Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ (7 sins the series เล่ม 1) - ตอนที่ 2 : ปฏิบัติการณ์ ‘รอเธอ...เผื่อเจอรัก’




แนวเรื่อง : ลึกลับ ระทึกขวัญ สยองขวัญ หักมุม
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน) -- https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol


มนุษย์เราทุกผู้ล้วนมีบาป ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นหนทางแห่งความตาย...
บนเส้นทางชีวิตมีบ่อยครั้งที่ต้องเลือกว่า จะทำ หรือไม่ทำ...
แต่ปลายทางคงเลือกไม่ได้ว่า จะตาย หรือไม่ตาย

ถ้าชอบช่วยกดไลค์แฟนเพจไว้ติดตามข่าวสารเรื่องนี้ และเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol

จากฉากสุดสยองในห้องน้ำ สู่ปฏิบัติการณ์โรแมนติกใส ๆ วัยรุ่นชอบ
ทว่าความรักหวานแหววคงไม่เหมาะกับปธานินเท่าไรนัก
เพราะความสยองครั้งใหม่กำลังรอเขาอยู่
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามต่อได้ในตอนที่ 2 เลยครับ


ตอนที่ 2 : ปฏิบัติการณ์ ‘รอเธอ...เผื่อเจอรัก’


    “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น!?” เงาร่างดำทมิฬตรงหน้าของปธานินเอ่ยปากตะโกนขึ้น พร้อมกับที่หลอดนีออนทุกดวงในอาคารถูกเปิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ความสว่างเผยให้เห็นถึงตัวจริงของร่างปริศนานั้น

     ถ้าหากว่าสิ่งที่เคยจู่โจมเล่นงานเขาเมื่อสักครู่ คือผีห่าซาตานที่หลุดออกมาจากนรก ร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าก็คงเปรียบเสมือนกับเทวดาที่ลงจากสวรรค์มาเพื่อช่วยเหลือ

     ปธานินยกมือขึ้นหยิบสิ่งที่อยู่ในปากออก แล้วโยนมันลงบนพื้น “บอย ช่วยกูด้วย” เด็กหนุ่มโผเข้าใส่ร่างของเพื่อนสนิทในทันที จนล้มไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่อะไรกันสักอย่าง ความเงียบภายในตัวอาคารก็ถูกกลบไปด้วยเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังก้องสะท้อนกับผนังไปทั่ว ปธานินหันกลับไปมองทิศทางที่เขาเพิ่งหนีมาในทันที...

     ร่างของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนคนหนึ่ง กำลังยืนหัวเราะตัวงอน้ำตาไหลด้วยความสะใจอยู่ในนั้น ตรงพื้นเบื้องหน้าเขามีขยุ้มผ้าซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำกองอยู่ เด็กหนุ่มเข้าใจได้ในทันที...

     สิ่งที่จู่โจมเขาในความมืดเมื่อสักครู่ คงเป็น ‘เอก’ นั่นเอง

     “ทำเชี่ยอะไรวะ ไอ้เอก” ปธานินตะโกนถามกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มอีกสองคนที่โผล่มาจากทางด้านข้างของอาคาร ทั้งสามคนร่วมหัวร่องอหายอย่างสะใจที่สามารถทำให้ปธานินต้องพบเจอกับความหวาดกลัวที่สุดในชีวิตได้สำเร็จ

     เด็กหนุ่มผู้ถูกแกล้งมองดูการกระทำของพวกเขาด้วยสายตาแห่งความอาฆาต และความอับอายไปพร้อมกัน

     “เป็นไงวะไอ้นิน พวกกูทำเยี่ยวราดเลยเปล่าวะ ยิ้มเอ๊ยสุดยอดซาวด์เอฟเฟ็กแห่งปี” ‘ม่อน’ ลูกไล่ในแก๊งค์ของเอก ส่งเสียงเย้ยหยัน ชี้นิ้วไปที่โทรศัพท์ของตนพร้อมกับเปิดริงโทนเสียงกรีดร้องของหญิงสาวออกมาจากโทรศัพท์มือถือ

     ...เสียงเดียวกับที่ปธานินได้ยิน

      “แล้วไอ้เนี่ยเห็นเหมือนหัวคนเปล่าวะ?” ‘รงค์’ ลูกไล่อีกคนของเอก ชูไม้ถูพื้นขึ้นแกว่งไปมาในอากาศ ดูจากคราบที่ฝังอยู่จนเป็นสีดำแล้ว คงบอกได้ไม่ยากว่ามันคงจะถูกใช้งานมาอย่างหนักหน่วงทีเดียว จนทำให้ดูเหมือนกับเส้นผมสีดำยาวกระเซอะกระเซิง ส่วนใบหน้าที่มองเห็นเหมือนเงามืดนั้น ก็คงไม่พ้นกระดาษรูปวงรีสีดำที่ถูกแปะไว้ตรงส่วนปลายอย่างลวก ๆ

      “เฮ้ย พวกไม่เล่นกันแรงไปหน่อยเหรอวะ?!” บอยตะโกนถามออกไป ดวงตาของเขาแข็งกร้าว และดุดัน

       “แหม่ ก็แค่หยอกกันเล่น ๆ เท่านั้นแหล่ะ กูเพิ่งจะเคยเห็นไอ้เต่าน้อยมันอยู่ที่สระจนค่ำมืดก็วันนี้เอง” เอกตะโกนตอบทั้งที่รอยยิ้มแห่งความสะใจยังคงไม่เลือนหายไป ไร้ซึ่งความรู้สึกสำนึกผิดปรากฏในแววตา “ป่ะ พวกเรากลับ!” เขาเอ่ยปากเป็นสัญญาณอีกครั้งก่อนที่ทั้งสามคนจะพากันเดินจากไป

      “นิน เป็นไงบ้างวะ ป่ะ ไปอาบน้ำกันก่อน แล้วเดี๋ยวกูเดินไปส่งที่บ้าน”

      ปธานินซึ่งยังคงมีใบหน้าที่แดงก่ำไปด้วยความโกรธผสานกับความอับอาย ยอมเดินตามเพื่อนสนิทไปแต่โดยดี


      “เป็นไงบ้างวะนิน โอเคยัง” บอยเอ่ยปากถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็น อีกฝ่ายเงียบไป น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ปธานินเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ถูกส่งต่อมาเช่นกัน

       “อืม กูก็ไม่รู้ว่ายิ้มเป็นบ้าเป็นบออะไร ถึงได้คอยแกล้ง คอยล้อเลียนกูอยู่ตลอดเวลา นี่ขนาดกูไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับมันเลยนะเว้ย เชี่ย!” ความอัดอั้นในใจของปธานินถูกระเบิดออกมา ราวกับลาวาที่ถูกปลดปล่อยจากปล่องภูเขาไฟ พร้อมกับสายน้ำที่พรั่งพรูจากฝักบัว

        ‘เอกรัฐ’ หรือ ‘เอก’ จัดได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจหมายเลขหนึ่งของปธานินมานับตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ในตอนแรกสถานการณ์ความสัมพันธ์ฉันอริของพวกเขายังไม่ได้รุนแรงสักเท่าใดนัก เอกเป็นเพียงแค่เด็กผู้ชายธรรมดาจากต่างจังหวัด มีพ่อ และแม่เป็นชาวสวนซึ่งบังเอิญขายที่ดินแปลงใหญ่ได้ เลยกลายเป็นเศรษฐีใหม่ในชั่วข้ามคืน จากนั้นทั้งหมดจึงพากันย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ และนั่นเองก็เป็นสาเหตุให้เอกได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับนิน

       เอกรัฐเป็นเด็กที่มีความสามารถ แม้ผลการเรียนจะไม่ได้ดีเด่นมากมายนัก หากแต่ด้วยร่างกายที่ผ่านการฝึกว่ายน้ำในบึง ในคลองมาตั้งแต่เด็ก มันส่งผลให้เอกกลายเป็นคนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดในบรรดาสมาชิกของชมรมว่ายน้ำทั้งหมด เป็นที่หลงใหลได้ปลื้มของครูผู้ดูแลชมรม และเพื่อน ๆ จนในที่สุดการประคบประหงมเอาอกเอาใจอย่างออกหน้าออกตา ของครูผู้ดูแลชมรมซึ่งหวังใช้เด็กเป็นบันไดในการสร้างผลงานให้แก่ตนก็เริ่มต้นขึ้น จนทำให้เด็กหนุ่มธรรมดาแปรเปลี่ยนไปเป็นคนหลงตัวเองอย่างร้ายกาจ อีกทั้งยังมีแรงกระตุ้นจากการเป็นที่หมายปองของบรรดาสาว ๆ ในโรงเรียน ด้วยรูปร่างอย่างนักกีฬา และใบหน้าที่คมเข้มน่าหลงใหล... ทั้งหมดจึงทำให้นิสัยของเอกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ได้เร็วขึ้นเป็นทวีคูณ

        สำหรับปธานิน เขาไม่ได้รู้สึกอิจฉา หรือเกลียดชังอะไรในตัวเอกเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่า แทบจะไม่ได้ใส่ใจอะไรในการมีตัวตนของเด็กหนุ่มผู้หลงตัวเองคนนี้เท่าใดนัก ปธานินยังคงใช้ชีวิตของตนให้ผ่านวันเวลาที่แสนน่าเบื่อเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร

       เขาไม่ได้ต้องการจะแข่งขันประชันความเร็ว ไม่ได้อวดร่ำอวดรวย หรือเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ประหนึ่งดาราค่าตัวแพงลิ่ว มีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่เขาต้องการคือ...นอนเฉยๆ ไม่ต้องทำสิ่งใด หรือรับรู้อะไรเลยต่างหาก

      แต่สำหรับเอก ทุกอย่างมันกลับกัน ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างพากันเทิดทูนเขาราวกับเจ้าชายผู้สูงค่า... แต่ปธานิน เด็กหนุ่มกะโหลกกะลาที่ไม่มีความสามารถอะไร กลับแสดงท่าทีที่ไม่แยแสต่อการปรากฏตัวของเขา และไม่เคยเห็นมองความสำคัญประหนึ่งดวงดาวจรัสแสงอย่างที่เขามุ่งหวังให้ทุกคนทำ ซึ่งนั่นก็พอกพูนสะสมความเกลียดชังที่มีต่อปธานินให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดทัศนะคติก็เปลี่ยนไป เขามองปธานินเป็นเพียงแค่เศษขยะไร้ค่า น่ารำคาญ ซึ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เห็นท่าทางเลื่อนลอยราวกับซังกะตาย

        ดังนั้นเอกรัฐจึงพยายามที่จะหาทางกลั่นแกล้ง และยั่วโมโหปธานินในทุกครั้งที่โอกาสถูกหยิบยื่นมาให้ จนในที่สุดก็ค้นพบว่า เขาเองก็รู้สึกสนุก และมีความสุขอย่างมากที่ได้ทำให้เด็กหนุ่มผู้เลื่อนลอย กลายเป็นเพียงแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งของตนเท่านั้น

       ...

       “กูถามจริง ๆ เหอะไอ้นิน จะปล่อยให้มันแกล้งอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ เหรอวะ ทำไมไม่สู้ หรือขัดขืนบ้าง ถ้าอยากจะเอาคืน กูก็พร้อมช่วยนะ” บอยเอ่ยปากถามขึ้น ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกโกรธแค้นแทนเพื่อน และเจือปนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในคราวเดียวกัน

       “ช่างยิ้มเหอะ แค่กูมีเป็นเพื่อนอย่างนี้ก็พอแล้ว” คำพูดของปธานินนั้นสั้น ให้ความรู้สึกแบบขอไปที แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงใจตามแบบฉบับของเขาเอง บอยจึงไม่ได้คะยั้นคะยอต่อ เพราะรู้ถึงนิสัยใจคอของเพื่อนตัวเองดี

        ...

        นับตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาได้พบกันที่โรงเรียนแห่งนี้ บอยอดที่จะคิดไม่ได้ว่า เขาเองก็แอบหงุดหงิดกับความขี้เกียจ   และท่าทางเหมือนกับไม่สนใจอะไรสักอย่างรอบตัวของปธานินอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป... ความสนิทชิดเชื้อเริ่มก่อตัวขึ้น เขาจึงตระหนักได้ว่า นั่นเป็นนิสัยส่วนตัวที่ฝังรากลึกจนไม่น่าจะแก้ไขได้ในเวลาสั้น ๆ แม้ว่าจะดูน่ารำคาญ แต่ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยกับใคร จนในที่สุดเขาก็ยอมรับมัน ความรู้สึกแง่ลบก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

        ปธานินเองก็เริ่มเปิดใจที่เฉื่อยชาให้กับบอยมากขึ้น จนกลายเป็นคู่ซี้ดูโอ้กันในที่สุด

        ...

         เวลาแต่ละนาทีของการเรียนการสอนในวันสุดท้ายของภาคเรียนแรก ผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ละคาบบรรดาเหล่าคุณครูผู้มีความตั้งใจในการสอนอันแน่วแน่ ล้วนแล้วแต่พากันยัดเยียดสรุปเนื้อหาของทั้งเทอมให้แก่นักเรียนอย่างมากมาย ราวกับการบีบอัด แล้วส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลลงในในคอมพิวเตอร์เครื่องเล็ก โดยลืมสนใจว่า พื้นที่ว่างของหน่วยความจำจะมีเพียงพอหรือไม่ ...แม้ดูเพียงผิวเผินเด็กเหล่านั้นจะเติบโตไปกลายเป็นสมอง เป็นอนาคตของชาติ หากแต่อีกแง่มุมที่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไปคือ เด็กเหล่านี้ไม่ได้กำลังถูกสอนให้คิด วิเคราะห์ หรือทำความเข้าใจ หากแต่ถูกสอนให้ท่องจำต่างหาก

          เหล่าบรรดาเด็กเนิร์ดทั้งหลายต่างพากันจดข้อมูลเหล่านั้นลงในกระดาษตรงหน้าด้วยความเร็วสูง และลายมือเฉพาะตัวที่มีเพียงคนเขียนเท่านั้นที่อ่านออก จนเกิดเสียงยิก ๆ ไปทั่วทั้งห้องเรียน

          แตกต่างกับปธานินอย่างสิ้นเชิง เด็กหนุ่มได้แต่นั่งเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย ดวงตามองค้างไปทางหน้าห้อง ถ้อยคำต่าง ๆ ที่ครูพูดไหลผ่านไปราวกับเสียงแมลงหวี่ซึ่งไม่สามารถเข้าใจความหมายได้ คอยนับเวลาแต่ละนาทีให้ผ่านไป พลางคิดถึงใบหน้าของหญิงสาวปริศนาที่เขาแอบหลงใหลได้ปลื้ม...แม้จะเคยได้เจอเธอเพียงครั้งเดียวก็ตาม

          เด็กหนุ่มตั้งใจอย่างแรงกล้า... วันนี้เขาเองก็คงจะไปเก๊กท่าทำเป็นซ้อม เพื่อแอบคอยเธออยู่ที่สระน้ำเหมือนเช่นเคย ด้วยความหวังว่าจะต้องได้พบเจอกับเธออีกครั้งอย่างแน่นอน

         ....

         “ตื๊ด..........” เสียงออดเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ราวกับเสียงสวรรค์ที่ส่งสัญญาณให้ปธานินทราบว่า เวลาแห่งภารกิจ ‘รอเธอ...เผื่อเจอรัก’ ที่เขาคอยมาทั้งวันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว แต่เขาเองก็ยังอายเกินกว่าที่จะให้ใครรู้ว่า ในที่สุด เด็กหนุ่มเฉื่อยชาอย่างเขาก็แอบหลงรักเด็กสาวได้สักที

         โดยเฉพาะกับเอกรัฐ หากเมื่อไรก็ตามที่เรื่องนี้ถูกพูดกันปากต่อปากจนถึงหูของมันละก็ รับรองได้ว่า ชีวิตอันแสนสงบ จะต้องแปรเปลี่ยนเป็นมหกรรมการล้อเลียนครั้งใหญ่อย่างแน่นอน...ดีไม่ดี ไอ้เอกอาจจะเป็นคนตัดหน้าเข้าไปจีบเธอเสียเองก็เป็นได้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็คงจะไม่มีอะไรไปสู้กับมัน คงต้องกินแห้วเชื่อมน้ำตาตามประสาคนอกหักทั่วไป

         ปธานินเดินออกจากห้องในทันที จนมาหยุดอยู่ที่อีกสองห้องถัดไป บอยกำลังเก็บหนังสือเรียน และสมุดบันทึกยัดใส่กระเป๋าเป้สีดำที่มีตราโรงเรียนขนาดใหญ่แผ่หรา ราวกับเป็นโลโก้ของแบรนด์ดัง

         แผนขั้นแรกเขาต้องทำตัวไม่ให้เป็นพิรุธ แกล้งทำเป็นเดินมาเจอกับเพื่อนสนิท ที่เพิ่งเดินออกจากห้องมากลางทาง รอคอยให้บอยเป็นคนพูดชวนไปซ้อมเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง

         “อ้าวนิน วันนี้โรงเรียนเปิดสระให้ใช้ได้วันสุดท้ายแล้ว อยู่ซ้อมเป็นเพื่อนกูสักวันสิ กว่าได้ซ้อมอีกทีก็ต้องรอสอบเสร็จโน่น” บอยเอ่ยปากชวนขึ้นด้วยสีหน้าร่าเริงแจ่มใสอย่างที่เป็นมาตลอด

          มันเป็นไปอย่างที่ปธานินคิดไว้ แผนขั้นแรกสำเร็จไปได้ด้วยดี  รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของเด็กหนุ่ม นับเป็นสัญญาณแห่งโชค วันนี้อาจจะเป็นวันของเขา ความหวังที่จะได้พบเจอกับเธอกำลังพองตัวขึ้นจนหัวใจแทบจะปริแตกออกเสียให้ได้ จากนั้นบอยก็ยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ของเด็กหนุ่มไว้แล้วพาเดินไปด้วยกัน

          เป้าหมายคือ...สระว่ายน้ำ

          ...


------------- ยังไม่จบ อ่านต่อด้านล่างครับ ----------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่