เรื่องของเรื่อง เกิดขึ้นจากการได้อ่านหนังสือ "แค่ใช้คำให้ฉลาด ก็เพิ่มโอกาสจาก 0 เป็น 100%" ครับ เขียนโดยคุณ ซาซากิ เคอิจิ แปลเป็นไทยและขายโดยสำนักพิมพ์ WE LEARN จริงๆแล้วเชื่อว่ามีหนังสือแนวคล้ายกัน โดยคนไทยหลายเล่มที่น่าสนใจ และมีหนังสือแนว How To แปลขายมากพอควร แต่เล่มนี้คงเป็นเล่มหนึ่งที่ต้องแนะนำว่า พลาดไม่ได้ครับ
หนังสือ เป็น สิ่งที่ให้ความรู้กับเรา โดยที่เราใช้เวลาน้อยที่สุดครับ (shortcut) เรียนรู้สิ่งที่ผู้เขียนเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายสิบปี และมาถ่ายทอดผ่านตัวอักษร และเรียกได้ว่าเป็นแหล่งความรู้ราคาย่อมเยา ครับ
การใช้คำพูดเพื่อเพิ่มโอกาสการตอบตกลง รวมทั้งคำพูดเพื่อจูงใจคน นั้น เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน และคุณซาซากิ เขียนบอกเราว่า จากประสบการณ์การเป็น copywriter (นักแปล/นักพิสูจน์อักษร) ตลอดเวลาหลายสิบปีของเขาจนได้รางวัลระดับโลก นั้น ทำให้เขาค้นพบว่า
การพูดที่ดี ของ มันมีสูตร อยู่ นะครับ!
ให้ลองทำตามสูตรก่อน จนเคยชิน ก็จะทำให้เรามีทักษะการพูดที่เหมาะสม คำพูดบางคำพูด ความหมายเหมือนกัน แต่เปลี่ยนการใช้คำ หรือสลับที่ของคำเพียงเล็กน้อย กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกต่างกันได้อย่างน่าใจหาย
เนื้อเรื่องในหนังสือ เป็นอย่างไร สำหรับผู้สนใจคงต้องหาอ่านกันเองล่ะครับ...
เล่าเรื่องหนังสือมาสักพัก ก็ต้องถามว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับ การไปทานอาหารฝรั่ง ในประเทศญี่ปุ่น?
คุณซาซากิ เขียนในหนังสือตอนหนึ่งว่า การใช้ "สูตร" คำพูดที่ดี ก็เหมือน อาหารฝรั่งเศส ของภัตตาหาร Robuchon ที่ทำอาหารตาม "สูตร" (ของผู้ก่อตั้ง Joël Robuchon) กินที่ไหนก็ได้อาหารรสเลิศ เช่นเดียวกัน
ฟังแล้วก็เลยสงสัยว่า เฮ้ย ร้านอาหารอะไรหว่า ? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยครับ (ฮา)
เมื่อไปทำการบ้านหาข้อมูลเพิ่มขึ้นเลยรู้ว่า อ่อ มันคือร้านอาหารโดยกุ๊กชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศส และมีสาขาอยู่หลากหลายสาขา ที่กรุงเทพมหานครก็มีครับ
ทีนี้บังเอิญ มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานในประเทศญี่ปุ่น และ นัดพบกับรุ่นน้องนักเรียนไทยในญี่ปุ่น เลยนึกถึงคำพูด อาจารย์ซาซากิ เคอิจิ เลยทีเดียวครับ ก็เลยจองภัตตาคารนี้เพื่อพาน้องไปเปลี่ยนบรรยากาศ การทานอาหารเย็นนั่นเองครับ
และก็เป็นโอกาสดี เพราะน้องอยู่ญี่ปุ่น ปกติไม่ได้ทานอาหารฝรั่งเศส ครับ
ป.ล. เพื่อที่จะได้ทานมื้ออาหารในร้านอาหารที่ราคาสูงพอควรนี้ ทำให้สำหรับมื้ออื่นๆ ต้องเข้าร้านสะดวกซื้อ ข้างทาง ทานข้าวปั้นบ้าง ทานขนมปังบ้าง แทนแทบทุกมื้อครับ (ฮา)
ภาพจากเว็บไซต์ของทางร้าน:
ร้านอาหารนี้มีหลายสาขา ที่ได้ไปทานมา คือ สาขา Roppongi อยู่ใน Roppongi Hills ซึ่งอยู่ใกล้แยกรปปงงิ และอยู่บริเวณด้านข้าง ของ Mori tower
ภาพแยกรปปงงิ
ภาพด้านล่างนี้ คือ หอคอยโมริ (Mori Tower)
คือ Mori Tower นี่ก็เป็นที่ๆผมเคยขึ้นไปดื่มด่ำ (หมายถึงชมวิวนะครับ) กับบรรยากาศ มหานครโตเกียวยามค่ำคืน ครั้งแรกที่ขึ้นไปรู้สึกเหมือนเห็นโลกอนาคตเลยล่ะครับ บรรยากาศของมหานครโตเกียว ที่ใหญ่กว้างขวาง ตลอดจนแสงสี และภาพความเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี ทำให้คิดถึงเมืองไทย และฝันเลยว่า สักวันหนึ่งเมืองไทยคงมีบ้านเมืองที่ศิวิไลซ์มากไปกว่าเดิม ควบคู่ไปกับจิตใจคนที่พัฒนา อยู่ด้วยกันอย่างมีระเบียบวินัย และมีความสุข ได้มากขึ้น นะครับ
และที่สำคัญ บนหอคอยโมริ นี่ มีพิพิธภัณฑ์ Mori Art Museum ที่ทำให้ได้รับรู้ว่าศิลปะของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไร มีการจัดแสดงนิทรรศการบ่อยๆ
(ภาพจาก Tripadvisor.jp)
ตอนที่เคยไปเยี่ยมชม ห้องแสดงงานศิลปะ บางห้อง ห้องทั้งห้องมีเก้าอี้พลาสติกสีดำตั้งอยู่ตัวเดียว! ก็เป็นชิ้นงานศิลปะ ครับ ผมเองเคยได้ยินหลายคนที่อิ่มเอมกับการชื่นชมงานศิลปะของจิตรกร หรือ ศิลปิน ระดับโลก ครั้งที่ผมเห็นเก้าอี้สีดำตัวนั้น เลยทำให้ผมได้ ทึ่ง! เลยครับ ทึ่งมากๆครับ ว่ามันเป็นศิลปะอย่างไร (ฮา)
แต่ก็มีศิลปะ อีกมากที่เราสามารถเข้าใจได้ เข้าถึงได้ และน่าสนใจ เหมาะสำหรับคนที่อยากหาไอเดียใหม่ๆ ถ้าไปญี่ปุ่น มีโอกาส ก็ลองไปเยี่ยมชมดูนะครับ ใครไป Mori Tower ก็แนะนำว่า ต้องไปแวะ Mori Art Museum ให้ได้ครับ
หลังจากพูดเรื่องหอคอยโมริมานาน เราก็มาถึงบริเวณร้านที่อยู่ข้างๆ หอคอย แล้วล่ะครับ บรรยากาศหน้าร้านเป็นดังนี้ครับ
ร้านนี้รับจองที่นั่ง ผ่านเว็บไซต์ของเขาเองเลยครับ และ พนักงานต้อนรับ พูดภาษาอังกฤษ ได้เป็นอย่างดี มีการบริการที่เป็นกันเอง และมีความเป็นมืออาชีพมากนะครับ พนักงานเข้ามาทักเป็นภาษาอังกฤษเลยว่า "สวัสดีค่ะ คุณ ... ใช่ไหมคะ เราได้จัดเตรียมที่นั่งสุดพิเศษของร้านไว้ให้คุณ ... เลยนะคะ"
เก้าอี้ที่ได้เป็นเก้าอี้ชิดกับ เคาเตอร์ คือผมกับน้องก็สงสัยว่ามันพิเศษอย่างไร เขาจึงบอกว่า นี่เป็นจุดที่ทำให้เห็นวิวของทั้งร้านได้อย่างสะดวก และเขายินดีถ่ายรูปให้ด้วย (เป็นเทคนิคการพูดที่ดีมากนะครับ ทำให้พวกเราเชื่อว่าเราได้นั่งที่นั่งพิเศษครับ แม้ว่าจริงๆก็อาจเป็นที่นั่งธรรมดาก็ตาม)
ซึ่งบรรยากาศในร้าน ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนครับ ตามภาพ
ต่อมาพนักงานประชาสัมพันธ์ก็ชวนเราคุยเรื่องราวต่างๆ ว่ามาทำอะไร สนุกไหม ประทับใจอะไรในโตเกียวบ้าง เมื่อพูดคุยพอหอมปากหอมคอ หลังจากนั้นเธอก็ส่งต่องานให้กับ บริกรหนุ่ม
ก็คงได้ใกล้เวลาจะรับประทานแล้วล่ะครับ เริ่มต้น บริกรมีการแนะนำตนเอง พร้อมให้ดูเมนูเครื่องดิ่ม มีเมนูให้เลือกหลากหลาย ครับ
ตัวที่เลือก ก็คือ Veuve Clicquot Rose ซึ่งเป็นแชมเปญชั้นดี ของประเทศฝรั่งเศส เก่าแก่ แบรนด์นี้ อายุ น่าจะประมาณร่วม 250 ปี ได้แล้วครับ
ทำไมอาหารฝรั่งเศส จึงจัดเป็นอาหารชั้นดีของโลก มีคนเล่า ว่า สมัยราว 200 กว่าปีก่อน จักรพรรดิ นาโปเลี่ยน (Napoléon Bonaparte) ที่ 1 แพ้ศึกสงคราม ประเทศฝรั่งเศสที่กำลังแพ้สงครามขณะนั้น มีความยากจนลง จึงหันไปทำการเกษตร งานประดิษฐ์ประดอย สินค้าพื้นบ้าน ต่อมาแม้ว่าแพ้สงคราม แต่กลายเป็นว่าระยะยาวแล้ว พวกเขาชนะครับ เพราะการกลับไปทำสิ่งพื้นๆเหล่านี้ กลับทำให้ทุกวันนี้ ฝรั่งเศสจึงมี อาหารขึ้นชื่อมากมาย มีไวน์ขายส่งออกขวดละเป็นหมื่น เป็นแสนบาท มีเนยแข็งหลายประเภท มีวัฒนธรรมที่คนให้การชื่นชม และมี แบรนด์สินค้าต่างๆ ไล่ตั้งแต่ Louis Vuitton, Hermes, Chanel กลายเป็นสิ้นค้าหรู ส่งไปขายทั่วโลก ไล่มาจนถึงแบรนด์ร้านอาหาร Robuchon นี่เลยทีเดียวครับ (แน่นอนว่าผมมาเพราะ หนังสือของนักเขียนญี่ปุ่น ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า วัฒนธรรมฝรั่งเศสเดินทางไปไกลเลย ฮา)
ส่วนตัวคอร์สที่เลือก นั้น เป็น Degustation ตามใจพ่อครัวครับ ถ้าเปิดจาก dictionary แปลเป็นไทยก็คือ ชุดอาหาร ที่ทำด้วยความละเอียดอ่อน พิถีพิถัน มีความหลากหลาย ทำให้ผู้รับประทานได้ชื่นชมถึงสัมผัสของศิลปะการทำอาหาร ลึกซึ้งถึงภาพ กลิ่น รส สัมผัส และประสบการณ์ทางอาหาร พร้อมกับการบริการที่ดี
(แต่เผอิญว่าผมเอง มีลิ้นคนเดินดิน น่ะสิครับ ปกติก็รับประทานแต่ข้าวแกงข้างทาง เลยไม่ค่อยรู้ว่ารสชาติอาหารมันลึกซึ้งอย่างไร จมูกก็ไม่ค่อยดี (ฮา)
เอาเป็นว่าเก็บภาพมาให้ท่านได้ชม อย่างวิจิตร และคงต้องหาข้อมูลมาเล่าประกอบเพิ่มเติม ดังนี้ครับ)
อย่างแรกคือ Iberico ham เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังฝรั่งเศส หลากหลายชนิด รสชาติของแฮมมีความอ่อน กลมกล่อม เปรี้ยวปลาย ในอุณหภูมิพออุ่น เมื่อรับประทานทำให้รู้สึกถึง แฮมชั้นเลิศ
มาค้นหาข้อมูลทีหลัง จึงรู้ว่า Iberico ham นี่มาจากสเปน ทำมาจากหมู Iberico ทีมีเลี้ยงในฟาร์มเฉพาะเท่านั้น และให้มันกินผลลูกโอ๊ก (Acorn) อยู่ใต้ต้นโอ๊ก รับประทานธัญพืช และหญ้า มีพื้นที่ให้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน จนเมื่อน้ำหนักถึงเกณฑ์ที่จะเชือดแล้ว ก็เอามาเชือด
พฤติกรรมการกินและการมีชีวิตของหมู Iberico แบบนี้ ทำให้ไขมันของมันมีความกลมกล่อม ที่แทบจะละลายอยู่ในปาก และการฆ่าหมู Iberico นี่ต้องมีพิธีการโดยเฉพาะ เพื่อให้หมูตายอย่างสงบ เมื่อได้เนื้อออกมาแล้ว หมักเกลือ เอาไปตากไว้ถึง 3 ปี เพื่อให้เมื่อเข้าปากเราเข้าไปแล้ว ได้รู้สึกเปรียบดังไวน์รสเลิศ จนต้องร้อง "สุโค่ย"
(ป.ล. ตอนทานจริงๆ ไม่ได้รู้ข้อมูลเหล่านี้เลยครับ มาร้อง สุโค่ย ทีหลัง ฮ่าๆๆๆ)
ขนมปัง ก็อร่อยดีครับ เหมือนเพิ่งออกจากเตา มีขนมปังหลากหลายชนิด
หลังจากรับประทานขนมปังจนแทบอิ่ม เพราะรออาหารอย่างที่สองนานมากๆ (คือบอกได้เลยครับว่ากว่าจะกินหมดคอร์สนี่ใช้เวลาร่วมๆ 2ชั่วโมงกว่าๆครับ ค่อยๆเสิร์ฟ เนิบ เนิบ จนแทบจะหลับแล้วครับ) ทันใดนั้น!
อย่างที่สอง บริกรหน้าตาดี ก็ได้ยกจาน ใส่ข้าวโพดมา ตอนแรก เราก็สงสัยว่าเขาจะทำอะไรครับ
เขาก็คีบเอาข้าวโพด ไปใส่ในจานที่ราดซอส และมีสลัด วางไว้ นั่นเอง
พอพิจารณาดูดีดี สรุปมันก็คือ เป็นข้าวโพดยัดไส้กุ้งนั่นเอง! ฮา มีชื่ออย่างหรูว่า Dublin Bay Prawn wrapped with corn, zucchini and tomato salad
รสชาติล้ำลึกมากๆครับ เพราะได้ทั้งรสชาติข้าวโพด และเนื้อกุ้งที่อิ่ม สด หอม หวาน ไปกับซอสสีเหลือง กลิ่นคล้ายมะนาว และทานคู่กับสลัดมะเขือเทศสด อเร็ดอร่อยดีครับ
Dublin Bay Prawn เนี่ยก็เป็นกุ้งแบบหนึ่งครับ มีอีกหลายชื่อเรียกขาน บ้างเรียก Norway Lobster เป็นกุ้งที่นิยมรับประทานกันมากทั่วยุโรปครับ ส่วนซุกินี Zucchini ก็เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากเม็กซิโก เป็นพืชพุ่ม ครับ
เล่าได้ มาสองจาน จากคอร์สชุดใหญ่ ทั้งหมด 8 จาน พื้นที่กระทู้แทบจะไม่พอแล้วครับ ไว้มาต่อนะครับ... อาจต้องใช้เวลาในการเขียนพอควรครับ ฮา
[CR] ทานอาหารฝรั่ง! ในญี่ปุ่น - L'ATELIER de Joel Robuchon, roppongi (+เล่าเรื่องประกอบ)
หนังสือ เป็น สิ่งที่ให้ความรู้กับเรา โดยที่เราใช้เวลาน้อยที่สุดครับ (shortcut) เรียนรู้สิ่งที่ผู้เขียนเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายสิบปี และมาถ่ายทอดผ่านตัวอักษร และเรียกได้ว่าเป็นแหล่งความรู้ราคาย่อมเยา ครับ
การใช้คำพูดเพื่อเพิ่มโอกาสการตอบตกลง รวมทั้งคำพูดเพื่อจูงใจคน นั้น เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน และคุณซาซากิ เขียนบอกเราว่า จากประสบการณ์การเป็น copywriter (นักแปล/นักพิสูจน์อักษร) ตลอดเวลาหลายสิบปีของเขาจนได้รางวัลระดับโลก นั้น ทำให้เขาค้นพบว่า
การพูดที่ดี ของ มันมีสูตร อยู่ นะครับ!
ให้ลองทำตามสูตรก่อน จนเคยชิน ก็จะทำให้เรามีทักษะการพูดที่เหมาะสม คำพูดบางคำพูด ความหมายเหมือนกัน แต่เปลี่ยนการใช้คำ หรือสลับที่ของคำเพียงเล็กน้อย กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกต่างกันได้อย่างน่าใจหาย
เนื้อเรื่องในหนังสือ เป็นอย่างไร สำหรับผู้สนใจคงต้องหาอ่านกันเองล่ะครับ...
เล่าเรื่องหนังสือมาสักพัก ก็ต้องถามว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับ การไปทานอาหารฝรั่ง ในประเทศญี่ปุ่น?
คุณซาซากิ เขียนในหนังสือตอนหนึ่งว่า การใช้ "สูตร" คำพูดที่ดี ก็เหมือน อาหารฝรั่งเศส ของภัตตาหาร Robuchon ที่ทำอาหารตาม "สูตร" (ของผู้ก่อตั้ง Joël Robuchon) กินที่ไหนก็ได้อาหารรสเลิศ เช่นเดียวกัน
ฟังแล้วก็เลยสงสัยว่า เฮ้ย ร้านอาหารอะไรหว่า ? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยครับ (ฮา)
เมื่อไปทำการบ้านหาข้อมูลเพิ่มขึ้นเลยรู้ว่า อ่อ มันคือร้านอาหารโดยกุ๊กชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศส และมีสาขาอยู่หลากหลายสาขา ที่กรุงเทพมหานครก็มีครับ
ทีนี้บังเอิญ มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานในประเทศญี่ปุ่น และ นัดพบกับรุ่นน้องนักเรียนไทยในญี่ปุ่น เลยนึกถึงคำพูด อาจารย์ซาซากิ เคอิจิ เลยทีเดียวครับ ก็เลยจองภัตตาคารนี้เพื่อพาน้องไปเปลี่ยนบรรยากาศ การทานอาหารเย็นนั่นเองครับ
และก็เป็นโอกาสดี เพราะน้องอยู่ญี่ปุ่น ปกติไม่ได้ทานอาหารฝรั่งเศส ครับ
ป.ล. เพื่อที่จะได้ทานมื้ออาหารในร้านอาหารที่ราคาสูงพอควรนี้ ทำให้สำหรับมื้ออื่นๆ ต้องเข้าร้านสะดวกซื้อ ข้างทาง ทานข้าวปั้นบ้าง ทานขนมปังบ้าง แทนแทบทุกมื้อครับ (ฮา)
ภาพจากเว็บไซต์ของทางร้าน:
ร้านอาหารนี้มีหลายสาขา ที่ได้ไปทานมา คือ สาขา Roppongi อยู่ใน Roppongi Hills ซึ่งอยู่ใกล้แยกรปปงงิ และอยู่บริเวณด้านข้าง ของ Mori tower
ภาพแยกรปปงงิ
ภาพด้านล่างนี้ คือ หอคอยโมริ (Mori Tower)
คือ Mori Tower นี่ก็เป็นที่ๆผมเคยขึ้นไปดื่มด่ำ (หมายถึงชมวิวนะครับ) กับบรรยากาศ มหานครโตเกียวยามค่ำคืน ครั้งแรกที่ขึ้นไปรู้สึกเหมือนเห็นโลกอนาคตเลยล่ะครับ บรรยากาศของมหานครโตเกียว ที่ใหญ่กว้างขวาง ตลอดจนแสงสี และภาพความเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี ทำให้คิดถึงเมืองไทย และฝันเลยว่า สักวันหนึ่งเมืองไทยคงมีบ้านเมืองที่ศิวิไลซ์มากไปกว่าเดิม ควบคู่ไปกับจิตใจคนที่พัฒนา อยู่ด้วยกันอย่างมีระเบียบวินัย และมีความสุข ได้มากขึ้น นะครับ
และที่สำคัญ บนหอคอยโมริ นี่ มีพิพิธภัณฑ์ Mori Art Museum ที่ทำให้ได้รับรู้ว่าศิลปะของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไร มีการจัดแสดงนิทรรศการบ่อยๆ
(ภาพจาก Tripadvisor.jp)
ตอนที่เคยไปเยี่ยมชม ห้องแสดงงานศิลปะ บางห้อง ห้องทั้งห้องมีเก้าอี้พลาสติกสีดำตั้งอยู่ตัวเดียว! ก็เป็นชิ้นงานศิลปะ ครับ ผมเองเคยได้ยินหลายคนที่อิ่มเอมกับการชื่นชมงานศิลปะของจิตรกร หรือ ศิลปิน ระดับโลก ครั้งที่ผมเห็นเก้าอี้สีดำตัวนั้น เลยทำให้ผมได้ ทึ่ง! เลยครับ ทึ่งมากๆครับ ว่ามันเป็นศิลปะอย่างไร (ฮา)
แต่ก็มีศิลปะ อีกมากที่เราสามารถเข้าใจได้ เข้าถึงได้ และน่าสนใจ เหมาะสำหรับคนที่อยากหาไอเดียใหม่ๆ ถ้าไปญี่ปุ่น มีโอกาส ก็ลองไปเยี่ยมชมดูนะครับ ใครไป Mori Tower ก็แนะนำว่า ต้องไปแวะ Mori Art Museum ให้ได้ครับ
หลังจากพูดเรื่องหอคอยโมริมานาน เราก็มาถึงบริเวณร้านที่อยู่ข้างๆ หอคอย แล้วล่ะครับ บรรยากาศหน้าร้านเป็นดังนี้ครับ
ร้านนี้รับจองที่นั่ง ผ่านเว็บไซต์ของเขาเองเลยครับ และ พนักงานต้อนรับ พูดภาษาอังกฤษ ได้เป็นอย่างดี มีการบริการที่เป็นกันเอง และมีความเป็นมืออาชีพมากนะครับ พนักงานเข้ามาทักเป็นภาษาอังกฤษเลยว่า "สวัสดีค่ะ คุณ ... ใช่ไหมคะ เราได้จัดเตรียมที่นั่งสุดพิเศษของร้านไว้ให้คุณ ... เลยนะคะ"
เก้าอี้ที่ได้เป็นเก้าอี้ชิดกับ เคาเตอร์ คือผมกับน้องก็สงสัยว่ามันพิเศษอย่างไร เขาจึงบอกว่า นี่เป็นจุดที่ทำให้เห็นวิวของทั้งร้านได้อย่างสะดวก และเขายินดีถ่ายรูปให้ด้วย (เป็นเทคนิคการพูดที่ดีมากนะครับ ทำให้พวกเราเชื่อว่าเราได้นั่งที่นั่งพิเศษครับ แม้ว่าจริงๆก็อาจเป็นที่นั่งธรรมดาก็ตาม)
ซึ่งบรรยากาศในร้าน ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนครับ ตามภาพ
ต่อมาพนักงานประชาสัมพันธ์ก็ชวนเราคุยเรื่องราวต่างๆ ว่ามาทำอะไร สนุกไหม ประทับใจอะไรในโตเกียวบ้าง เมื่อพูดคุยพอหอมปากหอมคอ หลังจากนั้นเธอก็ส่งต่องานให้กับ บริกรหนุ่ม
ก็คงได้ใกล้เวลาจะรับประทานแล้วล่ะครับ เริ่มต้น บริกรมีการแนะนำตนเอง พร้อมให้ดูเมนูเครื่องดิ่ม มีเมนูให้เลือกหลากหลาย ครับ
ตัวที่เลือก ก็คือ Veuve Clicquot Rose ซึ่งเป็นแชมเปญชั้นดี ของประเทศฝรั่งเศส เก่าแก่ แบรนด์นี้ อายุ น่าจะประมาณร่วม 250 ปี ได้แล้วครับ
ทำไมอาหารฝรั่งเศส จึงจัดเป็นอาหารชั้นดีของโลก มีคนเล่า ว่า สมัยราว 200 กว่าปีก่อน จักรพรรดิ นาโปเลี่ยน (Napoléon Bonaparte) ที่ 1 แพ้ศึกสงคราม ประเทศฝรั่งเศสที่กำลังแพ้สงครามขณะนั้น มีความยากจนลง จึงหันไปทำการเกษตร งานประดิษฐ์ประดอย สินค้าพื้นบ้าน ต่อมาแม้ว่าแพ้สงคราม แต่กลายเป็นว่าระยะยาวแล้ว พวกเขาชนะครับ เพราะการกลับไปทำสิ่งพื้นๆเหล่านี้ กลับทำให้ทุกวันนี้ ฝรั่งเศสจึงมี อาหารขึ้นชื่อมากมาย มีไวน์ขายส่งออกขวดละเป็นหมื่น เป็นแสนบาท มีเนยแข็งหลายประเภท มีวัฒนธรรมที่คนให้การชื่นชม และมี แบรนด์สินค้าต่างๆ ไล่ตั้งแต่ Louis Vuitton, Hermes, Chanel กลายเป็นสิ้นค้าหรู ส่งไปขายทั่วโลก ไล่มาจนถึงแบรนด์ร้านอาหาร Robuchon นี่เลยทีเดียวครับ (แน่นอนว่าผมมาเพราะ หนังสือของนักเขียนญี่ปุ่น ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า วัฒนธรรมฝรั่งเศสเดินทางไปไกลเลย ฮา)
ส่วนตัวคอร์สที่เลือก นั้น เป็น Degustation ตามใจพ่อครัวครับ ถ้าเปิดจาก dictionary แปลเป็นไทยก็คือ ชุดอาหาร ที่ทำด้วยความละเอียดอ่อน พิถีพิถัน มีความหลากหลาย ทำให้ผู้รับประทานได้ชื่นชมถึงสัมผัสของศิลปะการทำอาหาร ลึกซึ้งถึงภาพ กลิ่น รส สัมผัส และประสบการณ์ทางอาหาร พร้อมกับการบริการที่ดี
(แต่เผอิญว่าผมเอง มีลิ้นคนเดินดิน น่ะสิครับ ปกติก็รับประทานแต่ข้าวแกงข้างทาง เลยไม่ค่อยรู้ว่ารสชาติอาหารมันลึกซึ้งอย่างไร จมูกก็ไม่ค่อยดี (ฮา) เอาเป็นว่าเก็บภาพมาให้ท่านได้ชม อย่างวิจิตร และคงต้องหาข้อมูลมาเล่าประกอบเพิ่มเติม ดังนี้ครับ)
อย่างแรกคือ Iberico ham เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังฝรั่งเศส หลากหลายชนิด รสชาติของแฮมมีความอ่อน กลมกล่อม เปรี้ยวปลาย ในอุณหภูมิพออุ่น เมื่อรับประทานทำให้รู้สึกถึง แฮมชั้นเลิศ
มาค้นหาข้อมูลทีหลัง จึงรู้ว่า Iberico ham นี่มาจากสเปน ทำมาจากหมู Iberico ทีมีเลี้ยงในฟาร์มเฉพาะเท่านั้น และให้มันกินผลลูกโอ๊ก (Acorn) อยู่ใต้ต้นโอ๊ก รับประทานธัญพืช และหญ้า มีพื้นที่ให้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน จนเมื่อน้ำหนักถึงเกณฑ์ที่จะเชือดแล้ว ก็เอามาเชือด
พฤติกรรมการกินและการมีชีวิตของหมู Iberico แบบนี้ ทำให้ไขมันของมันมีความกลมกล่อม ที่แทบจะละลายอยู่ในปาก และการฆ่าหมู Iberico นี่ต้องมีพิธีการโดยเฉพาะ เพื่อให้หมูตายอย่างสงบ เมื่อได้เนื้อออกมาแล้ว หมักเกลือ เอาไปตากไว้ถึง 3 ปี เพื่อให้เมื่อเข้าปากเราเข้าไปแล้ว ได้รู้สึกเปรียบดังไวน์รสเลิศ จนต้องร้อง "สุโค่ย"
(ป.ล. ตอนทานจริงๆ ไม่ได้รู้ข้อมูลเหล่านี้เลยครับ มาร้อง สุโค่ย ทีหลัง ฮ่าๆๆๆ)
ขนมปัง ก็อร่อยดีครับ เหมือนเพิ่งออกจากเตา มีขนมปังหลากหลายชนิด
หลังจากรับประทานขนมปังจนแทบอิ่ม เพราะรออาหารอย่างที่สองนานมากๆ (คือบอกได้เลยครับว่ากว่าจะกินหมดคอร์สนี่ใช้เวลาร่วมๆ 2ชั่วโมงกว่าๆครับ ค่อยๆเสิร์ฟ เนิบ เนิบ จนแทบจะหลับแล้วครับ) ทันใดนั้น!
อย่างที่สอง บริกรหน้าตาดี ก็ได้ยกจาน ใส่ข้าวโพดมา ตอนแรก เราก็สงสัยว่าเขาจะทำอะไรครับ
เขาก็คีบเอาข้าวโพด ไปใส่ในจานที่ราดซอส และมีสลัด วางไว้ นั่นเอง
พอพิจารณาดูดีดี สรุปมันก็คือ เป็นข้าวโพดยัดไส้กุ้งนั่นเอง! ฮา มีชื่ออย่างหรูว่า Dublin Bay Prawn wrapped with corn, zucchini and tomato salad
รสชาติล้ำลึกมากๆครับ เพราะได้ทั้งรสชาติข้าวโพด และเนื้อกุ้งที่อิ่ม สด หอม หวาน ไปกับซอสสีเหลือง กลิ่นคล้ายมะนาว และทานคู่กับสลัดมะเขือเทศสด อเร็ดอร่อยดีครับ
Dublin Bay Prawn เนี่ยก็เป็นกุ้งแบบหนึ่งครับ มีอีกหลายชื่อเรียกขาน บ้างเรียก Norway Lobster เป็นกุ้งที่นิยมรับประทานกันมากทั่วยุโรปครับ ส่วนซุกินี Zucchini ก็เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากเม็กซิโก เป็นพืชพุ่ม ครับ
เล่าได้ มาสองจาน จากคอร์สชุดใหญ่ ทั้งหมด 8 จาน พื้นที่กระทู้แทบจะไม่พอแล้วครับ ไว้มาต่อนะครับ... อาจต้องใช้เวลาในการเขียนพอควรครับ ฮา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น