บ้างก็ว่าชาติหน้ามีอยู่ บ้างก็ว่าไม่มี
บ้างก็ว่าตายไปแล้วมีวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง บ้างก็ว่าไม่มี
ในสมัยพุทธกาลก็มีข้อถกเถียงประเภทนี้อยู่เยอะ
ถกเถียงกันไปก็แค่นั้น มันไม่จบ ปวดหัวเปล่าๆ
ศาสนาพุทธเราจึงไม่ไปถกเถียงเรื่องพวกนี้
วางเอาไว้ ไม่ต้องสนใจ
เรามาดู พระพุทธเจ้าว่าอย่างไร
"ดูก่อนมาลุงกยบุตร... เธอทั้งหลายจงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์... อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์
ดูก่อนมาลุงกยบุตร ทิฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์... ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อน มาลุงกยบุตร เหตุนั้น เราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น”
“... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อนมาลุงกยบุตร ความเห็นว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เราพยากรณ์ ก็เพราะเหตุไรเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น”
พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้มานานแล้วนะ อย่าไปเถียงกันเลย แต่ชาวพุทธเราไม่ปฏิบัติตาม ก็ยังถกเถียงกันอยู่
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบ
เพราะมันไปประกอบด้วยประโยชน์แห่งการดับทุกข์นั่นเอง
ถ้าตอบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่
เราก็จะสร้างตัวตนทางจิตขึ้นมา ซึ่งเป็นความคิดของคนทั่วไปอยู่แล้ว โดยจะคิดว่าความคิด จิต วิญญาณ ของเรานี้มีตัวตน มันเป็นอวิชชา
อย่างกรณีภิกษุสาติผู้กล่าวว่าวิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น
พระพุทธเจ้า ยังเรียกมาตักเตือนว่าพูดไม่ถูก
ถ้าตอบว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่
มันก็ไม่เป็นประโยชน์ แก่การดับทุกข์ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งยังทำให้สังคมไม่สงบสุข
คนก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรอยู่เลย เห็นว่าขาดสูญ
ความคิดทั้ง 2 นี้ ล้วนเป็นทิฏฐินอกพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
ถกเถียงกันมากเรื่องชาติหน้า ตายแล้วไปเกิด ตายแล้วสูญ
บ้างก็ว่าตายไปแล้วมีวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง บ้างก็ว่าไม่มี
ในสมัยพุทธกาลก็มีข้อถกเถียงประเภทนี้อยู่เยอะ
ถกเถียงกันไปก็แค่นั้น มันไม่จบ ปวดหัวเปล่าๆ
ศาสนาพุทธเราจึงไม่ไปถกเถียงเรื่องพวกนี้
วางเอาไว้ ไม่ต้องสนใจ
เรามาดู พระพุทธเจ้าว่าอย่างไร
"ดูก่อนมาลุงกยบุตร... เธอทั้งหลายจงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์... อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์
ดูก่อนมาลุงกยบุตร ทิฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์... ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อน มาลุงกยบุตร เหตุนั้น เราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น”
“... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อนมาลุงกยบุตร ความเห็นว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เราพยากรณ์ ก็เพราะเหตุไรเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น”
พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้มานานแล้วนะ อย่าไปเถียงกันเลย แต่ชาวพุทธเราไม่ปฏิบัติตาม ก็ยังถกเถียงกันอยู่
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบ
เพราะมันไปประกอบด้วยประโยชน์แห่งการดับทุกข์นั่นเอง
ถ้าตอบว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่
เราก็จะสร้างตัวตนทางจิตขึ้นมา ซึ่งเป็นความคิดของคนทั่วไปอยู่แล้ว โดยจะคิดว่าความคิด จิต วิญญาณ ของเรานี้มีตัวตน มันเป็นอวิชชา
อย่างกรณีภิกษุสาติผู้กล่าวว่าวิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น
พระพุทธเจ้า ยังเรียกมาตักเตือนว่าพูดไม่ถูก
ถ้าตอบว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่
มันก็ไม่เป็นประโยชน์ แก่การดับทุกข์ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งยังทำให้สังคมไม่สงบสุข
คนก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรอยู่เลย เห็นว่าขาดสูญ
ความคิดทั้ง 2 นี้ ล้วนเป็นทิฏฐินอกพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น