โพลสำรวจความเห็น ท่านเห็นว่าสมควรมีการปฏิรูปองค์กรศาลมั๊ยครับ ( ทุกศาลตั้งแต่ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ฯลฯ)

ตามหัวข้อเลยครับท่านเห็นว่าสมควรมีการปฏิรูปหรือไม่ ถ้าควรปฏิรูปควรจะเป็นไปในรูปแบบใด เพื่อให้มีการ check and balance ตาม
หลักการของระบอบประชาธิปไตยครับ  และถ้าไม่ควรปฏิรูปเป็นเพราะสาเหตุใดครับ

ขอเพิ่มเติมบทความ

การปกครองในอดีตอำนาจสูงสุดอยู่ที่กษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว กล่าวคือกษัตริย์เป็นทั้งผู้ออกกฎหมาย (นิติบัญญัติ)
เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย (บริหาร) และตัดสินคดี (ตุลาการ)  ดังนั้นเมื่อผู้ออกกฎหมาย  ผู้บังคับใช้กฎหมาย  และผู้ตัดสิน
คดีเป็นบุคคลคนเดียวกัน  การใช้อำนาจของกษัตริย์ย่อมไร้ซึ่งการตรวจสอบและการคานอำนาจและเป็นช่องทางให้เกิด
การละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครอง  มองเตสกิเออร์ นักกฎหมายชาวฝรั่งเศส จึงเห็นว่าเพื่อไม่ให้
เกิดการใช้อำนาจไปในทางละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนควรมีการแบ่งแยกอำนาจสูงสุดออกจากกันโดยไม่ให้องค์กร
ใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจแต่เพียงองค์กรเดียว เพื่อให้แต่ละองค์กรมีอำนาจ check (ตรวจสอบ) & balance (ถ่วงดุล) ซึ่งกัน
และกัน เพราะเหตุว่าอำนาจเท่านั้นที่จะยับยั้งอำนาจด้วยกันได้ดีที่สุด จนนำมาซึ่งการแบ่งแยกอำนาจในการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในปัจจุบัน โดยแบ่งแยกอำนาจนิติบัญญัติไปให้รัฐสภาพ  อำนาจบริหารให้แก่คณะรัฐมนตรี  และอำนาจตุลาการ
ให้แก่ผู้พิพากษา

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นตามหลักการแบ่งแยกอำนาจในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง  อำนาจทั้งสามอำนาจดังกล่าวจึงต้อง
มีกลไกการตรวจสอบหรือถ่วงดุลซึ่งกันและกันอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป  

ยกตัวอย่างประเทศที่ปกครองในระบบประธานาธิบดีเช่นสหรัฐอเมริกา  กลไกการคานอำนาจจะเน้นไปในทางถ่วงดุลอำนาจ
กล่าวคือประธานาธิบดี (ฝ่ายบริหาร)  และสภาคองเกรส  (นิติบัญญัติ)  จะแบ่งแยกอำนาจจากกันอย่างเด็ดขาด  ประธานาธิบดี
จะทำหน้าที่บริหารประเทศไป  ส่วนสภาคองเกรสก็จะทำหน้าที่บัญญัติกฎหมายไป  ดังนั้นจึงไม่มีบทบัญญัติให้ประธานาธิบดียุบ
สภาคองเกรสได้ หรือให้สภาคองเกรสถอดถอนประธานาธิบดีได้  ( การ Impeacement  ไม่ใช่การถอดถอนโดยสภาคองเกรส
ในฐานะองค์กรนิติบัญญัติ) โดยระบบนี้จะเน้นที่ความเข้มแข็งของฝ่ายบริหาร

ส่วนการปกครองในระบบรัฐสภา  กลไกการคานอำนาจจะเน้นไปในทางตรวจสอบซึ่งกันและกัน กล่าวคือ รัฐสภา (นิติบัญญัติ)
เป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ฝ่ายบริหาร)  ดังนั้นคณะรัฐมนตรีจะสามารถทำงานได้ภายใต้ความไว้วางใจของรัฐสภา  ดังนั้นรัฐสภา
จึงต้องมีอำนาจตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐมนตรีได้  ซึ่งเครื่องมือในการตรวจสอบของรัฐสภาได้แก่  กระทู้  ญัตติ  การตั้ง
กรรมาธิการ  การอภิปราย  และการถอดถอน  แต่ในขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรีก็มีเครื่องมือในการตอบโต้รัฐสภา  หากเห็นว่ารัฐสภา
ขัดขวางการทำงานของตนเอง นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจยุบสภา  เพื่อให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ได้  หากประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย
กับการกระทำของรัฐบาลก็จะเลือกตั้งพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลเข้ามาใหม่  โดยระบบนี้จะเน้นที่ความเข้มแข็งของฝ่ายนิติบัญญัติ

สำหรับอำนาจตุลาการนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศว่าจะมีที่มาจากที่ใดบางรัฐในสหรัฐอเมริกาก็มาจากการเลือกตั้ง  แต่ศาลสูงสุดของ
รัฐบาลกลางสหรัฐคณะผู้พิพากษามาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี  ซึ่งการเลือกตั้งผู้พิพากษาเป็นการก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้
การใช้อำนาจสูงสุดของรัฐยึดโยงกับประชาชน เพราะตัดสินคดีไม่ถูกต้องหรือฝืนความเห็นของประชาชนก็อาจทำให้ไม่ได้รับเลือกตั้ง
เข้ามาได้  ส่วนการแต่งตั้งผู้พิพากษาโดยประธานาธิบดีนั้น แม้ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการให้อำนาจบริหารไปก้าวก่ายอำนาจตุลาการ
แต่ศาลสูงสุดของสหรัฐก็มีอำนาจพิจารณาคดีเพียงบางประเภทเท่านั้น  แต่การใช้อำนาจของศาลหากไม่ถูกต้องก็ย่อมมีผลกระทบ
ต่อความนิยมของประธานาธิบดีที่แต่งตั้งตนเข้ามา ซึ่งอาจทำให้ไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกก็ได้ ดังนั้นการใช้อำนาจของศาลสูงสุด
ของสหรัฐจึงยึดโยงกับประชาชนโดยอ้อม  นอกจากนี้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาศาลสูงสุดของสหรัฐค่อนข้างจะเข้าใจและตระหนัก
ถึงบทบาทของตนเองเป็นอย่างดี หลายครั้งมีช่องที่ศาลจะตัดสินเพื่อเพิ่มอำนาจให้องค์กรตนเองได้ซึ่งจะทำให้เป็นการก้าวก่าย
อำนาจของฝ่ายบริหาร แต่ศาลสูงสุดก็เลือกที่จะจำกัดบทบาทของตน  นอกจากนี้ศาลสูงสุดยังตัดสินคดีที่เป็นช่องว่างไปในทาง
คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ตุลาการภิวัฒน์" อย่างแท้จริง

นอกจากการเลือกตั้งผู้พิพากษาโดยตรงหรือการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ในหลาย ๆ ประเทศก็มีตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจ
ของผู้พิพากษาโดยการใช้ลูกขุน  เช่น  ในสหรัฐก็มีการใช้ลูกขุนในการตัดสินคดีบางประเภท (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีที่มีความสำคัญหรือ
คดีอุกฉกรรจ์) โดยอำนาจของลูกขุนก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ  บางประเทศลูกขุนมีอำนาจพิจารณาเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริง
บางประเทศมีอำนาจพิจารณาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วย  เป็นที่น่าสังเกตุว่าประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ระบบ
ประมวลกฎหมาย (Civil law) เหมือนไทย ( ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี หรือ Common law ส่วนใหญ่จะใช้ระบบลูกขุน)
และเป็นระบบผู้พิพากษาอาชีพมาจากการสอบแข่งขันเช่นเดียวกับไทย  แต่เดิมก็ให้ผู้พิพากษามีอำนาจตัดสินทั้งปัญหาข้อกฎหมาย
และข้อเท็จจริง แต่ต่อมาได้แก้ไขให้มีลูกขุน (Saipan - in) เข้ามานั่งพิจารณาร่วมกับผู้พิพากษาในคดีบางประเภท  ซึ่งสาเหตุที่ยก
ตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นนัน  เป็นเพราะญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลในการปรับปรุงระบบกฎหมายจากประเทศฝรั่งเศสและเยอรมัน  ส่วนประเทศ
ไทยในการปฏิรูประบบกฎหมายในสมัย ร.5 อันเนื่องมาจากการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนั้นก็ได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศส เยอรมัน
และญี่ปุ่น เช่นกัน  

ซึ่งการมีลูกขุนในการพิจารณาคดีของศาลนั้นทำให้การใช้อำนาจของศาลมีการยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น (ซึ่งปกติยึดโยงกับประชาชน
น้อยมาก) และเป็นการลดการใช้อำนาจของศาลลง  เพราะการมีลูกขุนทำให้การตัดสินคดียึดโยงกับความเห็น ค่านิยม และความต้อง
การของคนในสังคมนั้นมากขึ้น

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ  แล้วก็จะขอแตะถึงการการแบ่งอำนาจฟ้องคดีกับอำนาจตัดสินคดีไปด้วยเลยทีเดียว  ในอดีตก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส  
การพิจารณาคดีของฝรั่งเศสเป็นระบบไต่สวน  กล่าวคือผู้พิพากษามีอำนาจริเริ่มคดีได้เอง  กล่าวคือมีอำนาจสอบสวน  อำนาจฟ้อง
คดี  และตัดสินคดี  ในตัวบุคคลคนเดียว  ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการดำเนินคดี  เพราะหากผู้พิพากษาตั้งธงไว้เสียแล้วจำเลย
ก็ยากที่จะพ้นผิดไปได้  ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส  ซึ่งภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสได้มีการลดทอนอำนาจ
ผู้พิพากษาลงโดยให้ผู้พิพากษามีอำนาจเฉพาะพิจารณาคดีเท่านั้น  โดยแบ่งแยกอำนาจสอบสวนและอำนาจฟ้องคดีไปให้ตำรวจ
และอัยการแทน  ซึ่งการให้อำนาจศาลไต่สวนได้โดยอิสระนั้นก็เปรียบเสมือนดาบสองคมว่าศาลจะใช้อำนาจไต่สวนนั้นไปในทาง
ไต่สวนเพื่อลงโทษจำเลยหรือทำให้จำเลยพ้นผิด

ด้วยเหตุผลตามที่เขียนมาข้างต้นและศึกษากระบวนการยุติธรรมของต่างประเทศมาบ้างเล็กน้อย  จึงอยากเห็นกระบวนการยุติธรรม
ของไทยพัฒนาไปในทางที่ถูกที่ควร  จึงเป็นที่มาของกระทู้ตอบโพลและถามความคิดเห็นแนวทางการปฏิรูปศาลว่าควรเป็นไปใน
ทิศทางใด หรือหากไม่ควรปฏิรูปเป็นเพราะอะไร และระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้มีข้อดีอย่างไร  

หากบทความผิดถูกอย่างไรต้องขออภัยมา ณ ที่นี้เพราะเขียนจากความเข้าใจของตนเอง

***เพิ่มเติมบทความ***
*** ปิดโหวต วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2558 เวลา 00:03:43 น.
1.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่