นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ คนตายไปแล้วมีโลกหน้าหรือไม่ โลกใบนี้มีสิ้นสุดหรือไม่ คำถามที่พระพุทธเจ้าไม่ตอบ....

กระทู้สนทนา
นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ คนตายไปแล้วมีโลกหน้าหรือไม่ โลกใบนี้มีสิ้นสุดหรือไม่ คำถามที่พระพุทธเจ้าไม่ตอบ  เพราะ เมื่อตอบไปแล้วก็จะถกเถี่ยงกันไม่รู้จบสิ้น

1.ไม่เป็นประโยชน์ คนพูดถกเถียงกัน กว่าจะได้คำตอบก็คือตอนตาย (รอให้ตายนั่นละถึงรู้และตอนนี้ยังไม่ตายเถี่ยงกันไม่รู้จบ)
2.ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ คิดแล้วเสียเวลาเอาเวลาไปคิดอย่างอื่นดีกว่า
3.ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่า คือการพ้นทุกข์
ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้คำตอบ  แต่พระองค์ทรงไม่ตอบ ด้วยเหตุผล 3 ประการข้างต้น 
เมื่อมีคนถามพระพุทธเจ้าพระองค์จะนิ่งเฉย หรือ ปฏิเสธว่าไม่ตอบ หรือ บอกว่ายังไม่ถึงเวลาตอบ  เป็นความฉลาด ถ้าตอบ ใช่  ก็ต้อง สัสสตวาทะ ความเห็นว่า วิญญาณเที่ยง ถ้าตอบ ไม่ใช่ ก็จะอยู่ในข่าย อุจเฉทวาทะ ความเห็นว่าวิญญาณขาดสูญ  ส่วนบุคคลใดมีญาณอันแก่กล้า  รู้อดีต รู้อนาคต จะตอบปัญหานี้ได้ 

ดังนั้น คำถามนี้  ชาวพุทธก็ไม่ควรตอบ  แม้แต่ท่านที่ทรงญาณอันวิเศษก็ไม่ควรตอบ ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่ตอบเลย เหตุใด สาวก ถึงกล้าตอบ ควรตอบคำถามนี้ด้วยลีลาพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุผล 3 ประการข้างต้น แต่ทั้งนี้พระพุทธเจ้าทรง ตรัสไว้ว่า ผู้ใดมีศักยภาพสามารถรู้อดีต และ อนาคตไม่มีขีดจำกัดจะรู้ และ ตอบปัญหานี้ได้ดี  คำว่าตอบปัญหานี้ได้หมายความว่า ตอบตัวเองได้ ไม่ควรนำมาเล่าให้ผู้อื่นตอบให้ผู้อื่นฟัง  เพราะ เหตุผล 3 ประการ 

ปัจุบัน ผู้ทรงญาณ รู้อดีต และ อนาคต (หลวงปู่ หลวงพ่อ เจ้าสำนัก อะไรก็ว่าไป)  รู้แล้วมาเล่าให้ฟังผู้ที่ ไม่สามารถ รู้อดีต และ อนาคต  มันจึงเป็นข้อถกเถี่ยงไม่รู้จบสิ้น  เพราะ  ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ผู้เล่าเห็นจริงหรือหลอก  ขนาดเรื่องตายแล้วฟื้นเจอยมบาล เถี่ยงกันไม่รู้  สิ่งเดียวที่จะบอกได้คือ รอตายก่อน รู้เลย

ดังนั้นคำถามนี้ ถึงจะไปถามพระพุทธเจ้าโดยตรง ท่านก็ทรงลีลาเดิม คือ นิ่งเฉย ปฏิเสธว่าไม่ตอบ ยังไม่ถึงเวลาตอบ  แต่คำถามเหล่านี้ พระพุทธจ้ายืนยันว่ารู้  ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไม่ตอบ

ใครอยากรู้ ให้ปฎิบัติเป็นผู้ทรงญาณผู้ใดมีศักยภาพสามารถรู้อดีต และอนาคตไม่มีขีดจำกัดจะรู้ และตอบปัญหานี้ได้ดี....

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ

ลุงกยบุตร  ได้กล่าวว่า หากพระพุทธเจ้าไม่ตอบคำถามเหล่านี้ จะลาสิกขา พระพุทธเจ้าจึงตรัสอย่างนี้ 

ปัญหา ได้ทราบว่ามีปัญหาบางประเภทที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบปัญหาดังกล่าวนั้นมีอะไรบ้าง? และเพราะเหตุไรพระพุทธองค์ไม่ทรงตอบ?
พุทธดำรัสตอบ “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... เธอทั้งหลายจงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์... อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์
     ดูก่อนมาลุงกยบุตร ทิฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์... ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อน มาลุงกยบุตร เหตุนั้น เราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น”
     “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อนมาลุงกยบุตร ความเห็นว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เราพยากรณ์ ก็เพราะเหตุไรเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น”
     “... ดูก่อนมาลุงกยบุตร... บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์แก่เรา (ซึ่งทิฐิ ๑๐ ประการนั้น) เพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ตถาคตไม่พึงพยากรณ์ข้อนั้นเลยและบุคคลนั้นพึงทำกาละ (ตาย) ไปโดยแท้ ดูก่อนมาลุงกยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษต้องศรอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอมาตย์ญาติสาโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหานายแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดมาผ่า บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักบุรุษผู้ยิงเรานั้นว่า เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทร...มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้... สูงต่ำหรือปานกลาง... ดำขาวหรือผิวสองสี อยู่บ้าน นิคมหรือนครโน้นเพียงใด เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นชนิดมีแร่หรือเกาทัณฑ์... สายที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอ ผิวไม้ ไผ่ เอ็น ป่าน หรือเยื่อไม้ ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม่ปลูก ทางเกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้นเขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูง หรือนกชื่อว่าสิถิลหนุ (คางหย่อน) เกาทัณฑ์นั้นเขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่าง หรือลิง... ลูกธนูชนิดที่ยิงเรานั้นเป็นชนิดอะไร ดังนี้เพียงใด เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น
     ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย โดยที่แท้บุรุษนั้นพึงทำกาละไปฉันใด
     ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์ทิฐิ ๑๐ นั้น ฯลฯ แก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ข้อนั้นตถาคตไม่พยากรณ์เลย โดยที่แท้บุคคลนั้นพึงทำกาละไป ฉันนั้น”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่