ยอมรับ ครับ ว่าถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ปรุงแต่ง ย่อมไม่มีการเกิด
แต่หลวงพี่ทราบได้อย่างไร ว่า ปุถุชน ทั่วไป ตายแล้ว ไม่มีเหตุ ปัจจัย ปรุงแต่งอีก
ผมจึงได้ถามไงครับว่าหลวงพี่เคยมีประสบการณ์ด้วยตนเองแล้วหรือ
ถ้าไม่มีประสบการณ์ ด้วยตนเอง จะเรียก สันทิฏฐิโก หรือครับ
สมาชิกหมายเลข 707642
23 ชั่วโมงที่แล้ว
---------------------------------------------------------------------------
ประสบกาณ์ก็คือ ชีวิตของเราทุกคนนี่เองที่เป็นสันทิฏฐิโก คือชีวิตของเรามันก็มีแค่นี้ เท่าที่เราจำได้นี้ เราไม่ได้มีความจำเรื่องชาติก่อนเลย นี่แหละสันทิฏฐิโก
ส่วนเรื่องคนมีกิเลสตายแล้วยังไปเกิดอีกนั้น มันเป็นแค่ความเชื่อ ที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่ได้เป็นสันทิฏญิโกเลยสักนิด เพราะเราไม่ได้มีประสบกาณ์จริงที่เคยผ่านมาเลย (ไม่มีอยู่ในความจำ)
เมื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีจริง แล้วอาตมาจะเอาประสบการณ์ที่ไหนมาเป็นสันทิฏฐิโกเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเล่า? ถามแปลกๆ เหมือนกับถามว่า เมื่อไม่เชื่อว่ามีผีมีจริง แล้วค้นพบแล้วหรือว่าผีไม่มีจริง? คำตอบก็คือ ปกติมันก็ไม่พบอยู่แล้ว คือคำตอบมันก็แสดงอยู่แล้วในคำถามนั่นเอง คนที่เชื่อว่าผีมีจริงต่างหากที่ต้องพิสูจน์ให้พบผีจริงๆก่อน จึงจะเป็นสันทิฏฐิโก
เมื่อโยมบอกว่า "ยอมรับ ครับ ว่าถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ปรุงแต่ง ย่อมไม่มีการเกิด" แล้วทำไมโยมยังเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก? หรือโยมเชื่อว่าเพราะมันมีเหตุปัจจัย จึงมีการเกิดร่างกายขึ้นมาใหม่เพื่อมารับผลกรรม ซึ่งเหตุปัจจัยนั้นก็คือ วิบากกรรม หรือ กิเลส หรือ อวิชชา ตามที่เชื่อกันอยู่? ถ้าเชื่ออย่างนี้ ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า แล้ววิบากกรรม หรือ กิเลส หรือ อวิชชานี้ มันออกไปจากชีวิตเก่าก่อนตาย ไปสร้างชีวิตใหม่ให้มารับผลกรรมเก่าได้อย่างไร?
สรุปโยมก็คงตอบไม่ได้ เพราะโยมมีแต่ความเชื่อที่ไม่เป็นสันทิฏฐโก ส่วนอาตมามีแต่ความจริงที่เป็นสันทิฏฐิโก จึงคงสนทนากันไม่เข้าใจ ก็คงต้องย้อนกลับมาสนทนาเรื่องพื้นฐานคือเรื่อง ความเชื่อ กับ ความจริงกันก่อน ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อก่อนโดยแม้ยังไม่ได้พิสูจน์ หรือสอนให้พิสูจน์ให้เห็นจริงก่อนจึงค่อยเชื่อ?
ตอบคำถามเรื่อง สันทิฏฐิโก
แต่หลวงพี่ทราบได้อย่างไร ว่า ปุถุชน ทั่วไป ตายแล้ว ไม่มีเหตุ ปัจจัย ปรุงแต่งอีก
ผมจึงได้ถามไงครับว่าหลวงพี่เคยมีประสบการณ์ด้วยตนเองแล้วหรือ
ถ้าไม่มีประสบการณ์ ด้วยตนเอง จะเรียก สันทิฏฐิโก หรือครับ
สมาชิกหมายเลข 707642
23 ชั่วโมงที่แล้ว
---------------------------------------------------------------------------
ประสบกาณ์ก็คือ ชีวิตของเราทุกคนนี่เองที่เป็นสันทิฏฐิโก คือชีวิตของเรามันก็มีแค่นี้ เท่าที่เราจำได้นี้ เราไม่ได้มีความจำเรื่องชาติก่อนเลย นี่แหละสันทิฏฐิโก
ส่วนเรื่องคนมีกิเลสตายแล้วยังไปเกิดอีกนั้น มันเป็นแค่ความเชื่อ ที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่ได้เป็นสันทิฏญิโกเลยสักนิด เพราะเราไม่ได้มีประสบกาณ์จริงที่เคยผ่านมาเลย (ไม่มีอยู่ในความจำ)
เมื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีจริง แล้วอาตมาจะเอาประสบการณ์ที่ไหนมาเป็นสันทิฏฐิโกเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเล่า? ถามแปลกๆ เหมือนกับถามว่า เมื่อไม่เชื่อว่ามีผีมีจริง แล้วค้นพบแล้วหรือว่าผีไม่มีจริง? คำตอบก็คือ ปกติมันก็ไม่พบอยู่แล้ว คือคำตอบมันก็แสดงอยู่แล้วในคำถามนั่นเอง คนที่เชื่อว่าผีมีจริงต่างหากที่ต้องพิสูจน์ให้พบผีจริงๆก่อน จึงจะเป็นสันทิฏฐิโก
เมื่อโยมบอกว่า "ยอมรับ ครับ ว่าถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ปรุงแต่ง ย่อมไม่มีการเกิด" แล้วทำไมโยมยังเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก? หรือโยมเชื่อว่าเพราะมันมีเหตุปัจจัย จึงมีการเกิดร่างกายขึ้นมาใหม่เพื่อมารับผลกรรม ซึ่งเหตุปัจจัยนั้นก็คือ วิบากกรรม หรือ กิเลส หรือ อวิชชา ตามที่เชื่อกันอยู่? ถ้าเชื่ออย่างนี้ ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า แล้ววิบากกรรม หรือ กิเลส หรือ อวิชชานี้ มันออกไปจากชีวิตเก่าก่อนตาย ไปสร้างชีวิตใหม่ให้มารับผลกรรมเก่าได้อย่างไร?
สรุปโยมก็คงตอบไม่ได้ เพราะโยมมีแต่ความเชื่อที่ไม่เป็นสันทิฏฐโก ส่วนอาตมามีแต่ความจริงที่เป็นสันทิฏฐิโก จึงคงสนทนากันไม่เข้าใจ ก็คงต้องย้อนกลับมาสนทนาเรื่องพื้นฐานคือเรื่อง ความเชื่อ กับ ความจริงกันก่อน ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อก่อนโดยแม้ยังไม่ได้พิสูจน์ หรือสอนให้พิสูจน์ให้เห็นจริงก่อนจึงค่อยเชื่อ?