยังพอทราบได้ว่า ได้มาเท่านั้น จ่ายหมดไปเท่านั้น ยังคงเหลืออยู่เท่านั้น แต่งานของใจที่ทำการสั่งสมกรรมดี กรรมชั่ว ผลดี ผลชั่ว สุข ทุกข์ และสั่งสมภพชาติใหญ่น้อยใส่ตัวเองให้ได้รับผลเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ตลอดกาล ก็ควรจะทำการตรวจค้นดูบัญชีภายในใจบ้าง โดยวิธีอบรมใจให้ได้รับความสงบซึ่งเป็นวิธีรวมยอดผลรายได้ที่ใจทำและเก็บสั่งสมไว้ และใช้ปัญญาตรวจตราคลี่คลายนับอ่านดูสิ่งนั้น ๆ ที่ใจทำและเก็บรวบรวมไว้บ้าง ย่อมจะมีทางรู้ได้โดยลำดับ และมีทางระบายหรือขับถ่ายสิ่งที่เห็นว่าเป็นภัยแก่ใจออกได้เป็นลำดับ

ยิ่งมีการรวบรวมโดยทางสมาธิ และคลี่คลายโดยทางปัญญาได้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีทางรู้เรื่องของตัวมากขึ้น ว่าใจเป็นผู้ก่อกรรมทำเข็ญ สร้างภพสร้างชาติใส่ตัวเอง เพราะการเกิดการตายทุกภพทุกชาติมันเป็นเรื่องของจิตแต่ผู้เดียว ไม่มีสิ่งใดมาแย่งหน้าที่ทำได้ แม้การคลี่คลายดูสิ่งที่จิตสั่งสมไว้ภายในตนก็เป็นหน้าที่ของจิตจะหาอุบายเลือกเฟ้นเพื่อปลดเปลื้องตนเอง จนปรากฏเป็นอาสวักขยญาณขึ้นมาที่ใจดวงเคยเป็นโรงงานสั่งสมเรื่องต่าง ๆ ทับถมตัวเองนั้น คำว่ากรรมดีก็ดี ผลของกรรมทุกประเภทก็ดี ตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญก็ดี ภพหน้ามีหรือไม่มีก็ดี การเปลี่ยนแปลงแห่งภพชาติของสัตว์ก็ดี ทั้งนี้จะถูกเปิดเผยขึ้นมาที่ใจโดยไม่ต้องสงสัยและถามใคร

การพิสูจน์ดูเรื่องที่เกิดกับตัวมีเรื่องกรรมเป็นต้น ต้องพิสูจน์ลงที่สาเหตุ คือใจ จะไปพิสูจน์ที่อื่นไม่มีวันเจอความจริงตลอดกาล แม้ใจจะทำหน้าที่สั่งสมกรรมร้อยแปดพันประการ และพาให้เกิดให้ตายอยู่ตลอดอนันตกาลก็ไม่มีทางทราบได้เลย ถ้าไม่พิสูจน์ลงที่ต้นเหตุคือใจ การพิสูจน์ไม่เจอต้นเหตุข้อเท็จจริงประจักษ์ใจ ไฉนจะสามารถรู้ได้ว่าความเป็นมา ความเป็นอยู่ และความไปเป็นของจิต เป็นมาด้วยวิธีใด ขณะนี้จิตเป็นอยู่อย่างไร ข้างหน้าจิตจะเป็นไปอย่างไร

หลักของวัฏฏะ ได้แก่ต้นเหตุ คือใจเป็นผู้ประดิษฐ์กรรมดีกรรมชั่ว ใจจึงเป็นเหมือนโรงงานผลิตสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จรูปออกมา ที่เรียกกันว่าผลกรรม ซึ่งทำให้ผู้รับเสวยเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ เพราะอำนาจของกิเลสที่เป็นเชื้อฝังอยู่ภายในใจผลักดันให้ทำกรรม ในวัฏวนสาม ท่านกล่าวไว้ว่า กิเลสวัฏฏะ กรรมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ กิเลสเป็นเหตุให้สัตว์ทำกรรมและให้รับเสวยผล วนไปเวียนมาทำนองนี้ตลอด อนันตกาล เพราะกิเลสเป็นเหตุเพียงอันเดียวเท่านั้น วัฏฏะของใจก็หมุนไปเวียนมา ไม่มีวันจบสิ้น ถ้ามิได้ดับเชื้อภายในนี้เสียให้สิ้นซากลง กรรมและวิบากย่อมมีทางสืบต่อการเกิดการตายของสัตว์ ผู้จำต้องรับผลตามลำดับแห่งภพ จะหาวันสิ้นสุดลงไม่ได้ ต้องเป็นวัฏวนอยู่ทำนองนี้ตลอดไป

การตายแล้วสูญตามความคิดเห็นของนานาจิตตังนั้น จึงหาที่สอดแทรกลงไม่ได้ในระหว่างแห่งภพของสัตว์ผู้มีกิเลสภายในใจ ซึ่งรอจะเกิดอยู่ทุกโอกาสที่จิตเคลื่อนย้ายออกจากร่างเก่าภพเก่าของตน เพื่อปฏิสนธิในภพต่อไป ก็การตายแล้วสูญนี้ ผู้แสดงไม่สามารถจะหาหลักฐานยืนยันได้ว่า สูญเพราะเหตุไร เพราะตามที่สังเกตกันทั่ว ๆ ไปแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีอะไรสูญไปจากโลกที่สมบูรณ์ด้วยวัตถุและนามธรรมนานาชนิดนี้เลย ถ้าทุกสิ่งสูญจริงตามที่เข้าใจแล้ว สัตว์ บุคคล หญิง ชาย นานาชนิดเกิดมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีสิ่งมีอยู่เป็นตัวรับประกันแล้ว ทุก ๆ สิ่งไม่ว่าเพียงสัตว์ บุคคล แม้ต้นไม้ ภูเขา ตลอดสิ่งไม่มีวิญญาณครองทั่ว ๆ ไป จะปรากฏขึ้นมาไม่ได้เลย เท่าที่สิ่งต่าง ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาได้ทั้งนี้ เพราะฐานเดิมในคำว่ามีรับรองตายตัวอยู่แล้ว เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ เหล่านี้เป็นธาตุเดิม ตั้งเป็นหลักอยู่อย่างสมบูรณ์ ส่วนอาศัยจึงมีทางเกิดขึ้นได้

สิ่งที่มีวิญญาณครอง เช่น มนุษย์และสัตว์เป็นต้น ก็มีจิตหรือใจเป็นเชื้อเดิมที่ไม่มีการสูญเสีย เป็นหลักประกันความเกิดให้สัตว์และบุคคลมีโอกาสปรากฏตัวขึ้นมา คือ อาศัยธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ อันเป็นมาจากธาตุเดิมด้วย อาศัยจิตอันเป็นตัวธาตุเดิม และรับประกันทางด้านความรู้สึกประจำร่างของสัตว์และบุคคลด้วย ทั้งฝ่ายธาตุรู้ คือจิต และฝ่ายธาตุไม่รู้ คือดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุผสมส่วนกันเข้าตามกฎของวัฏฏะหรือกฎของธรรมชาติของความหมุนเวียนได้ส่วนสัดกันแล้ว ย่อมปรากฏตัวออกมาที่โลกให้นามว่าเกิด แต่เมื่อถึงกาลที่สิ่งผสมนี้สลายตัวลงสู่ธาตุเดิมของตน ๆ โลกก็ให้นามอีกนามหนึ่งในธาตุจำพวกเดียวกันนั่นเองว่า ตาย

เรื่องเกิดเรื่องตายจึงออกมาจากกองผสมแห่งธาตุของคนและสัตว์รายหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง การสลายของธาตุกองผสมนี้ย่อมลงไปรวมอยู่ในธาตุเดิมอันเป็นส่วนใหญ่ของตน ตนมิได้สูญสิ้นไปไหน แม้จิตที่เป็นธาตุรู้ เมื่อออกจากร่างแล้วก็แสวงหาที่ปฏิสนธิต่อไปตามอำนาจของเชื้อที่มีอยู่กับตัวจะอำนวยในกำเนิดใด เป็นธรรมชาติไม่สูญ เช่นเดียวกับธาตุทั่ว ๆ ไป

กฎแห่งความหมุนเวียนของธาตุย่อมมีอยู่เป็นธรรมชาติแต่ไหนแต่ไรมา เช่นสัตว์เกิดสัตว์ตาย ก็คือความแปรสภาพ หรือความหมุนเวียนของธาตุนั่นเอง มิใช่ความสูญสิ้นของธาตุ ถ้าทุกสิ่งที่ให้นามว่า ธาตุเดิม แต่สูญสิ้นไปเสีย โลกนี้หรือโลกไหนก็เป็นโลกอยู่ไม่ได้ เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ ได้สูญสิ้นไป สิ่งที่เป็นธาตุอาศัย เช่น ต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ บุคคล เป็นต้น ก็สูญสิ้นไปตาม ๆ กัน ไม่มีสิ่งใดจะฝืนตัวอยู่คนเดียวและสิ่งเดียวได้ในโลกสูญโดยประการทั้งปวง

วิญญาณธาตุ ถ้าแปลตามภาษาโลกเราฟังกันง่าย ๆ ก็คือ จิต นั่นเอง ร่างของสัตว์ของบุคคลที่มีความรู้สึกแฝงอยู่เนื่องจากจิตเข้าครองตัวอยู่ แม้จะมีรูปร่างต่างกันแต่จิตในความรู้สึกเป็นจิตเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เป็นเพราะกรรมที่เป็นพลังฝังอยู่ภายในจิต ดีหรือชั่วเป็นสิ่งผลักดันให้ไปเกิดในกำเนิดต่าง ๆ แม้จะเป็นกำเนิดที่ไม่พึงพอใจ ก็จำต้องยอมรับผลของกรรมที่ตนทำไว้ เช่นเดียวกับลูกหญิงลูกชายที่เกิดจากหัวอกพ่อแม่ แม้จะเป็นคนหูหนวก ตาบอด ใบ้ บ้า เสียจริต มีอวัยวะไม่สมประกอบ ก็จำต้องยอมรับว่าเป็นบุตรธิดาของตนฉะนั้น เพราะฉะนั้นคนหรือสัตว์จึงมีการเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันในคุณสมบัติประจำตน แม้จะเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน และเป็นมนุษย์ประเภทเดียวกัน ก็ย่อมมีลักษณะต่างกัน เพราะอำนาจแห่งกรรมที่ทำไว้ไม่เหมือนกัน จำแนกสัตว์ให้ประณีตเลวทรามต่างกัน

ถ้ามิใช่กฎของกรรม คือยกมามอบให้เป็นกฎของเราทุกคนมีอำนาจเสียเองแล้ว ต่างก็ปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนปราสาทสูงห้าแสนโยชน์ตั้งอยู่เหนือทุกข์ทั้งมวล ไม่ยอมให้ทุกข์หน้าไหน ๆ ตามรบกวนใจได้เลย และต่างก็จะห้อยโหนโยนตัวอยู่บนปราสาทเหนือฟ้า ไม่ยอมมองหน้าลงมาดูแดนแห่งทุกข์ดังที่เป็นอยู่นี้เลย นอกจากนั้นถ้าเป็นผู้แสดงแล้วจะพาเพื่อน ๆ หนุ่มสาวชาวแสนสำราญ เหาะเหินเดินฟ้าพาเที่ยวเกี้ยวนางแสนสุขอยู่บนปราสาทนิรทุกข์ และเที่ยวดูหนัง ดูละคร ดูฟ้อนรำวงในห้องอันโอ่โถงกว้างแสนโยชน์บนฟากฟ้าอันสูง สุดกำลังของทุกข์จะเอื้อมถึง ทั้งเป็นสถานที่น่าเจริญหู เจริญตา เจริญใจ ทั้งเป็นความสง่างามและทรงไว้ซึ่งสิริมหามงคล ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนในแหล่งแห่งไตรโลกธาตุ

แต่มันไม่เป็นไปตามกฎที่นึกใฝ่ฝัน มิหนำยังกลับมาปลง อนิจฺจา วต สงฺขารา เป็นธรรมสังเวชในสังขารธรรมซึ่งเป็นกองธาตุส่วนผสม มีความแปรปรวนประจำตนตลอดเวลา ตามกฎแห่งวัฏวนสาม และนำทุกข์มาให้ เหมือนแม่น้ำลำธารไหลรินอยู่ด้วยความทุกข์ไม่มีวันจบสิ้นลงได้

คำว่าภพหน้ามีหรือไม่นั้น โปรดทราบตามวิถีแห่งการเกิดตายของสัตว์ที่อธิบายผ่านมาแล้ว เพราะถ้าไม่มีภพชาติ การเกิดตายของสัตว์ก็ยุติกันลงได้ ไม่มีอะไรมาทำให้กำเริบ ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งที่เป็นเชื้ออยู่ภายใน ทำให้จิตกำเริบและหมุนตัวเป็นภพเป็นชาติขึ้นมา และพ่วงเอาทุกข์ในแหล่งแห่งไตรโลกธาตุติดมาด้วย

“โลกหน้ามีหรือไม่” ก็วานนี้และวันนี้ยังมี วันพรุ่งนี้จะห้ามไม่ให้มีได้อย่างไร เพราะทั้งสามวันนี้มันเป็นกฎของธรรมชาติจะหมุนรอบตัวของเขาเอง โดยไม่มีใครไปตกแต่งและห้ามปรามเขาได้ เรื่องโลกนี้กับโลกหน้าก็เป็นกฎอันตายตัวเช่นเดียวกัน สัตว์ทุกประเภทในโลกทั้งมวล จะมีสัตว์ตัวไหนบ้างไม่มีที่อยู่ แม้แต่นักโทษเขายังมีเรือนจำเป็นที่กินอยู่หลับนอน ไม่เห็นเขาสิ้นท่าเพราะไม่มีที่อยู่ เราไม่ใช่นักโทษทำไมจะไปคิดน้อยเนื้อต่ำใจกลัวไม่มีโลกจะอยู่ นับแต่วันเราเกิดมาจนถึงวันนี้ มีวันไหนบ้างที่เราจนมุมเพราะหาโลกอยู่ไม่ได้ ยังไม่เคยปรากฏมีสักวันเดียวและรายเดียว สัตว์ประเภทใดเกิดในภพใดก็ต้องมีโลกอยู่ตามภพและกรรมของตัว

แม้แต่พระเทวทัตที่ร่ำลือกันว่าท่านทำกรรมหนักมาก คล้ายกับจะไม่มีโลกไหนต้านทานท่านไว้ได้ แต่ครั้นแล้วท่านก็มิได้จนมุม ยังมีโลกอยู่เช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่วไป โลกหน้า โลกหลัง ไม่เคยได้ยินว่าขาดสูญหรือบกพร่อง สิ่งที่บกพร่องก็คือการทำตัวให้สมบูรณ์ด้วยเครื่องสำหรับกินอยู่หลับนอน เครื่องใช้สอย และการทำตัวให้เป็นคนดีมีทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายในสมบูรณ์ เพื่อสนองความจำเป็นในเวลาต้องการเท่านั้น เราจะไปกลัวโลกหน้าหรือโลกไหนจะบกพร่อง ยิ่งกว่าตัวของเราบกพร่อง ถ้าเราบกพร่องแล้ว แม้จะอยู่ในโลกที่สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง เราก็ต้องเป็นคนจน และยอมรับทุกข์ในโลกที่สมบูรณ์อยู่โดยดี

Luangta.Com - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1971&CatID=3
คัดลอกมาบางส่วน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่