ปรกติระยะหลังสองสามปีมานี้ ผมพยายามหลีกเลี่ยงพวกน้ำอัดลม หันมาดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้แทนเพราะรู้ว่าน้ำอัดลมไม่เป็นผลดีกับร่างกาย ทั้งๆที่เมื่อก่อนต้องกินเกือบทุกวัน ยิ่งอากาศร้อนๆ เป๊บซี่หรือโค้กเย็นๆใส่น้ำแข็ง ดื่มแล้วมันสดชื่นได้ใจ ปัจจุบันก็ไม่ได้เลิกขาดซะทีเดียว นานๆทีเวลานึกอยากก็ซื้อกินบ้าง
อันตรายที่น่าสะพรึงกลัวของการดื่มน้ำอัดลม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. อ้วน ความหวานจากน้ำตาลถ้าดื่มมากและบ่อย สะสมพลังงานทำให้อ้วน การดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะต้องวิ่งเป็น
เวลา 15-20 นาที จึงจะใช้พลังงานหมด
2. ฟันผุ เกิดจากกรดในน้ำอัดลมทำลายสารเคลือบฟัน และความหวานที่เป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ
3. ปวดท้อง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่อัดในน้ำอัดลมจะกลายเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นกรด จะทำให้เกิดการอักเสบของ
เยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นโรคกระเพาะเกิดอาการปวดท้อง แก๊สในน้ำอัดลมทำให้ท้องอืด แน่นท้อง และปวดท้อง ซึ่งพบได้บ่อยใน
เด็กและเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่ผู้ปกครองต้องพาเด็กมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง
4. กระตุ้นหัวใจและระบบประสาท ผลจากคาเฟอีนในน้ำอัดลม มีผลกระตุ้นหัวใจทำให้ใจสั่น มือสั่น นอนไม่หลับ
5. กระดูกพรุน คาเฟอีนมีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และ
ผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลง การดื่มน้ำอัดลมทำให้โอกาสของการดื่มนมและรับประทาน
อาหารที่มีประโยชน์ลดลง ส่งผลให้เป็นโรคกระดูกเปราะ กระดูกผุกร่อนได้ง่าย
6. ขาดสารอาหาร เด็กเล็ก ๆ ถ้าดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ ในเวลาที่ใกล้จะถึงมื้ออาหารมื้อหลัก หรือในระหว่างรับประทานอาหาร
จะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารมื้อหลักได้น้อย ได้สารอาหารไม่ครบตามหลักโภชนาการ อาจขาดสารอาหารได้
นอกจากโรคเหล่านี้แล้ว การดื่มน้ำอัดลมก็ทำให้เสี่ยงกับโรคมะเร็งหลากหลายชนิดได้เช่นกัน ลองมาดูถึงความอันตรายของการดื่มน้ำอัดลมที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ จะมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วทำให้เสี่ยงโรคมะเร็งชนิดใดบ้าง
โรคมะเร็งมดลูก
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าน้ำอัดลมประกอบด้วยน้ำตาลจำนวนมาก น้ำ กับก๊าซคาร์บอนิก ซึ่งแค่เพียง 3 ส่วนผสมนี้ก็สามารถนำมาสู่โรคภัยได้แล้ว อย่างที่เราเห็นได้ชัดที่สุดก็คือโรคอ้วน การดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ จะทำให้เราอ้วนขึ้น และความอ้วนนี่เองที่นำพาไปสู่โรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่พบในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเว็บไซต์ Medical Daily ได้นำเสนอผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการอย่าง Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ที่เปิดเผยว่า หญิงในวัยหมดประจำเดือนที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงอย่างเช่นน้ำอัดลมมาก ๆ จะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมะเร็งมดลูกชนิดที่ 1 จากมะเร็งมดลูกที่มีทั้งหมด 2 ชนิด ซึ่งมะเร็งมดลูกชนิดที่ 1 ค่อย ๆ แพร่กระจายไปอย่างช้า ๆ ต่างกับมะเร็งมดลูกชนิดที่ 2 ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าและทำให้เสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่ามะเร็งมดลูกชนิดที่ 1
ทั้งนี้การเกิดโรคมะเร็งมดลูกชนิดที่ 1 นั้นก็มีสาเหตุมาจากปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผลิตออกมามากเกินไป และสาเหตุที่จะทำให้ร่างกายของผู้หญิงผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้นก็เนื่องมากจากความอ้วน นอกจากนี้น้ำหนักที่มากเกินไปก็ยังทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินออกมามากเกินความจำเป็นอีกด้วย
โรคมะเร็งเต้านม
เว็บไซต์ Telegraph ยังได้นำเสนอผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำอัดลมจะทำให้เด็กผู้หญิงมีความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น โดยการดื่มน้ำอัดลมแค่เพียงวันละ 1.5 กระป๋อง ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้แล้ว นอกจากนี้ยังทำให้เด็กผู้หญิงโตเป็นสาวไวเกินควรอีกด้วย
โดยในการศึกษาได้ทำการศึกษากับเด็กอายุระหว่าง 9-14 ปี กว่า 5,583 คน พบว่าเด็กที่ดื่มน้ำอัดลมมากกว่า 1.5 กระป๋องต่อวัน จะมีประจำเดือนเร็วขึ้นราว ๆ 2.7 เดือน เมื่อเทียบกับเด็กที่ดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋องต่อสัปดาห์ นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อน้ำตาลจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคอ้วน และเมื่อเด็กผู้หญิงเป็นโรคอ้วน ร่างกายก็จะหลั่งอินซูลินและฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้นกว่าปกติทำให้เด็กผู้หญิงเป็นประจำเดือนครั้งแรกเร็วขึ้นกว่าเดิม และฮอร์โมนเพศหญิงที่มากเกินไปก็ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นถึง 5%
โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
เว็บไซต์ Men's Journal ยังได้นำเสนอรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ที่ได้เปิดเผยว่าการดื่มน้ำอัดลมโดยเฉพาะในกลุ่มน้ำอัดลมที่มีสีดำนั้นสามารถทำให้ผู้ชายเกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เพราะในน้ำเชื่อมที่ทำให้น้ำอัดลมมีสีดำนั้นจะมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า 4-MEI หรือ 4-methylimidazole ซึ่งมีการศึกษาพบว่าสารชนิดนี้ก่อให้เกิดมะเร็งในหนูที่ใช้ในการทดลองสารดังกล่าว โดยเมื่อนำน้ำอัดลมที่มีสีดำมาวัดปริมาณสารดังกล่าวก็พบว่ามีสารนี้อยู่มากถึง 352.5 มิลลิกรัม ทั้งที่มีกฎหมายเตือนแล้วว่าในน้ำอัดลมจะต้องไม่มีสาร 4-MEI มากกว่า 29 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณที่มากขนาดนี้สามารถทำให้ผู้ชายเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้
โรคมะเร็งตับอ่อน
น้ำอัดลมไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งทั้ง 3 ชนิดที่บอกกันไปก่อนหน้านี้ แต่เว็บไซต์ WebMD ยังได้เปิดเผยการศึกษาของศูนย์การแพทย์ Georgetown ในเมืองวอชิงตันดีซี ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ของสถาบันวิจัยโรคมะเร็งในสหรัฐฯ ว่า การดื่มน้ำอัดลมมากกว่า 2 แก้วต่อสัปดาห์สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนถึง 87% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มน้ำอัดลม
โดยในการศึกษาใช้เวลากว่า 14 ปีในเพื่อติดตามนิสัยในการรับประทานอาหารและสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็ง โดยพบว่ามีมากกว่า 140 เคสของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับอ่อน ที่มีความเกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำอัดลม
ส่วนของขบเคี้ยวนี่ ถ้าคิดจะซื้อกินก็คงไม่พ้นพวกมันฝรั่งอย่าง พริงเกิ้ลหรือเจ้าตลาดอย่าง เลย์ ที่ครองพื้นที่ในเซเว่นไปเกือบครึ่งร้านแล้วมั๊ง แต่ช่วงหลังก็นานๆซื้อกินที ไม่ได้กินบ่อยเหมือนเมื่อก่อน เพราะเริ่มห่วงสุขภาพขึ้นมาเหมือนกัน
ความจริงน่าสยองเกี่ยวกับมันฝรั่งทอด กินวันละห่อเท่ากับดื่มน้ำมันปีละ 5 ลิตร !!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คุณอาจเย้ยหยันข้อแนะนำนี้ แต่คำแนะนำที่ว่ามาพร้อมกับหลักฐานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าอาหารว่างคือข่าวร้าย ไม่ใช่แค่กระตุ้นโรคอ้วนและโรคหัวใจเท่านั้น แต่มันยังโยงไปถึงปัญหาการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งในเด็ก และอาจรวมถึงโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ด้วย
ความเสี่ยงดังกล่าวคงไม่คับขันมาก หากไม่มีสัญญาณอันตรายจากพฤติกรรมชอบขบเคี้ยวมันฝรั่งทอดมากขึ้นในอังกฤษ สัปดาห์ที่แล้วยูกอฟโพลพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กอังกฤษกินมันฝรั่งทอดทุกวัน อีก 2 ใน 3 ของเด็กอังกฤษกินสัปดาห์ละหลายครั้ง
ข้อเท็จจริงระบุว่า ชาวอังกฤษสวาปามมันฝรั่งทอดปีละ 6,000,0000,000 ห่อ ซึ่งเท่ากับการรับประทานมันฝรั่งทอด 1 ตันทุกๆ 3 นาที หรือเกือบๆ คนละ 100 ห่อ การทานมันฝรั่งทอดวันละห่อแบบที่เด็กอังกฤษมากมายเป็นอยู่ อาจเทียบได้กับการดื่มกินน้ำมันปรุงอาหารเกือบ 5 ลิตรต่อปี นั่นยังไม่รวมถึงไขมัน, น้ำตาลและเกลือที่บรรจุอยู่ในแต่ละห่อด้วย
ทั้งหมดนี้อาจดูไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในห่อขนมหน้าตาบริสุทธิ์ชวนหยิบ ที่อัดแน่นอยู่บนชั้นวางของร้านค้าหัวมุมถนน, ซูเปอร์มาร์เก็ตและปั๊มน้ำมัน แต่โลโก้ตลกและสีสันสดใสแปะหน้าผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการผลิตมาอย่างสมบูรณ์แบบนั้น ช่างเย้ายวนตุ่มรับรสของเราให้เสพติด
ข้อมูลข้างต้นตรงกับคำกล่าวของไมเคิล มอส ผู้เขียนหนังสือที่เพิ่งตีพิมพ์ใหม่ ชื่อ "เกลือ, น้ำมัน, ไขมัน : วิธีที่บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ล่อเหยื่อเรา" การสำรวจของมอสเปิดเผยให้เห็นว่า การค้นคว้าวิจัยยาวนานหลายทศวรรษของบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ ได้เปลี่ยนรูปมันฝรั่งทอดจากแค่เป็นอาหารว่างล่อใจคนวัย 70 มาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อเจาะจงเล่นงานศูนย์รวมความปรารถนาในสมองของเราด้วยเคมีที่ใช้
มอสอธิบายว่า เมื่อปากของเราขบเคี้ยวมันฝรั่งทอด รสเค็มของเกลือจะกระทบเราเกือบทันที นั่นคือผลกระทบที่อุตสาหกรรมเกลือเรียกว่า "การระเบิดของรสชาติ" มันฝรั่งทอดยุคใหม่ยังอุดมด้วยไขมันที่มอบสิ่งที่อุตสาหกรรมนี้เรียกว่า "ความรู้สึกในปาก" มันทำให้ประสบการณ์การกินมันฝรั่งทอดยุคสมัยใหม่คล้ายคลึงกับความรู้สึกพึงพอใจเมื่อคุณได้รับยามกัดชีสนุ่มหนึบ
เรารู้สึกถึงไขมันนี้ผ่านประสาทที่เรียกว่า ไทรเจมินัล ที่อยู่ด้านบนและหลังปากของเรา มันส่งข้อมูลการรู้สัมผัสไปยังสมอง ยิ่งคุณรู้สึกในปากมากเท่าไร คุณก็ยิ่งปรารถนามันมากขึ้นเท่านั้น นอกเหนือจากเกลือและไขมัน ยังมีน้ำตาลซึ่งมีในแป้งมันฝรั่งอยู่แล้วโดยธรรมชาติ มอสกล่าว ว่า นี่คือสามรสชาติที่เติมเต็มสิ่งที่สัญชาตญาณในสมองของเราปรารถนาโดยธรรมชาติ แต่อาวุธลับสุดท้ายของมันฝรั่งทอดปัจจุบันนี้คือความกรุบกรอบที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว
"การวิจัยพบว่า ยิ่งมันฝรั่งทอดมีเสียงกรุบกรอบ เมื่อถูกขบกัดมากเท่าไร คนก็ยิ่งชอบมันมากขึ้นเท่านั้น" มอสกล่าวพวกมันถูกออกแบบมาให้กินแล้วติด นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตของกินเล่นยักษ์ใหญ่พากันแสวงหาความกรุบกรอบยั่วยวนใจที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาค้นพบหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น "จุดเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์" (ดูเหมือนว่าเราจะรักมันฝรั่งทอดที่ปลดปล่อยแรงดันทุก 4 ปอนด์ต่อ 1 ตารางนิ้ว)
กลเม็ดอีกอย่างคือ การติดฉลากผลิตภัณฑ์ว่าเป็น "อาหารประณีต" อย่างกับว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้ไม่ได้แย่ต่อสุขภาพหากเรากินมันมากไป เหล่านี้ช่วยอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกเราหลายคนจึง "รัก" มันฝรั่งทอด แต่รสจัดๆ ของไขมัน น้ำตาล และเกลือที่ยั่วยวนเหลือเกินนี้ก็อาจมีราคาแพงต่อสุขภาพของเราหากรับประทานมากเกินไป งานวิจัยต่างพิสูจน์แล้วว่าส่วนประกอบอาหารพวกนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดันเลือดสูง เบาหวานชนิด 2 และโรคเส้นเลือดอุดตัน
สำหรับเด็ก การกินมากไปสามารถทำให้พวกเขามีสุขภาพย่ำแย่ไปชั่วชีวิต ยิ่งกว่านั้นปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังเปิดโปงภัยคุกคามซ่อนเร้นเพิ่มเติมของมันฝรั่งทอดด้วย ตอนนี้มันฝรั่งทอดคือตัวการใหญ่ตัวการเดียวของโรคอ้วนระบาดในสหรัฐ จากงานวิจัยของ ดร.ดาริอุช โมซัฟฟาเรียน นักวิจัยอาหารและหทัยแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ เขาบอกว่า "อาหารแต่ละอย่างนั้นไม่เท่ากัน และการกินแบบพอประมาณก็ยังไม่พอ"
ในงานวิจัยของเขา มันฝรั่งที่เป็นอาหารทุกชนิดโดดเด่นในฐานะตัวเพิ่มน้ำหนัก พวกมันไม่ใช่แค่มีไขมันสูงเท่านั้น แต่มันยังทำให้คุณมีความต้องการทางร่างกายอยากกินมันมากขึ้น
ดร.โมซัฟฟาเรียน แห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า การวิจัยบ่งชี้ว่าระดับแป้งและคาร์โบไฮเดรตปริมาณสูงในห่อมันฝรั่งทอดขนาดใหญ่ที่วางขายทั่วไปทุกวันนี้ สามารถกระทุ้งระดับกลูโคสและอินซูลินที่บิดเบี้ยวในกระแสเลือดของเราได้
ความไม่สมดุลนี้ "ทำให้เกิดความรู้สึกที่ยังไม่อิ่ม เพิ่มความหิวและทำให้เรากินอาหารต่อมื้อปริมาณมากขึ้น" ผลลัพธ์ก็คือ มันเย้ายวนให้เราทานมันฝรั่งทอดเพิ่มขึ้นอีก ดร.โมซัฟฟาเรียนกล่าว
ก็คงต้องขอบคุณไอ้หน้ายาว ที่ออกมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้เห็นโทษของน้ำอัดลมกับมันฝรั่ง เห็นหน้ารองเท้าแตะยาวๆของมันแล้ว แทบไม่ต้องไปนึกถึงผลเสียของการบริโภคสินค้าประเภทนี้ให้เสียเวลา
แค่เห็นหน้าก็อยากจะอ้วกแล้ว
ไม่กินเลย์ ไม่กินเป๊บซี่ ชีวิตจะดีที่สุด
อันตรายที่น่าสะพรึงกลัวของการดื่มน้ำอัดลม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนของขบเคี้ยวนี่ ถ้าคิดจะซื้อกินก็คงไม่พ้นพวกมันฝรั่งอย่าง พริงเกิ้ลหรือเจ้าตลาดอย่าง เลย์ ที่ครองพื้นที่ในเซเว่นไปเกือบครึ่งร้านแล้วมั๊ง แต่ช่วงหลังก็นานๆซื้อกินที ไม่ได้กินบ่อยเหมือนเมื่อก่อน เพราะเริ่มห่วงสุขภาพขึ้นมาเหมือนกัน
ความจริงน่าสยองเกี่ยวกับมันฝรั่งทอด กินวันละห่อเท่ากับดื่มน้ำมันปีละ 5 ลิตร !!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก็คงต้องขอบคุณไอ้หน้ายาว ที่ออกมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้เห็นโทษของน้ำอัดลมกับมันฝรั่ง เห็นหน้ารองเท้าแตะยาวๆของมันแล้ว แทบไม่ต้องไปนึกถึงผลเสียของการบริโภคสินค้าประเภทนี้ให้เสียเวลา
แค่เห็นหน้าก็อยากจะอ้วกแล้ว