ร้านอาหารในเครือของ Vanilla Industry ถือได้ว่าไปเปิดที่ไหนก็ได้รับความสนใจเสมอ ๆ ไม่ว่าจะ Vanilla Brasserie, Vanilla Garden ในซอยเอกมัย 12, Vanilla Bakeshop เป็นต้น ก็ล้วนมีจุดขายและคอนเซ็ปที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป และวันนี้ร้าน Vanilla Cafeteria ร้านอาหารใหม่ล่าสุด ภายใต้แบรนด์วานิลลาก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และเปิดให้บริการกันแล้วที่ The Emquartier อาคาร Helix Building ชั้น 2 บริเวณทางเชื่อมอาคาร



Vanilla Cafeteria มีสไตล์การตกแต่งที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิค และความทันสมัยเข้าด้วยกัน คือประมาณว่าเป็น Industry Loft ที่ดูทันสมัย คนออฟฟิศมานั่งกินก็จะดูเก๋ ๆ หน่อย ครอบครัวมานั่งกินก็รู้สึกอบอุ่นได้ด้วยเป็นความลงตัวที่มีสไตล์

Vanilla Cafeteria ให้บริการเต็มรูปแบบ เมื่อมาถึงหน้าร้านก็จะพบกับเค้าเตอร์ที่เต็มไปด้วยเค้กและขนมอบต่าง ๆ เรียงรายกันอยู่ และด้านในก็มีบริการทั้งอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่ม ทั้งชาและกาแฟ อย่างครบครัน

บรรยากาศร้านก็มีหลายโซนให้เลือกนั่ง ด้านในก็จะเป็นโต๊ะธรรมดา โต๊ะยกสูงไว้จิบกาแฟกัน โต๊ะที่หันหน้าออกหน้าต่างไว้ชมบรรยากาศรอบข้าง และก็มีที่นั่งด้านนอกได้ใกล้ชิดธรรมชาติและได้เม้ามอยกันสุดเสียง

จากคอนเซ็ปและบรรยากาศร้านที่ได้เล่าไปก็สะท้อนให้เห็นว่า Vanilla Cafeteria ได้ใส่ใจและผ่านกระบวนการคิดในเรื่องต่าง ๆ มาอย่างดี แม้กระทั่งเรื่องเมนูอาหารก็ทำเสมือนว่าเรากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ยังไงอย่างงั้น เพราะเมนูใหญ่มากและเปิดกางอ่านเมนูก็มีลักษณะเดียวกับการอ่านหนังสือพิมพ์เลย ผมว่าเก๋ดีนะครับ


เรื่องอาหารและเมนูของทาง Vanilla Cafeteria หลัก ๆ ก็จะเป็นอาหารฝรั่งหลายของสัญชาติ มีการนำมาผสมผสานกับวัตถุดิบของไทย รวมถึงวัตถุดิบที่น่าสนใจต่าง ๆ อีกด้วย วันนี้ที่มารีวิวก็ได้ลองครบทุกคอร์สเลย ทั้ง Appetizer, Soup, Salad, Pasta, Main dish, Dessert และเครื่องดื่มหลากหลายเมนู ราคาในเมนูของที่นี่ยังไม่รวม Service charge 10% นะครับ เราลองไปดูแต่ละเมนูอาหารกันเลยครับ

จานแรกมาถึงก็รู้สึกถึงความง่าย ๆ ที่แฝงความพิเศษเอาไว้ เป็นปลาหมึกชุปแป้งทอด ก่อนกินก็บีบเลม่อนลงไปตัดเลี่ยนและเพิ่มความหอมนิดหน่อย ปลาหมึกจะกรอบนอกและเหนียวนุ่มด้านในอร่อยครับ ใครอยากได้รสชาติเพิ่มก็จิ้มทาร์ทาร์ซอสเพิ่มได้ครับ ก็จะอร่อยไปอีกแบบครับ


ใครรักชีส จะต้องหลงรักเมนูนี้ หน้าตายั่วยวนมากชีสท่วมจอเลย แถมมีหอยเชลล์ตัวใหญ่เสนอหน้าอยู่บนจานแถมมีรอยเกรียมเล็ก ๆ จากการอบอีกด้วย ด้านในก็เป็นครีมข้นที่มีส่วนผสมของมันฝรั่งก็จะได้เนื้อสัมผัสคล้าย ๆ มันบด รสชาตินี่ไม่ต้องพูดถึงกลมกล่อมและเข้มข้นดีมาก หอยเชลล์ก็นุ่มนวลชวนฝันมากครับ


Provence เป็นชื่อดินแดนทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ที่อยู่ติดกับอิตาลี ซึ่งจะมีรูปแบบการรับประทานที่เรียบง่าย และใช้ความสดของวัตถุดิบมาเพิ่มเสน่ห์ในตัวของอาหารมากกว่าการปรุงแต่งใด ๆ และซุปถ้วยนี้ก็สื่อได้แบบนั้นจริง ๆ เพราะส่วนผสมคงไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมีความคลาสสิคในเรื่องของการใช้วัตถุดิบแต่รสชาติที่ออกมาทำให้ประทับใจได้ไม่ยากครับ


เมนูดูเผิน ๆ ก็เหมือนสลัดกุ้งเทมปุระไข่กุ้งธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือวัตถุดิบชนิดนึงที่ผมก็เพิ่งเคยรับประทานครับนั่นก็คือ ควินัว(Quinoa) ซึ่งเมล็ดมันคล้ายพวกธัญพืชแต่จริง ๆ แล้วเป็นพืชในสปีชี่ส์เดียวกับบีทรูท เป็นพืชโบราณของชนเผ่าอินคาในแอฟริกาใต้ ให้สารอาหารพวกไฟเบอร์และโปรตีนสูงครับ ถือเป็นบุญปากจริง ๆ รสชาติไม่ค่อยชัดเจน แต่โดดเด่นเรื่องของกลิ่นและความกรุบกรอบ เมนูนี้ก่อนกินผมแนะนำให้บีบเลม่อนเพิ่มเข้าไปด้วยนะครับ เพราะว่าพอนสึในเมนูนี้จะออกเค็มหน่อย ซึ่งพอบีบลงไปก็พอดีมาก ๆ ครับ


เป็นเมนูสปาเก็ตตี้ซอสครีม ซึ่งถ้านอกเหนือจากคาโบนาร่าแล้วผมก็ไม่ค่อยนิยมซอสครีมเท่าไหร่เพราะหลาย ๆ ที่เค้าจะเหลวไปบ้าง เจอจางไปบ้าง แต่ที่นี่เข้มข้นดีครับ และก็ไม่เยิ้มจนเกินไป มีไข่กุ้งและคาร์เวียร์ไว้ให้คลุกเคล้าเพิ่มความเค็มมันอีกด้วย เรื่องรสชาติผมว่าถ้าหวานน้อยกว่านี้น่าจะดีมากครับ ถ้าใครไม่ชอบหวานก่อนสั่งอาจจะแจ้งทางพนักงานก่อนสักหน่อยก็จะดีครับ


เป็นเมนูในหมวดพาสต้าที่ใช้เส้น capellini ซึ่งเป็นเส้นพาสต้าที่มีความนุ่มเหนียวและเส้นเล็ก คล้าย ๆ กับ Angel hair นำไปผัดกับปูนิ่มทอดคั่วพริกเกลือ จะได้เส้นที่แห้ง ไม่มัน แต่มีความนุ่มเหนียวของเส้นและความกรอบของปูนิ่มทอด รสชาติกำลังดี มีเค็ม มีเผ็ด แบบพอดี ๆ มาก ๆ ครับอร่อยครับ


จานนี้ดูราคาแล้วไม่ค่อยอยากสั่งเท่าไหร่เลย แต่ถ้าใครได้ไปร้านนี้ผมว่า สั่ง ๆ มันไปเถอะครับ ไม่เสียดายตังเวลาที่ได้ลิ้มลองอย่างแน่นอน ทั้งรสชาติและปริมาณผมว่าสมเหตุสมผลครับ เนื้อเป็นเนื้อเทนเดอร์ลอยน์นุ่มแบบไม่อยากบรรยาย อร่อยกว่าเนื้อสเต็กทั่วไปครับ

เนื้อด้านในยังเป็นสีชมพูที่ฉ่ำน้ำอยู่เลย เนื้อนุ่มแทบจะละลายมีความหอมของเครื่องเทศที่หมักมา รสออกเค็มนิด ๆ ผมไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย มันอร่อยอยู่แล้ว ส่วนผักเคียงก็มีกะหล่ำผัดเบคอน และมันฝรั่งอบ ครับ อร่อยทั้งคู่ครับ ซอสของเมนูนี้ก็รสชาติดี แต่เหลือเยอะเพราะสเต็กอร่อยมากอยู่แล้ว เลยไม่ได้จิ้มเลย แค่ลองชิมเฉย ๆ


เมนูนี้ก็เป็นเมนูสเต็กอีกเมนู ที่โดดเด่นคือขนาดและสีสัน สวยงามสดใสและชิ้นใหญ่มาก แต่เรื่องรสชาติและเนื้อสัมผัสผมว่าสู้สเต็กเนื่อเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้เลยครับ หมูหมักแบบอ่อนเครื่องเทศไปหน่อย น้ำซอสก็เป็นซอสราสเบอร์รี่ที่มีรสเปรี้ยวหวานนำ ทำให้ไปกลบความเป็นธรรมชาติของหมูมากเกินไป แต่หอมใหญ่ทอดอร่อยเว่อร์ครับ

ระหว่างที่กินของคาวก็ได้กินคู่กับเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบ แต่เป็นตอนที่ไปรีวิวเป็นตอนกลางวันอยู่ เลยอยากได้ความสดชื่นสักหน่อยจึงสั่งเมนูที่เป็นเครื่องดื่มเย็นทั้งหมด แล้วก็จะมีส่วนผสมของผลไม้อยู่ด้วย เพื่อเพิ่มความสดชื่น สดใส ในมื้อนี้ครับ

เครื่องดื่มแบบปั่นสีขาวนวล เนื้อละเอียด ให้อารมณ์เหมือนกิน milk shake แต่จะมีความพิเศษซ่อนอยู่นั่นก็คือ กลิ่นของวานิลลา และผิวเลม่อน ที่ผสมผสานกันแล้วเกิดเป็นเอกลักษณ์พิเศษขึ้นมา เป็นเครื่องดื่มที่เรียกได้ว่าอร่อยมาก ที่ขอบแก้วมีผิวมะพร้าวกะทิขูดด้วยไว้เพิ่มความมันและทำให้เราได้เคี้ยวเล็กน้อย


น้ำแตงโมกุหลาบ ให้ความสดชื่นด้วยรสหวานของแตงโมและแฝงกลิ่นกุหลาบเบา ๆ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี


น้ำมะม่วงสีสันสะดุดตา รสชาติสะดุดใจ ได้กลิ่นของเนื้อมะม่วงแบบเต็ม ๆ เนื้อเนียนละเอียด หวาน หอม กำลังดี เหมือนกินมะม่วงน้ำดอกไม้จริง ๆ อยู่เลย


เป็นเครื่องดื่มที่ล้อกับขนมที่เราเคยคุ้นตาอย่างเช่น เฉาก๋วยนมสด แต่เปลี่ยนจากนมสดมาเป็นคารัวมิลค์ที่มีกลิ่นของกาแฟเพิ่มเติมเข้ามา ก็นุ่มนวลและเข้ากันได้ดีครับ

มีต่อนะครับ >>>>
รีวิวและรูปภาพประกอบเพิ่มเติม : http://www.bumres.com/th/restaurant/Vanilla-Cafeteria-The-Emquartier/review/6138