Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ - ตอนที่ 15.2 (ตอนอวสาน) : ทางรอด (ช่วงกลาง)
“เฮ้อ...” ปธานินถอนหายใจเสียงดัง ความเหนื่อยหน่ายผสานกับความกลัวอย่าลงตัว จนแยกไม่ออกว่าอย่างใดมากกว่ากัน เงาดำที่ทอดยาวของแนวป่าทำให้เด็กหนุ่มหวนคิดถึงเรื่องราวซึ่งเคยเกิดขึ้น ภาพความฝันเมื่อครั้งได้เข้าไปในสโมสรร้างผุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็วราวกับภาพวิดีโอที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้น
“เอาน่าเดี๋ยวกูไปกับเมิงเอง ไปทำเรื่องนี้ให้มันจบ ๆ ซะที” บอยจับความรู้สึกหวั่นไหวซึ่งแทรกตัวอยู่ในแววตาของเพื่อนสนิทได้
“บอย กูก็ไม่อยากขัดเท่าไรอ่ะนะ แต่กูว่า... ชัยคงไม่ต้องการให้เมิงไปกับนินมันว่ะ” พลขัดขึ้น สีหน้าดูจริงจัง
สองหนุ่มจากเมืองกรุงหันขวับทันที แม้จะยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ทว่าพลเองก็รับรู้เจตนาของพวกเขาได้ด้วยปฏิกิริยาตอบสนอง “กูเดาเอานะ จากที่เมิงเล่ามาเนี่ย เหมือนชัยจะจงใจแยกพวกเมิงออกจากกัน”
“หือ ทำไมวะ” บอยสวนกลับ ดวงตาเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ... ไม่ต่างจากปธานิน
ความเงียบเข้าแทรกกลางระหว่างคนทั้งสามอีกครั้ง ก่อนจะถูกทำลายลงในเวลาต่อมา
“เอ่อ... กูจะตรัสรู้ไหมเนี่ย กูแค่เดาเอาจากการกระทำของชัยมันเฉย ๆ จากที่เขาเล่ากันมา ชัยน่ะเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง ทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตัวเองต้องทำมาเสมอ โดยไม่พึ่งคนอื่น กูก็เลยเดาเอาเองว่า เขาอาจจะอยากให้นินมันได้ทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง อย่างน้อยก็ครั้งนี้... ที่ผ่านมา เมิงก็คอยอยู่ช่วยนินมันตลอด รวมถึงการซ้อมด้วย ส่วนตอนแข่งจริงก็มีชัยคอยช่วยอีก” พลตอบ ดวงตาที่จ้องมองไปยังเพื่อนทั้งสองนั้นดูจริงจัง เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น
“บ้า! กูคงไม่ปล่อยให้นินมันไปคนเดียวหรอก พล... เมิงฟังกูนะ ไอ้ที่กูเล่าให้ฟังเมื่อกี้มันแค่แซมเปิ้ล ตอนอยู่กรุงเทพน่ะ ชัยมันเคยเกือบทำให้ไอ้เอกต้องจมน้ำตายมาแล้วครั้งหนึ่งตอนแข่ง ต่อมาก็เล่นงานพวกกูอีกครั้ง ดีที่ตอนนั้นกูกับนินมันรอดมาได้ แต่...” บอยหยุดพูด หันมองเพื่อนสนิทครั้งหนึ่ง นึกลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าตนจะพูดต่อดีไหม แต่แล้วก็ตัดสินใจได้ในวินาทีต่อมา “แต่... แสงดาวไม่รอด”
เมื่อพูดถึงความตายของหญิงสาว ปธานินก็ถูกความรู้สึกผิดพุ่งเข้าจู่โจมทันที ราวกับถูกเข็มเล่มเขื่องแทงเฉียดหัวใจไป เด็กหนุ่มก้มหน้ามองผ้าปูเตียงตามปฏิกิริยาตอบสนอง เพื่อปิดซ่อนความรู้สึก และกระบอกตาที่เริ่มร้อนผ่าว
“เดี๋ยวนะ มันเกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพกันแน่ เมิงพูดอย่างกับหนังผีเลย” สีหน้าของหนุ่มลูกอีสานเปลี่ยนเป็นแสดงความประหลาดใจ
“ก็คือย่างนี้ ตอนที่นินกับเอกรัฐมันแข่งกันอยู่....” บอยมองมองอากับกิริยาของเพื่อนสนิท ก่อนจะยกมือขึ้นทาบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ เรียบเฉยราวเป็นเรื่องธรรมดา หวังให้มันไม่เป็นการเพิ่มความรู้สึกด้านลบให้ปธานินมากนัก
“เชี่ย! มิน่าเมิงถึงเป็นห่วงมัน เออ กูเข้าใจว่ะ แต่บอย... เมิงคิดให้ดี ๆ นะ ชัยมันออกตัวขนาดนี้แล้ว กูกลัวว่า ถ้าเมิงไม่ปล่อยให้ไอ้นินมันไปทำหน้าที่ของมันอย่างที่ชัยต้องการ เรื่องนี้จะพาลไม่จบเอา ดีไม่ดีจะไปยั่วให้ชัยมันของขึ้นเอาเปล่า ๆ ที่นี้ล่ะได้ซวยกันหมด” พลพูดพลางยกมือขึ้นลูบต้นแขน
“แต่ถ้าเราไม่ไป แล้วไอ้ชัยมันเกิดบ้ากลายเป็นผีตบะแตกขึ้นมาอีกล่ะ จะทำยังไง ใครจะช่วยนินมันได้” เด็กหนุ่มร่างโย่งเอ่ยถาม ทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเพื่อนสนิท
“บอย...” ปธานินเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน พร้อมเปล่งเสียงแผ่วเบาในลำคอ
“จะเรียกว่าเป็นการมองโลกในแง่ดีไหม แต่จากที่เขาเล่ากันมา ชัยเองก็ไม้ใช่ผีเลวอะไรนะ อย่างไอ้เอกอะไรนั่นก็ไม่ได้จมน้ำตายใช่เปล่าล่ะ ส่วนเรื่องดาว มันอาจจะแค่เป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายก็ได้ เพราะเมิงบอกว่า ชัยมันเริ่มอาละวาดหลังจากที่นินมันผัดวันประกันพรุ่ง เหมือนขี้เกียจ ลีลาไม่ยอมมาแก้บนใช่เปล่าล่ะ”
สำหรับสองหนุ่มจากเมืองกรุง มุมมองของผู้ปราศจากความร้อนรนของพลเองก็ฟังดูมีเหตุผล
"นิน เมิงจะไหวไหม” บอยส่งเสียงถามต่อทันที แววตาอาบไล้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มีร่องรอยของความไม่สบายใจเปื้อนเปรอะทั่วใบหน้า
“เฮ่อ... กูคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วมั้ง ว่าแต่... เราแก้บนที่ระเบียงเลยไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วย หรือไม่ก็ไปแก้บนกันตรงทางสามแพร่งที่ศาลเคยอยู่ ขนาดตอนขอกูยังไปขอตรงนั้นได้เลย มันก็เหมือน ๆ กันมั้ง” ผู้ถูกถามตัดพ้อ ปธานินก็ยังคงเป็นปธานินอยู่วันยังค่ำ แต่เพิ่มเติมด้วยความประหม่า... สิ่งที่เขาจะต้องทำในครั้งนี้มันหนักหนาสาหัสกว่าเมื่อครั้งทางสามแพร่งมากนัก อย่างน้อยมันก็ยังอยู่บนถนน ความน่ากลัวคงเทียบกันไม่ได้เลยกับการเข้าไปในสโมสรร้างกลางป่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเฉไฉอีกครั้ง
“นินกูว่าเมิงคงบ่ายเบี่ยงอะไรไม่ได้แล้วว่ะ โบราณว่าไว้ว่า การบนก็เหมือนกับเป็นการแลกเปลี่ยนคำสัญญากันระหว่างคนกับผี ตอนนี้ฝ่ายผีก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว ถึงเวลาที่ฝ่ายคนจะต้องทำตามสัญญาบ้าง ไม่เป็นไรหรอกเว้ยไอ้นิน ถึงชัยจะทำเหมือนไม่อยากให้ใครเข้าไปแก้บนกับเมิง แต่ไม่ได้ห้ามพวกกูไปส่งนี่” พลหันหน้ามองบอยทันทีที่พูดจบ ก่อนจะยิ้มตรงมุมปาก พร้อมยักคิ้วให้บอยครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนบอยเองก็จะเข้าใจได้ในทันที เขาโผเข้าจับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนสนิทไว้ แล้วเขย่าแรง ๆ ด้วยความดีใจ รอยยิ้มผุดผาดขึ้นบนใบหน้า
“เออว่ะ ถึงเราจะเข้าไปในสโมสรด้วยไม่ได้ แต่กูกับพลก็รอเมิงที่ทางสามแพร่งได้นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเมิงก็แค่ร้องให้ดัง ๆ แล้วเดี๋ยวพวกกูจะวิ่งเข้าไปช่วย”
“อืม... ก็คงงั้น” แม้น้ำเสียงของปธานินจะดูเรียบเฉย หากแต่ภายในใจกลับลิงโลด โล่งอก เด็กหนุ่มมองหน้าของเพื่อนอีกครั้งก่อนจะยิ้มตอบ เขารู้ดีว่า ไม่ว่ายังไงบอยก็จะไม่มีวันทิ้งเขา แล้วจะช่วยเหลือเขาได้ทุกครั้ง อย่างเช่นที่เคยทำมาตลอด... แม้ความกลัวจะไม่ได้ถูกลบเลือนไปจนหมดสิ้น หากแต่ความมั่นใจในสายสัมพันธ์ และความรู้สึกอุ่นใจกำลังกลบเกลื่อนให้ความหวาดระแวงซีดจางลงบ้าง
ดวงตาของเพื่อนซี้แห่งชมรมว่ายน้ำผสานกันท่ามกลางบทบรรเลงเพลงแห่งความเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนนินจะหันหน้ากลับมองทางเด็กหนุ่มเจ้าถิ่นบ้าง แล้วยิงคำถามต่อทันที “เอ้อ ว่าแต่ศาลมันหายไปไหน”
“เออ นั่นดิ” บอยสำทับบ้าง
-------------------- อ่านต่อด้านล่างครับ ----------------
Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ - ตอนที่ 15.1 (ตอนอวสาน) : ทางรอด (ช่วงกลาง)
แนวเรื่อง : ลึกลับ ระทึกขวัญ สยองขวัญ หักมุม
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน) -- https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol
มนุษย์เราทุกผู้ล้วนมีบาป ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นหนทางแห่งความตาย...
บนเส้นทางชีวิตมีบ่อยครั้งที่ต้องเลือกว่า จะทำ หรือไม่ทำ...
แต่ปลายทางคงเลือกไม่ได้ว่า จะตาย หรือไม่ตาย
ถ้าชอบช่วยกดไลค์แฟนเพจไว้ติดตามข่าวสารเรื่องนี้ และเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol
“เฮ้อ...” ปธานินถอนหายใจเสียงดัง ความเหนื่อยหน่ายผสานกับความกลัวอย่าลงตัว จนแยกไม่ออกว่าอย่างใดมากกว่ากัน เงาดำที่ทอดยาวของแนวป่าทำให้เด็กหนุ่มหวนคิดถึงเรื่องราวซึ่งเคยเกิดขึ้น ภาพความฝันเมื่อครั้งได้เข้าไปในสโมสรร้างผุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็วราวกับภาพวิดีโอที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้น
“เอาน่าเดี๋ยวกูไปกับเมิงเอง ไปทำเรื่องนี้ให้มันจบ ๆ ซะที” บอยจับความรู้สึกหวั่นไหวซึ่งแทรกตัวอยู่ในแววตาของเพื่อนสนิทได้
“บอย กูก็ไม่อยากขัดเท่าไรอ่ะนะ แต่กูว่า... ชัยคงไม่ต้องการให้เมิงไปกับนินมันว่ะ” พลขัดขึ้น สีหน้าดูจริงจัง
สองหนุ่มจากเมืองกรุงหันขวับทันที แม้จะยังไม่ได้พูดอะไรต่อ ทว่าพลเองก็รับรู้เจตนาของพวกเขาได้ด้วยปฏิกิริยาตอบสนอง “กูเดาเอานะ จากที่เมิงเล่ามาเนี่ย เหมือนชัยจะจงใจแยกพวกเมิงออกจากกัน”
“หือ ทำไมวะ” บอยสวนกลับ ดวงตาเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ... ไม่ต่างจากปธานิน
ความเงียบเข้าแทรกกลางระหว่างคนทั้งสามอีกครั้ง ก่อนจะถูกทำลายลงในเวลาต่อมา
“เอ่อ... กูจะตรัสรู้ไหมเนี่ย กูแค่เดาเอาจากการกระทำของชัยมันเฉย ๆ จากที่เขาเล่ากันมา ชัยน่ะเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง ทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตัวเองต้องทำมาเสมอ โดยไม่พึ่งคนอื่น กูก็เลยเดาเอาเองว่า เขาอาจจะอยากให้นินมันได้ทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง อย่างน้อยก็ครั้งนี้... ที่ผ่านมา เมิงก็คอยอยู่ช่วยนินมันตลอด รวมถึงการซ้อมด้วย ส่วนตอนแข่งจริงก็มีชัยคอยช่วยอีก” พลตอบ ดวงตาที่จ้องมองไปยังเพื่อนทั้งสองนั้นดูจริงจัง เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น
“บ้า! กูคงไม่ปล่อยให้นินมันไปคนเดียวหรอก พล... เมิงฟังกูนะ ไอ้ที่กูเล่าให้ฟังเมื่อกี้มันแค่แซมเปิ้ล ตอนอยู่กรุงเทพน่ะ ชัยมันเคยเกือบทำให้ไอ้เอกต้องจมน้ำตายมาแล้วครั้งหนึ่งตอนแข่ง ต่อมาก็เล่นงานพวกกูอีกครั้ง ดีที่ตอนนั้นกูกับนินมันรอดมาได้ แต่...” บอยหยุดพูด หันมองเพื่อนสนิทครั้งหนึ่ง นึกลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าตนจะพูดต่อดีไหม แต่แล้วก็ตัดสินใจได้ในวินาทีต่อมา “แต่... แสงดาวไม่รอด”
เมื่อพูดถึงความตายของหญิงสาว ปธานินก็ถูกความรู้สึกผิดพุ่งเข้าจู่โจมทันที ราวกับถูกเข็มเล่มเขื่องแทงเฉียดหัวใจไป เด็กหนุ่มก้มหน้ามองผ้าปูเตียงตามปฏิกิริยาตอบสนอง เพื่อปิดซ่อนความรู้สึก และกระบอกตาที่เริ่มร้อนผ่าว
“เดี๋ยวนะ มันเกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพกันแน่ เมิงพูดอย่างกับหนังผีเลย” สีหน้าของหนุ่มลูกอีสานเปลี่ยนเป็นแสดงความประหลาดใจ
“ก็คือย่างนี้ ตอนที่นินกับเอกรัฐมันแข่งกันอยู่....” บอยมองมองอากับกิริยาของเพื่อนสนิท ก่อนจะยกมือขึ้นทาบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ เรียบเฉยราวเป็นเรื่องธรรมดา หวังให้มันไม่เป็นการเพิ่มความรู้สึกด้านลบให้ปธานินมากนัก
“เชี่ย! มิน่าเมิงถึงเป็นห่วงมัน เออ กูเข้าใจว่ะ แต่บอย... เมิงคิดให้ดี ๆ นะ ชัยมันออกตัวขนาดนี้แล้ว กูกลัวว่า ถ้าเมิงไม่ปล่อยให้ไอ้นินมันไปทำหน้าที่ของมันอย่างที่ชัยต้องการ เรื่องนี้จะพาลไม่จบเอา ดีไม่ดีจะไปยั่วให้ชัยมันของขึ้นเอาเปล่า ๆ ที่นี้ล่ะได้ซวยกันหมด” พลพูดพลางยกมือขึ้นลูบต้นแขน
“แต่ถ้าเราไม่ไป แล้วไอ้ชัยมันเกิดบ้ากลายเป็นผีตบะแตกขึ้นมาอีกล่ะ จะทำยังไง ใครจะช่วยนินมันได้” เด็กหนุ่มร่างโย่งเอ่ยถาม ทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเพื่อนสนิท
“บอย...” ปธานินเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน พร้อมเปล่งเสียงแผ่วเบาในลำคอ
“จะเรียกว่าเป็นการมองโลกในแง่ดีไหม แต่จากที่เขาเล่ากันมา ชัยเองก็ไม้ใช่ผีเลวอะไรนะ อย่างไอ้เอกอะไรนั่นก็ไม่ได้จมน้ำตายใช่เปล่าล่ะ ส่วนเรื่องดาว มันอาจจะแค่เป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายก็ได้ เพราะเมิงบอกว่า ชัยมันเริ่มอาละวาดหลังจากที่นินมันผัดวันประกันพรุ่ง เหมือนขี้เกียจ ลีลาไม่ยอมมาแก้บนใช่เปล่าล่ะ”
สำหรับสองหนุ่มจากเมืองกรุง มุมมองของผู้ปราศจากความร้อนรนของพลเองก็ฟังดูมีเหตุผล
"นิน เมิงจะไหวไหม” บอยส่งเสียงถามต่อทันที แววตาอาบไล้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มีร่องรอยของความไม่สบายใจเปื้อนเปรอะทั่วใบหน้า
“เฮ่อ... กูคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วมั้ง ว่าแต่... เราแก้บนที่ระเบียงเลยไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วย หรือไม่ก็ไปแก้บนกันตรงทางสามแพร่งที่ศาลเคยอยู่ ขนาดตอนขอกูยังไปขอตรงนั้นได้เลย มันก็เหมือน ๆ กันมั้ง” ผู้ถูกถามตัดพ้อ ปธานินก็ยังคงเป็นปธานินอยู่วันยังค่ำ แต่เพิ่มเติมด้วยความประหม่า... สิ่งที่เขาจะต้องทำในครั้งนี้มันหนักหนาสาหัสกว่าเมื่อครั้งทางสามแพร่งมากนัก อย่างน้อยมันก็ยังอยู่บนถนน ความน่ากลัวคงเทียบกันไม่ได้เลยกับการเข้าไปในสโมสรร้างกลางป่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเฉไฉอีกครั้ง
“นินกูว่าเมิงคงบ่ายเบี่ยงอะไรไม่ได้แล้วว่ะ โบราณว่าไว้ว่า การบนก็เหมือนกับเป็นการแลกเปลี่ยนคำสัญญากันระหว่างคนกับผี ตอนนี้ฝ่ายผีก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว ถึงเวลาที่ฝ่ายคนจะต้องทำตามสัญญาบ้าง ไม่เป็นไรหรอกเว้ยไอ้นิน ถึงชัยจะทำเหมือนไม่อยากให้ใครเข้าไปแก้บนกับเมิง แต่ไม่ได้ห้ามพวกกูไปส่งนี่” พลหันหน้ามองบอยทันทีที่พูดจบ ก่อนจะยิ้มตรงมุมปาก พร้อมยักคิ้วให้บอยครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนบอยเองก็จะเข้าใจได้ในทันที เขาโผเข้าจับไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนสนิทไว้ แล้วเขย่าแรง ๆ ด้วยความดีใจ รอยยิ้มผุดผาดขึ้นบนใบหน้า
“เออว่ะ ถึงเราจะเข้าไปในสโมสรด้วยไม่ได้ แต่กูกับพลก็รอเมิงที่ทางสามแพร่งได้นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเมิงก็แค่ร้องให้ดัง ๆ แล้วเดี๋ยวพวกกูจะวิ่งเข้าไปช่วย”
“อืม... ก็คงงั้น” แม้น้ำเสียงของปธานินจะดูเรียบเฉย หากแต่ภายในใจกลับลิงโลด โล่งอก เด็กหนุ่มมองหน้าของเพื่อนอีกครั้งก่อนจะยิ้มตอบ เขารู้ดีว่า ไม่ว่ายังไงบอยก็จะไม่มีวันทิ้งเขา แล้วจะช่วยเหลือเขาได้ทุกครั้ง อย่างเช่นที่เคยทำมาตลอด... แม้ความกลัวจะไม่ได้ถูกลบเลือนไปจนหมดสิ้น หากแต่ความมั่นใจในสายสัมพันธ์ และความรู้สึกอุ่นใจกำลังกลบเกลื่อนให้ความหวาดระแวงซีดจางลงบ้าง
ดวงตาของเพื่อนซี้แห่งชมรมว่ายน้ำผสานกันท่ามกลางบทบรรเลงเพลงแห่งความเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนนินจะหันหน้ากลับมองทางเด็กหนุ่มเจ้าถิ่นบ้าง แล้วยิงคำถามต่อทันที “เอ้อ ว่าแต่ศาลมันหายไปไหน”
“เออ นั่นดิ” บอยสำทับบ้าง
-------------------- อ่านต่อด้านล่างครับ ----------------