การเจริญสติเป็นสิ่งที่ดี เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม ก็จะเจริญทั้งทางโลกเรียนดีเป็นที่ 2 ที่ 1 และเจริญทางธรรมไปตามลำดับ
ทำไมผมเจริญสติปัญญาในการเรียนเมื่อวัยเด็กดีขึ้นจนดีมาก และทำไมผมเจริญทางธรรมมากไปตามลำดับ ทุกอย่างนั้นมีเหตุ เริ่มต้นจากการเจริญสติด้วยตนเองในวัยเด็กประมาณอายุ 9 ปี.
ตอนเด็กก็เรียนหนังสือไม่เก่งตั้งแต่ ป.1 ป.2 ป.3 ก็ประมาณระดับกลางๆ ห้องนั้นเอง และชอบใจลอย แต่เพื่อนนั้นเก่งมาก จุดผลิกเพียงนิดเดียว คือ สติ นั้นเอง ดังที่เคยเขียนไว้.
------------------------
ส่วนเรื่องการเรียนของข้าพเจ้ามีจุดพลิกผันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนคณิตศาสตร์ในชั้นประถม 4 อยู่โดยไม่รู้เรื่องตาจึงมองลอดหน้าต่างของห้องเรียนตรงไปยังยอดไผ่ที่ลมพัดไหวๆ อยู่ ใจก็คิดล่องลอยไปเรื่อยตามประสาเด็กได้สักพักใหญ่ จึงได้สติขึ้นมาพร้อมกับนึกถึงคำพระและคำสอนของครูว่าต้องจำให้ได้ว่าขณะนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ และสามารถระลึกได้ว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้างตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าปฏิญาณว่า จะไม่ให้ใจลอยอีกเป็นอันขาด .........
ต่อจากนั้นถ้าใจเริ่มลอยข้าพเจ้าก็พยายามดึงกลับมาทุกครั้งแต่มันก็ไม่หายขาด และข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะพยายามฝึกตัวเองว่าขณะนี้ กำลังทำอะไรอยู่และขณะที่ผ่านมา ได้ทำอะไรไปแล้วให้นึกให้ได้ ฝึกอย่างนี้จนใจลอยน้อยมากหลังจากนั้นไม่ลอยอีกเลย ........
ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าค่อยพัฒนาการเรียนดีขึ้นอย่างประหลาด (สอบปลายปี ป.4 ได้ที่ 4 ของห้อง) เมื่อสอบปลายปีประถม 5 ข้าพเจ้าเรียนได้ลำดับที่ 2 ของห้อง
------------------------
นั้นยังเป็นเด็กไม่ได้ศึกษาธรรมอะไรเลย การเรียนของผมก็พลิกไปอย่างนั้น หลังจากนั้นห็ได้ที่ 2 ที่ 1 ของห้องของโรงเรียนมาตลอด และมีสติไม่ค่อยเผลอ และไม่ใจลอยอีกเลย และระลึกได้เสมอว่า ขณะนี้ทำอะไรอยู่ และช่วงที่ผ่านมาจากปัจจุบันทำอะไรไปบ้าง เป็นการฝึกเจริญสติไปเองตามประสาเด็ก.
ดังนั้นการมีสติปัญญาเรียนเก่งจึงไม่ได้ลดลงเลย เพราะด้วยเจริญสติสัมปชัญญะนั้นเป็นอุปนิสัยนั้นเอง และยังเพิ่มด้วยการฝึกสมาธิด้วยตนเองอย่างมากยิ่งขึ้นในภายหลังเพราะต้องประสบความทุกข์มากและยิ่งๆ ขึ้น จนเข้ามหาลัย
แล้วเมื่อได้ปฏิบัติธรรมอย่างมีรูปแบบในวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ แล้วทุ่มเทให้กับการปฏิบัติจนหมดสิ้น เพียรจน แม้บุคคลทั่วๆ ไปก็คงทนไม่ได้ ก็ไม่ได้ทำให้สติสัมปชัญญะนั้น ควบคุมจนไม่ได้เลย พละทั้ง 5 คือ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ยังอยู่ในขอบเขตประกองอยู่ในระดับพอสมดุลย์ได้
วิปัสสนาญาณ จึงเจริญขึ้นตามลำดับ และด้วยการเพียรเพ่งด้วยสมาธิที่มาก แต่ด้วยพละ 5 ที่เหลือ คือ สติ ปัญญา และศรัทธา ยังประคองติดตามรักษาสมดุยล์ได้อยู่ จึงบรรลุฌานไปตามลำดับ คือได้ ปฐมฌาน(ฌาน 1) ได้ ทุติยญาณ(ฌาน 2)
และเมื่อได้สละชีวิตตามที่วิปัสสนาญาณที่เจริญขึ้นตามลำดับ ด้วยเห็นทุกข์ แล้วมีความเพียรอันยิ่งยวด จึงกำหนดภาวนาไม่คำนึงถึงชีวิต จนถึงที่สุดแห่งวิปัสสนาญาณ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แบบสิ้นชีวิตไปจริง ๆ
แล้วปรากฏขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้ง ตติยฌาน(ฌาน 3) ที่มีแต่ สุข กับ เอกคตา ไม่มีอื่นใดปน ในจิต ช่วงนั้น.
ดังนั้นการเจริญสติสัมปชัญญะ ตั้งแต่วัยเด็กด้วยตนเองตามประสาเด็กจนเป็นอุปนิสัย จึงมีคุณมากในภายหลัง และคุณนั้นได้รักษาชีวิตหรืออาจจะต้องเป็นอัมพาตหรืออัมพฤตตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ไว้ด้ายถึงปัจจุบันนี้ในวัยที่เริ่มแก่แล้ว
ที่เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลันขณะกำลังเดินไปเปิดประตูบ้านไว้ได้ ด้วยสติที่เท่าทันกับสภาวะที่เกิดแบบควบคุมร่างกายไม่ได้ในช่วงวินาทีนั้นจึงเกิดปัญญาเซฟตัวเองไม่ให้ล้มคะม้ำหัวฟาดพื้น โดยให้ไหลไปตามแรงที่เชแล้วพลิกตัวเอาหลังยันประตูที่ปิดอยู่แล้วปล่อยให้ครูดลงไปน็อกหมดสติก่อนที่ก้นถึงพื้นเล็กน้อย จึงไม่เกิดความดันบวกเพิ่มจนเส้นเลือดในสมองแตกได้
แต่ต้องเป็นอัมพาต อัมพฤต ภายใน 24 ชั่วโมง ต้องอยู่ในห้องไอชียู 3 วัน แต่ด้วยทุกข์ครั้งนี้ จึงต้องกำหนดกรรมฐานตั้งแต่อยู่ในห้องไอชียูอย่างระเอียดปรานิตยิ่งกว่าเดิมยิ่ง จนพัฒนาพ้นไปจาก จิต หรือ มโนมายตนะ ไปอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อออกจากห้องไอชียู่แล้วในคืนวันแรก
ต้องอยู่โรงพยาบาลและพักฟื้นหลายวัน ต้องมีอาการเปาะแปะ วูบๆ แทบทรุด หรือ แกว่งๆ เว่อๆ หรือตื่นมา แต่ไม่สามารถทำให้ร่างกายตื่นได้เป็นเวลานานหลายครั้ง อยู่เป็นปี แล้วค่อยทุเราะขึ้น กว่าเกือบปกติ รวมเวลา 2 ปี กว่า.
แต่ทั้งหมดนั้นยังประกองตนไปทำงานปกติ หยุดเวลาทำงานไปหลังจากออกห้องไปไอชียู 8-9 วัน เพราะติดช่วงเสาร์-อาทิตย์หัวท้าย 4 วัน และเข้าโรงบาลรอบ 2 อีก 4-5 วันเท่านั้น ซึ่งบุคคลภายนอกแทบดูไม่ออกถ้าไม่เฝ้าสังเกตดีๆ อยู่ได้ตามกิจวัตรก็ด้วยกำลังสติและสมาธิประกองตัวไว้นั้นเองใน ปีแรกๆ
ปัจจุบันวิกฤตนั้นผ่านผ้นไปแล้ว แต่เริ่มแก่แล้วไม่รู้ว่าจะมีโรคภัยร้ายแรงจะเกิดขึ้นอีกกับร่างกาย เพราะความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นธรรมดาของโลก.
การเจริญสติเป็นสิ่งที่ดี เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม ก็จะเจริญทั้งทางโลกเรียนดีเป็นที่ 2 ที่ 1 และเจริญทางธรรมไปตามลำดับ
ทำไมผมเจริญสติปัญญาในการเรียนเมื่อวัยเด็กดีขึ้นจนดีมาก และทำไมผมเจริญทางธรรมมากไปตามลำดับ ทุกอย่างนั้นมีเหตุ เริ่มต้นจากการเจริญสติด้วยตนเองในวัยเด็กประมาณอายุ 9 ปี.
ตอนเด็กก็เรียนหนังสือไม่เก่งตั้งแต่ ป.1 ป.2 ป.3 ก็ประมาณระดับกลางๆ ห้องนั้นเอง และชอบใจลอย แต่เพื่อนนั้นเก่งมาก จุดผลิกเพียงนิดเดียว คือ สติ นั้นเอง ดังที่เคยเขียนไว้.
------------------------
ส่วนเรื่องการเรียนของข้าพเจ้ามีจุดพลิกผันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนคณิตศาสตร์ในชั้นประถม 4 อยู่โดยไม่รู้เรื่องตาจึงมองลอดหน้าต่างของห้องเรียนตรงไปยังยอดไผ่ที่ลมพัดไหวๆ อยู่ ใจก็คิดล่องลอยไปเรื่อยตามประสาเด็กได้สักพักใหญ่ จึงได้สติขึ้นมาพร้อมกับนึกถึงคำพระและคำสอนของครูว่าต้องจำให้ได้ว่าขณะนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ และสามารถระลึกได้ว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้างตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าปฏิญาณว่า จะไม่ให้ใจลอยอีกเป็นอันขาด .........
ต่อจากนั้นถ้าใจเริ่มลอยข้าพเจ้าก็พยายามดึงกลับมาทุกครั้งแต่มันก็ไม่หายขาด และข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะพยายามฝึกตัวเองว่าขณะนี้ กำลังทำอะไรอยู่และขณะที่ผ่านมา ได้ทำอะไรไปแล้วให้นึกให้ได้ ฝึกอย่างนี้จนใจลอยน้อยมากหลังจากนั้นไม่ลอยอีกเลย ........
ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าค่อยพัฒนาการเรียนดีขึ้นอย่างประหลาด (สอบปลายปี ป.4 ได้ที่ 4 ของห้อง) เมื่อสอบปลายปีประถม 5 ข้าพเจ้าเรียนได้ลำดับที่ 2 ของห้อง
------------------------
นั้นยังเป็นเด็กไม่ได้ศึกษาธรรมอะไรเลย การเรียนของผมก็พลิกไปอย่างนั้น หลังจากนั้นห็ได้ที่ 2 ที่ 1 ของห้องของโรงเรียนมาตลอด และมีสติไม่ค่อยเผลอ และไม่ใจลอยอีกเลย และระลึกได้เสมอว่า ขณะนี้ทำอะไรอยู่ และช่วงที่ผ่านมาจากปัจจุบันทำอะไรไปบ้าง เป็นการฝึกเจริญสติไปเองตามประสาเด็ก.
ดังนั้นการมีสติปัญญาเรียนเก่งจึงไม่ได้ลดลงเลย เพราะด้วยเจริญสติสัมปชัญญะนั้นเป็นอุปนิสัยนั้นเอง และยังเพิ่มด้วยการฝึกสมาธิด้วยตนเองอย่างมากยิ่งขึ้นในภายหลังเพราะต้องประสบความทุกข์มากและยิ่งๆ ขึ้น จนเข้ามหาลัย
แล้วเมื่อได้ปฏิบัติธรรมอย่างมีรูปแบบในวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ แล้วทุ่มเทให้กับการปฏิบัติจนหมดสิ้น เพียรจน แม้บุคคลทั่วๆ ไปก็คงทนไม่ได้ ก็ไม่ได้ทำให้สติสัมปชัญญะนั้น ควบคุมจนไม่ได้เลย พละทั้ง 5 คือ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ยังอยู่ในขอบเขตประกองอยู่ในระดับพอสมดุลย์ได้
วิปัสสนาญาณ จึงเจริญขึ้นตามลำดับ และด้วยการเพียรเพ่งด้วยสมาธิที่มาก แต่ด้วยพละ 5 ที่เหลือ คือ สติ ปัญญา และศรัทธา ยังประคองติดตามรักษาสมดุยล์ได้อยู่ จึงบรรลุฌานไปตามลำดับ คือได้ ปฐมฌาน(ฌาน 1) ได้ ทุติยญาณ(ฌาน 2)
และเมื่อได้สละชีวิตตามที่วิปัสสนาญาณที่เจริญขึ้นตามลำดับ ด้วยเห็นทุกข์ แล้วมีความเพียรอันยิ่งยวด จึงกำหนดภาวนาไม่คำนึงถึงชีวิต จนถึงที่สุดแห่งวิปัสสนาญาณ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แบบสิ้นชีวิตไปจริง ๆ
แล้วปรากฏขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้ง ตติยฌาน(ฌาน 3) ที่มีแต่ สุข กับ เอกคตา ไม่มีอื่นใดปน ในจิต ช่วงนั้น.
ดังนั้นการเจริญสติสัมปชัญญะ ตั้งแต่วัยเด็กด้วยตนเองตามประสาเด็กจนเป็นอุปนิสัย จึงมีคุณมากในภายหลัง และคุณนั้นได้รักษาชีวิตหรืออาจจะต้องเป็นอัมพาตหรืออัมพฤตตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ไว้ด้ายถึงปัจจุบันนี้ในวัยที่เริ่มแก่แล้ว
ที่เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลันขณะกำลังเดินไปเปิดประตูบ้านไว้ได้ ด้วยสติที่เท่าทันกับสภาวะที่เกิดแบบควบคุมร่างกายไม่ได้ในช่วงวินาทีนั้นจึงเกิดปัญญาเซฟตัวเองไม่ให้ล้มคะม้ำหัวฟาดพื้น โดยให้ไหลไปตามแรงที่เชแล้วพลิกตัวเอาหลังยันประตูที่ปิดอยู่แล้วปล่อยให้ครูดลงไปน็อกหมดสติก่อนที่ก้นถึงพื้นเล็กน้อย จึงไม่เกิดความดันบวกเพิ่มจนเส้นเลือดในสมองแตกได้
แต่ต้องเป็นอัมพาต อัมพฤต ภายใน 24 ชั่วโมง ต้องอยู่ในห้องไอชียู 3 วัน แต่ด้วยทุกข์ครั้งนี้ จึงต้องกำหนดกรรมฐานตั้งแต่อยู่ในห้องไอชียูอย่างระเอียดปรานิตยิ่งกว่าเดิมยิ่ง จนพัฒนาพ้นไปจาก จิต หรือ มโนมายตนะ ไปอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อออกจากห้องไอชียู่แล้วในคืนวันแรก
ต้องอยู่โรงพยาบาลและพักฟื้นหลายวัน ต้องมีอาการเปาะแปะ วูบๆ แทบทรุด หรือ แกว่งๆ เว่อๆ หรือตื่นมา แต่ไม่สามารถทำให้ร่างกายตื่นได้เป็นเวลานานหลายครั้ง อยู่เป็นปี แล้วค่อยทุเราะขึ้น กว่าเกือบปกติ รวมเวลา 2 ปี กว่า.
แต่ทั้งหมดนั้นยังประกองตนไปทำงานปกติ หยุดเวลาทำงานไปหลังจากออกห้องไปไอชียู 8-9 วัน เพราะติดช่วงเสาร์-อาทิตย์หัวท้าย 4 วัน และเข้าโรงบาลรอบ 2 อีก 4-5 วันเท่านั้น ซึ่งบุคคลภายนอกแทบดูไม่ออกถ้าไม่เฝ้าสังเกตดีๆ อยู่ได้ตามกิจวัตรก็ด้วยกำลังสติและสมาธิประกองตัวไว้นั้นเองใน ปีแรกๆ
ปัจจุบันวิกฤตนั้นผ่านผ้นไปแล้ว แต่เริ่มแก่แล้วไม่รู้ว่าจะมีโรคภัยร้ายแรงจะเกิดขึ้นอีกกับร่างกาย เพราะความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นธรรมดาของโลก.