สวัสดีค่ะ พอดีดิฉันกำลังอยู่ในช่วงทดลองงานได้ประมาณ 1 เดือน
ลาออกจากบริษัทเดิม เพราะเหตุผลที่ว่า อยากออกจากคอมฟอร์ตโซน หาอะไรใหม่ ๆ ทำ
ดิฉันอายุงานไม่มากค่ะ หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ได้งานทำที่แรกเลย
ทำงานที่แรกมาประมาณเกือบสามปีเลยตัดสินใจลาออกมา เพราะเหตุผลข้างต้นค่ะ
บริษัทที่เสนอตำแหน่งงานให้ดิฉัน และค่อนข้างให้เงินเดือนสูงกว่าที่เก่าของดิฉันประมาณ 30% เป็นตำแหน่งงานค่อนข้างน่าสนใจมาก ๆ ค่ะ เป็นสายนักพัฒนาธุรกิจ ซึ่งบริษัทใหม่นี้เป็นบริษัทที่ถือว่าใหม่มาก ๆ ค่ะ ยังไม่มีการเปิดตัวเสียด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ดิฉันตัดสินใจยอมรับงาน เพราะถือเป็น Start-Up company จริง ๆ มีทีมทั้งหมดประมาณไม่ถึง 10 คนค่ะ ทั้งออฟฟิศตอนนี้ และนี่คือการเปลี่ยนงานครั้งแรกของดิฉัน
ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ ปัญหาที่ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากตัดสินใจลาออกมาคือ เจ้านายที่เป็นเจ้าของธุรกิจค่ะ
ในช่วงสัปดาห์แรกของการเริ่มงาน เวลาหลาย ๆ อย่างสูญเสียไปกับเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับงาน อาทิ ออฟฟิศยังไม่เสถียร มีการย้ายของ ตกแต่งภายใน พัสดุสำนักงานไม่พร้อม ปัญหาระบบอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ซึ่งดิฉันเข้าใจมาก ๆ ค่ะจุดนี้ เพราะเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในระหว่างนี้ไม่มีการเทรนนิ่งหรือแนะนำอะไรใด ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่บริษัทกำลังทำแบบจริง ๆ จัง ๆ เพียงแค่เรียกเข้าห้องประชุมและเล่าให้ฟังกว้าง ๆ เกี่ยวกับ Industry และ Platform ที่กำลังพัฒนาอยู่ แค่ครั้งเดียว จากนั้นเพียงขอให้ดิฉัน ทำการศึกษาด้วยตัวเอง ให้เปิดเว็บคู่แข่ง และให้พยายามปะติดปะต่อภาพเอาเอง คำพูดที่เจ้านายมักจะย้ำเสมอ ๆ คือ "อยากให้ทำความเข้าใจธุรกิจและ Industry ให้เร็วที่สุดในระหว่างช่วงโปร หลังจากนั้นจะได้ช่วยกันพัฒนาธุรกิจ"
พอเวลาผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์ ดิฉันถูกเรียกเข้าห้องประชุมแบบไพรเวท และถามว่า หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง และของานที่บอกให้ดิฉันไปทำมา ซึ่งในเวลานั้นดิฉันเลยงงมากค่ะว่านายสั่งให้ทำงานตอนไหน? เลยถามไปว่า ใช่ที่เกี่ยวกับให้ดูเว็บคู่แข่งทำการศึกษา Industry หรือเปล่า? นายก็บอกว่าใช่ .. ซึ่งเวลานั้น ดิฉันเลยพยายามรวบรวมไฟล์ทุกอย่างที่ดิฉันจดบันทึกเอาไว้มาเรียบเรียง เตรียมอธิบายและนำเสนอค่ะ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เค้าเดินเข้ามาและบอกเพียงว่า "เอ้า พูดเลย" ซึ่งในเวลานั้นดิฉันจึงเริ่มต้นอธิบายถึง Industry, แคมเปญการทำการตลาดต่าง ๆ ของคู่แข่งเด่น ๆ การทำแบรนด์ดิ่ง วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย และโอกาส ฯลฯ ดิฉันถูกให้ทำงานนี้โดยไม่มี Direction ใด ๆ ที่ชัดเจนเลย และไม่ได้รับโจทย์จากเจ้านายที่เคลียร์ เพราะสิ่งที่เค้าบอกดิฉันเพียงแค่ ลองศึกษาทุกอย่างด้วยตัวเอง .. สุดท้าย วันนั้นเจอคอมเม้นต์เยอะมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
1) ดิฉันพูดซ้ำและย้ำในประเด็นเดิมหลายครั้ง
2) พูดจาเข้าใจยาก
3) หัดไปเรียบเรียงความคิดมาใหม่ ความคิดไม่ Organized
4) อย่าทำตัวเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต (introverts) เราเป็นเพียงเด็กต้องรู้จักเข้าหาคนมีประสบการณ์และพี่ ๆ ในออฟฟิศ
ยอมรับค่ะว่า สัปดาห์แรกเราอาจทำตัว Passive มากไปหน่อย เลยถูก Feedback มาเช่นนี้
และเริ่มจับแนวทางได้ค่ะว่า สิ่งที่นายต้องการคืออะไร เริ่มพยายามจับ Direction แม้ว่าจะถามตรง ๆ แต่เจ้านายก็จะย้ำเสมอ ๆ ว่า
อยากให้คุณ "รู้กว้าง รู้สึก รู้ทุกอย่างในธุรกิจ" ให้ดีที่สุดในฐานะนักพัฒนาธุรกิจ
หลังจากนั้นสัปดาห์ที่ 2 เจ้านายเค้าเลยให้ดิฉัน ช่วยทำโปรเจกค์ 2-3 อย่างที่ต้องโคงานกันกับฝ่ายต่าง ๆ
ซึ่งสนุกดีค่ะ ได้คิดเยอะมาก ๆ ทำรีเสิร์ช และเอามาใช้ในการวางแผน ฝึกสมองมากกว่าที่เก่า
โดยคนบรีฟงานจะเป็นหัวหน้าของฝ่ายต่าง ๆ อาทิ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายพัฒนาระบบ ซึ่งดิฉันเข้าใจมากว่าต้องทำอะไร และไม่ค่อยมีปัญหา
แต่มีโปรเจกหนึ่งซึ่งเราได้รับมอบหมายให้ทำ ทีนี้คนมอบหมายคือ เจ้านายที่เป็นเจ้าของบริษัทโดยตรงค่ะ เค้าถามเราแค่ว่า ก่อนเปิดตัว ควรจะมีผลิตภัณฑ์ออนไลน์ขายอยู่บนหน้าเว็บสักเท่าไร? เค้าบอกว่าเค้ามี "ตัวเลข" จำนวนอยู่ในหัวแล้ว แต่แค่อยากฟังจากคุณว่า คุณมีตัวเลขเท่าไร และมีเหตุผลอะไรมาซับพอร์ตตรงนี้ ดิฉันจึงขอข้อมูลที่ลึกลงไปกว่านั้น แต่สิ่งที่เค้าบอกกลับมา ก็คือแค่ให้ไปคิดเรื่องตัวเลขมาก่อน ไม่ต้องทำอะไร มีเวลาให้ 1 วันทำงาน
จากนั้น ดิฉันจึงพิจารณาค้นหางานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่า ควรจะ Launch ผลิตภัณฑ์จำนวนเท่าไรดีในวันเปิดตัวธุรกิจ? แต่ส่วนใหญ่หาไม่มีบอกแน่นอนค่ะ ดิฉันเลยพยายามตั้งสมมติฐานว่า 1) ตัวเลขจะมีผลทางจิตวิทยาและ Perception ของลูกค้าไหม? ถ้ามีน้อยไปอาจไม่น่าเชื่อถือ 2) ตัวเลขวันเปิดตัวขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจไหม? จากนั้นก็ลองปรึกษาเพื่อน ๆ และเพื่อนร่วมงานค่ะว่าจะทำยังไงดี ควรเป็นตัวเลขเท่าไร และด้วยความกระชั้นชิดของเวลา ที่ต้องไปคุยกับเจ้านายแล้ว ดิฉันกับเพื่อนร่วมงานเลยลงมติกันว่า "ตัวเลขมีผลต่อ Perception ลูกค้าแน่ ๆ ถ้ามีน้อยไปก็ไม่ดี หมายความว่า ยิ่งมีผลิตภัณฑ์มากไว้รองรับ ยิ่งดีตามไปด้วย" แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ "บริษัทเรามีความสามารถ (capacity) มากเพียงพอหรือไม่ในการทำตรงนี้"
พอเวลานำเสนอนาย เราไม่ได้มาพร้อมกับ "ตัวเลข" นั้นค่ะ แต่เราพยายามนำเอาสิ่งที่เราลงมติกัน ไปเล่าให้นายฟัง และพยายามบอกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี แต่ก็ต้องมาดูว่า เราสามารถทำได้สูงสุดเท่าไร กับทรัพยากรขนาดนี้... พอจบปุ๊ป เจอตำหนิเลยค่ะ ต้องบอกว่าเจอตำหนิจริง ๆ เพราะว่า เค้าบอกว่า ไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการฟัง เค้าต้องการฟังแค่ตัวเลข ว่าควร Launch เท่าไรกันแน่ ให้เวลาตั้ง 1 วันแค่นี้ ทำไมยังทำไม่ได้! ตอนนั้นก็รู้สึกแย่ค่ะ เพราะเราไม่รู้จริง ๆ เค้าไม่ให้ข้อมูลอะไรมาเลย เราก็พยายามที่สุดแล้วค่ะ หลังจากนั้นเค้าเลยให้งานดิฉันเพิ่ม ไปทำ Work Flow ของโปรเจกนี้ให้เสร็จทุกอย่าง และให้ดิฉันเป็นคนรับผิดชอบงานนี้ทั้งหมด ว่าจะเริ่มทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร ทำจำนวนเท่าไร วัดผลอย่างไรบ้าง
หลังจากนั้น ดิฉันเรียกทีมของดิฉันมานั่งคุยกัน จนได้โฟลว์งานคร่าว ๆ เสร็จสมบูรณ์ เลยดึงโฟลว์งานไปปรึกษาเจ้านายค่ะ เจ้านายบอกว่าทำได้ดี แต่ยังไม่ดีพอ ต้องดีกว่านี้ ต้องละเอียดกว่านี้ และต้องตอบให้ได้ว่าควรเอาตัวเลขเท่าไร เราเลยช่วยกันทำวิจัยภายในค่ะ ดิฉันกับเพื่อนช่วยกันค้นหาว่า ทรัพยากร 1 คน ถ้าทำงานตามแผน Workflow นี้จนเสร็จ ต้องใช้ระเวลาเท่าไรต่อชิ้นงาน จนได้ตัวเลขออกมาค่ะ และนำเสนอนายไป นายตกใจมาก เจอตำหนิเละค่ะว่าทำไมตัวเลขเป็นแบบนี้ ทำไม 1 คน ใช้เวลาทำชิ้นงานชิ้นเดียวแค่นี้ต้องใช้เวลานานขนาดนั้น ถ้าเป็นเค้าเค้าบอกว่าเค้าใช้เวลาแปปเดียวไม่ถึงนาที เราเลยตอบไปว่า เราเก็บข้อมูลและทดลองเพียง 30 ครั้ง เนื่องจากมีระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน เลยได้ค่าเฉลี่ยออกมาขนาดนี้ อย่างไรก็ตามเราจะพยายามพัฒนาการทดลองใหม่ และพยายามควบคุมไม่ให้การทดลองมันคลาดเคลื่อน เพิ่มจำนวนการทดลองให้ได้มากที่สุด จนสุดท้าย ก็ได้ตัวเลขใกล้เคียงตัวเลขเดิมค่ะ ลดลงมานิดหน่อย แต่เลยปรึกษากันว่า ถ้านำเสนอตัวเลขนี้ไปเลยคงเจอตำหนิอีกแน่ ๆ เราเลยพยายามแบ่ง Scenario การทำงาน/ผลิต ออกเป็นหลาย ๆ แบบ แต่ละแบบก็จะมีตัวเลขที่แตกต่างกันไป ปรากฎว่าพอนำเสนอไป เจ้านายชอบค่ะ แต่เลือก Scenario การทำงานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันเป็นแบบที่ระยะเวลาการผลิต/ทำงาน มันน้อยที่สุด หมายความว่า มันใกล้เคียงกับตัวเลขที่เค้าชอบนั่นเอง คือ คนหนึ่งคนใช้ระยะเวลาในการผลิตงานต่อชิ้น เพียงแค่ไม่กี่นาที ... เราอธิบายไปแล้วค่ะว่า มันคงทำได้ยากมาก ๆ ... เจ้านายตอบกลับมาค่ะว่า "อย่าคิดว่ายาก ถ้ายังไม่ได้ลองทำ"
ดิฉันในฐานะคนคิดระบบและวางแผน ส่วนเพื่อนร่วมงานของดิฉันต้องมาช่วยนั่งผลิตและทำงานชิ้นนั้นจริง ๆ ดิฉันสงสารเพื่อนมากค่ะ เพราะมันแทบจะเป็น Ideal number หรือ Maximum เลย แต่เพื่อน ๆ ไม่ค่อยพูดอะไรในช่วงการประชุม เพียงแต่บอกกลับดิฉันนอกรอบค่ะว่า ขอบคุณที่ช่วยอธิบายเจ้านายมาก ๆ ขอบคุณที่พยายามช่วยพวกเรา แม้ว่าพวกเราจะทราบว่า มันไม่เป็นผล แต่ดิฉันในฐานะที่เคยทำงานในระดับ Officer เข้าใจดีค่ะว่า คนทำงาน ก็คือคน ๆ หนึ่ง ไม่ใช่เครื่องจักรที่จะผลิตชิ้นงานได้ทุกนาที พักแค่ตอนเที่ยง ... จบไปกับสัปดาห์ที่ 2 ค่ะ แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะเมื่อดิฉันเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง เลยพยายามจะทำเต็มที่เพื่อจะบอกว่า ตัวเลขนั้นมันโหด สั. รัสเซีย จริง ๆ ค่ะ
หลังจากนั้น สัปดาห์ที่ 3 ต่อมาค่ะ หลังจากที่ได้ตัวเลข ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตชิ้นงาน/ทำงานจนเสร็จ ต่อชิ้น ต่อคน แล้ว เราก็ถามเจ้านายไปตรง ๆ ว่า ตกลง "ตัวเลขในหัว" ที่อยากจะให้มีผลิตภัณฑ์ในวันเปิดตัว ควรจะวางไว้ที่เท่าไรดี เพราะดิฉันจะได้คำนวณตามหลักคณิตศาสตร์ค่ะว่า ถ้า Target หารด้วย ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตชิ้นงาน/ทำงานจนเสร็จ ต่อชิ้น ต่อคน มันจะเป็นไปได้ไหม ... ทีนี้ เจ้านายบอกตัวเลขออกมาแล้วค่ะ แต่เป็นตัวเลข 4 หลัก เราถามว่าทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้.. เค้าบอกว่า "เอ้า.. จริง ๆ ให้คุณหามานะว่าจะเปิดตัวด้วยตัวเลขเท่าไรดี นี่ก็บอกคุณแล้วหนิ ไปทำมาแล้วกัน" .. ทีนี้เราเลยเอาไฟล์ Excel มาคำนวณให้ดูตรง ๆ กันในที่ประชุมเลยค่ะว่า ตัวเลข Target 4 หลักนั้น จะทำได้หรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัย (1) ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตชิ้นงาน/ทำงานจนเสร็จ ต่อชิ้น ต่อคน (2) จำนวนคน (3) กรอบระยะเวลาที่ให้ดำเนินการ พอคำนวณออกมาค่ะ ปรากฎว่า ทีมของดิฉันต้องทำงานเกินค่า Ideal Capacity (ค่าหมายเลข 1) เกินไปกว่า 100% ดิฉันเลยบอกตรง ๆ ค่ะว่า ทำไม่ได้แน่ ๆ เพราะนอกจากค่านั้นจะเป็นค่า Maximum หรือ Ideal แล้ว พอคำนวณออกมามันแทบจะเกินไปมาก ไม่มีทางที่จะทำได้แน่ ๆ ค่ะ นอกจาก
- เพิ่มจำนวนคน
- เพิ่มระยะเวลาในการทำงาน
- ลดจำนวน Target
เจ้านายดิฉันบอกว่า ขอความร่วมมือให้ทำงานหนักเพื่อให้บริษัทประสบความสำเร็จแค่นี้ทำไม่ได้เหรอ? เพียงแค่ทำงานเพิ่ม 5-6 ชั่วโมง ต่อวัน หรือมาทำงานวันหยุด ทำไม่ได้เหรอ และในเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงเนี่ย ก็เป็นของเค้า เค้าจ้างมาให้ทำงาน พอดิฉันได้ฟังเช่นนี้ ก็ได้เข้าใจทัศนคติของเจ้านายแล้วค่ะว่าเค้าเป็นอย่างไร และตอนนั้นพวกเราเริ่มทราบดีค่ะว่า คงจะไม่มีทางลด Target แน่ ๆ จำนวนคนก็คงไม่เพิ่มแน่ ๆ ส่วนระยะเวลานี่เพิ่มไม่ได้อยู่แล้ว เราคงต้องอดทนและกัดฟันกันทำค่ะ ถึงดิฉันเป็นแค่คนวางแผน แต่ดิฉันก็คงต้องมาช่วยเพื่อนร่วมงานทำตรงนี้
อยู่ช่วงทดลองงาน แต่กำลังตัดสินใจลาออก
ลาออกจากบริษัทเดิม เพราะเหตุผลที่ว่า อยากออกจากคอมฟอร์ตโซน หาอะไรใหม่ ๆ ทำ
ดิฉันอายุงานไม่มากค่ะ หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ได้งานทำที่แรกเลย
ทำงานที่แรกมาประมาณเกือบสามปีเลยตัดสินใจลาออกมา เพราะเหตุผลข้างต้นค่ะ
บริษัทที่เสนอตำแหน่งงานให้ดิฉัน และค่อนข้างให้เงินเดือนสูงกว่าที่เก่าของดิฉันประมาณ 30% เป็นตำแหน่งงานค่อนข้างน่าสนใจมาก ๆ ค่ะ เป็นสายนักพัฒนาธุรกิจ ซึ่งบริษัทใหม่นี้เป็นบริษัทที่ถือว่าใหม่มาก ๆ ค่ะ ยังไม่มีการเปิดตัวเสียด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ดิฉันตัดสินใจยอมรับงาน เพราะถือเป็น Start-Up company จริง ๆ มีทีมทั้งหมดประมาณไม่ถึง 10 คนค่ะ ทั้งออฟฟิศตอนนี้ และนี่คือการเปลี่ยนงานครั้งแรกของดิฉัน
ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ ปัญหาที่ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากตัดสินใจลาออกมาคือ เจ้านายที่เป็นเจ้าของธุรกิจค่ะ
ในช่วงสัปดาห์แรกของการเริ่มงาน เวลาหลาย ๆ อย่างสูญเสียไปกับเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับงาน อาทิ ออฟฟิศยังไม่เสถียร มีการย้ายของ ตกแต่งภายใน พัสดุสำนักงานไม่พร้อม ปัญหาระบบอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ซึ่งดิฉันเข้าใจมาก ๆ ค่ะจุดนี้ เพราะเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในระหว่างนี้ไม่มีการเทรนนิ่งหรือแนะนำอะไรใด ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่บริษัทกำลังทำแบบจริง ๆ จัง ๆ เพียงแค่เรียกเข้าห้องประชุมและเล่าให้ฟังกว้าง ๆ เกี่ยวกับ Industry และ Platform ที่กำลังพัฒนาอยู่ แค่ครั้งเดียว จากนั้นเพียงขอให้ดิฉัน ทำการศึกษาด้วยตัวเอง ให้เปิดเว็บคู่แข่ง และให้พยายามปะติดปะต่อภาพเอาเอง คำพูดที่เจ้านายมักจะย้ำเสมอ ๆ คือ "อยากให้ทำความเข้าใจธุรกิจและ Industry ให้เร็วที่สุดในระหว่างช่วงโปร หลังจากนั้นจะได้ช่วยกันพัฒนาธุรกิจ"
พอเวลาผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์ ดิฉันถูกเรียกเข้าห้องประชุมแบบไพรเวท และถามว่า หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง และของานที่บอกให้ดิฉันไปทำมา ซึ่งในเวลานั้นดิฉันเลยงงมากค่ะว่านายสั่งให้ทำงานตอนไหน? เลยถามไปว่า ใช่ที่เกี่ยวกับให้ดูเว็บคู่แข่งทำการศึกษา Industry หรือเปล่า? นายก็บอกว่าใช่ .. ซึ่งเวลานั้น ดิฉันเลยพยายามรวบรวมไฟล์ทุกอย่างที่ดิฉันจดบันทึกเอาไว้มาเรียบเรียง เตรียมอธิบายและนำเสนอค่ะ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ เค้าเดินเข้ามาและบอกเพียงว่า "เอ้า พูดเลย" ซึ่งในเวลานั้นดิฉันจึงเริ่มต้นอธิบายถึง Industry, แคมเปญการทำการตลาดต่าง ๆ ของคู่แข่งเด่น ๆ การทำแบรนด์ดิ่ง วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย และโอกาส ฯลฯ ดิฉันถูกให้ทำงานนี้โดยไม่มี Direction ใด ๆ ที่ชัดเจนเลย และไม่ได้รับโจทย์จากเจ้านายที่เคลียร์ เพราะสิ่งที่เค้าบอกดิฉันเพียงแค่ ลองศึกษาทุกอย่างด้วยตัวเอง .. สุดท้าย วันนั้นเจอคอมเม้นต์เยอะมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
1) ดิฉันพูดซ้ำและย้ำในประเด็นเดิมหลายครั้ง
2) พูดจาเข้าใจยาก
3) หัดไปเรียบเรียงความคิดมาใหม่ ความคิดไม่ Organized
4) อย่าทำตัวเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต (introverts) เราเป็นเพียงเด็กต้องรู้จักเข้าหาคนมีประสบการณ์และพี่ ๆ ในออฟฟิศ
ยอมรับค่ะว่า สัปดาห์แรกเราอาจทำตัว Passive มากไปหน่อย เลยถูก Feedback มาเช่นนี้
และเริ่มจับแนวทางได้ค่ะว่า สิ่งที่นายต้องการคืออะไร เริ่มพยายามจับ Direction แม้ว่าจะถามตรง ๆ แต่เจ้านายก็จะย้ำเสมอ ๆ ว่า
อยากให้คุณ "รู้กว้าง รู้สึก รู้ทุกอย่างในธุรกิจ" ให้ดีที่สุดในฐานะนักพัฒนาธุรกิจ
หลังจากนั้นสัปดาห์ที่ 2 เจ้านายเค้าเลยให้ดิฉัน ช่วยทำโปรเจกค์ 2-3 อย่างที่ต้องโคงานกันกับฝ่ายต่าง ๆ
ซึ่งสนุกดีค่ะ ได้คิดเยอะมาก ๆ ทำรีเสิร์ช และเอามาใช้ในการวางแผน ฝึกสมองมากกว่าที่เก่า
โดยคนบรีฟงานจะเป็นหัวหน้าของฝ่ายต่าง ๆ อาทิ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายพัฒนาระบบ ซึ่งดิฉันเข้าใจมากว่าต้องทำอะไร และไม่ค่อยมีปัญหา
แต่มีโปรเจกหนึ่งซึ่งเราได้รับมอบหมายให้ทำ ทีนี้คนมอบหมายคือ เจ้านายที่เป็นเจ้าของบริษัทโดยตรงค่ะ เค้าถามเราแค่ว่า ก่อนเปิดตัว ควรจะมีผลิตภัณฑ์ออนไลน์ขายอยู่บนหน้าเว็บสักเท่าไร? เค้าบอกว่าเค้ามี "ตัวเลข" จำนวนอยู่ในหัวแล้ว แต่แค่อยากฟังจากคุณว่า คุณมีตัวเลขเท่าไร และมีเหตุผลอะไรมาซับพอร์ตตรงนี้ ดิฉันจึงขอข้อมูลที่ลึกลงไปกว่านั้น แต่สิ่งที่เค้าบอกกลับมา ก็คือแค่ให้ไปคิดเรื่องตัวเลขมาก่อน ไม่ต้องทำอะไร มีเวลาให้ 1 วันทำงาน
จากนั้น ดิฉันจึงพิจารณาค้นหางานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่า ควรจะ Launch ผลิตภัณฑ์จำนวนเท่าไรดีในวันเปิดตัวธุรกิจ? แต่ส่วนใหญ่หาไม่มีบอกแน่นอนค่ะ ดิฉันเลยพยายามตั้งสมมติฐานว่า 1) ตัวเลขจะมีผลทางจิตวิทยาและ Perception ของลูกค้าไหม? ถ้ามีน้อยไปอาจไม่น่าเชื่อถือ 2) ตัวเลขวันเปิดตัวขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจไหม? จากนั้นก็ลองปรึกษาเพื่อน ๆ และเพื่อนร่วมงานค่ะว่าจะทำยังไงดี ควรเป็นตัวเลขเท่าไร และด้วยความกระชั้นชิดของเวลา ที่ต้องไปคุยกับเจ้านายแล้ว ดิฉันกับเพื่อนร่วมงานเลยลงมติกันว่า "ตัวเลขมีผลต่อ Perception ลูกค้าแน่ ๆ ถ้ามีน้อยไปก็ไม่ดี หมายความว่า ยิ่งมีผลิตภัณฑ์มากไว้รองรับ ยิ่งดีตามไปด้วย" แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ "บริษัทเรามีความสามารถ (capacity) มากเพียงพอหรือไม่ในการทำตรงนี้"
พอเวลานำเสนอนาย เราไม่ได้มาพร้อมกับ "ตัวเลข" นั้นค่ะ แต่เราพยายามนำเอาสิ่งที่เราลงมติกัน ไปเล่าให้นายฟัง และพยายามบอกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี แต่ก็ต้องมาดูว่า เราสามารถทำได้สูงสุดเท่าไร กับทรัพยากรขนาดนี้... พอจบปุ๊ป เจอตำหนิเลยค่ะ ต้องบอกว่าเจอตำหนิจริง ๆ เพราะว่า เค้าบอกว่า ไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการฟัง เค้าต้องการฟังแค่ตัวเลข ว่าควร Launch เท่าไรกันแน่ ให้เวลาตั้ง 1 วันแค่นี้ ทำไมยังทำไม่ได้! ตอนนั้นก็รู้สึกแย่ค่ะ เพราะเราไม่รู้จริง ๆ เค้าไม่ให้ข้อมูลอะไรมาเลย เราก็พยายามที่สุดแล้วค่ะ หลังจากนั้นเค้าเลยให้งานดิฉันเพิ่ม ไปทำ Work Flow ของโปรเจกนี้ให้เสร็จทุกอย่าง และให้ดิฉันเป็นคนรับผิดชอบงานนี้ทั้งหมด ว่าจะเริ่มทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร ทำจำนวนเท่าไร วัดผลอย่างไรบ้าง
หลังจากนั้น ดิฉันเรียกทีมของดิฉันมานั่งคุยกัน จนได้โฟลว์งานคร่าว ๆ เสร็จสมบูรณ์ เลยดึงโฟลว์งานไปปรึกษาเจ้านายค่ะ เจ้านายบอกว่าทำได้ดี แต่ยังไม่ดีพอ ต้องดีกว่านี้ ต้องละเอียดกว่านี้ และต้องตอบให้ได้ว่าควรเอาตัวเลขเท่าไร เราเลยช่วยกันทำวิจัยภายในค่ะ ดิฉันกับเพื่อนช่วยกันค้นหาว่า ทรัพยากร 1 คน ถ้าทำงานตามแผน Workflow นี้จนเสร็จ ต้องใช้ระเวลาเท่าไรต่อชิ้นงาน จนได้ตัวเลขออกมาค่ะ และนำเสนอนายไป นายตกใจมาก เจอตำหนิเละค่ะว่าทำไมตัวเลขเป็นแบบนี้ ทำไม 1 คน ใช้เวลาทำชิ้นงานชิ้นเดียวแค่นี้ต้องใช้เวลานานขนาดนั้น ถ้าเป็นเค้าเค้าบอกว่าเค้าใช้เวลาแปปเดียวไม่ถึงนาที เราเลยตอบไปว่า เราเก็บข้อมูลและทดลองเพียง 30 ครั้ง เนื่องจากมีระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน เลยได้ค่าเฉลี่ยออกมาขนาดนี้ อย่างไรก็ตามเราจะพยายามพัฒนาการทดลองใหม่ และพยายามควบคุมไม่ให้การทดลองมันคลาดเคลื่อน เพิ่มจำนวนการทดลองให้ได้มากที่สุด จนสุดท้าย ก็ได้ตัวเลขใกล้เคียงตัวเลขเดิมค่ะ ลดลงมานิดหน่อย แต่เลยปรึกษากันว่า ถ้านำเสนอตัวเลขนี้ไปเลยคงเจอตำหนิอีกแน่ ๆ เราเลยพยายามแบ่ง Scenario การทำงาน/ผลิต ออกเป็นหลาย ๆ แบบ แต่ละแบบก็จะมีตัวเลขที่แตกต่างกันไป ปรากฎว่าพอนำเสนอไป เจ้านายชอบค่ะ แต่เลือก Scenario การทำงานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันเป็นแบบที่ระยะเวลาการผลิต/ทำงาน มันน้อยที่สุด หมายความว่า มันใกล้เคียงกับตัวเลขที่เค้าชอบนั่นเอง คือ คนหนึ่งคนใช้ระยะเวลาในการผลิตงานต่อชิ้น เพียงแค่ไม่กี่นาที ... เราอธิบายไปแล้วค่ะว่า มันคงทำได้ยากมาก ๆ ... เจ้านายตอบกลับมาค่ะว่า "อย่าคิดว่ายาก ถ้ายังไม่ได้ลองทำ"
ดิฉันในฐานะคนคิดระบบและวางแผน ส่วนเพื่อนร่วมงานของดิฉันต้องมาช่วยนั่งผลิตและทำงานชิ้นนั้นจริง ๆ ดิฉันสงสารเพื่อนมากค่ะ เพราะมันแทบจะเป็น Ideal number หรือ Maximum เลย แต่เพื่อน ๆ ไม่ค่อยพูดอะไรในช่วงการประชุม เพียงแต่บอกกลับดิฉันนอกรอบค่ะว่า ขอบคุณที่ช่วยอธิบายเจ้านายมาก ๆ ขอบคุณที่พยายามช่วยพวกเรา แม้ว่าพวกเราจะทราบว่า มันไม่เป็นผล แต่ดิฉันในฐานะที่เคยทำงานในระดับ Officer เข้าใจดีค่ะว่า คนทำงาน ก็คือคน ๆ หนึ่ง ไม่ใช่เครื่องจักรที่จะผลิตชิ้นงานได้ทุกนาที พักแค่ตอนเที่ยง ... จบไปกับสัปดาห์ที่ 2 ค่ะ แต่เรื่องราวยังไม่จบ เพราะเมื่อดิฉันเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง เลยพยายามจะทำเต็มที่เพื่อจะบอกว่า ตัวเลขนั้นมันโหด สั. รัสเซีย จริง ๆ ค่ะ
หลังจากนั้น สัปดาห์ที่ 3 ต่อมาค่ะ หลังจากที่ได้ตัวเลข ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตชิ้นงาน/ทำงานจนเสร็จ ต่อชิ้น ต่อคน แล้ว เราก็ถามเจ้านายไปตรง ๆ ว่า ตกลง "ตัวเลขในหัว" ที่อยากจะให้มีผลิตภัณฑ์ในวันเปิดตัว ควรจะวางไว้ที่เท่าไรดี เพราะดิฉันจะได้คำนวณตามหลักคณิตศาสตร์ค่ะว่า ถ้า Target หารด้วย ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตชิ้นงาน/ทำงานจนเสร็จ ต่อชิ้น ต่อคน มันจะเป็นไปได้ไหม ... ทีนี้ เจ้านายบอกตัวเลขออกมาแล้วค่ะ แต่เป็นตัวเลข 4 หลัก เราถามว่าทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้.. เค้าบอกว่า "เอ้า.. จริง ๆ ให้คุณหามานะว่าจะเปิดตัวด้วยตัวเลขเท่าไรดี นี่ก็บอกคุณแล้วหนิ ไปทำมาแล้วกัน" .. ทีนี้เราเลยเอาไฟล์ Excel มาคำนวณให้ดูตรง ๆ กันในที่ประชุมเลยค่ะว่า ตัวเลข Target 4 หลักนั้น จะทำได้หรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัย (1) ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตชิ้นงาน/ทำงานจนเสร็จ ต่อชิ้น ต่อคน (2) จำนวนคน (3) กรอบระยะเวลาที่ให้ดำเนินการ พอคำนวณออกมาค่ะ ปรากฎว่า ทีมของดิฉันต้องทำงานเกินค่า Ideal Capacity (ค่าหมายเลข 1) เกินไปกว่า 100% ดิฉันเลยบอกตรง ๆ ค่ะว่า ทำไม่ได้แน่ ๆ เพราะนอกจากค่านั้นจะเป็นค่า Maximum หรือ Ideal แล้ว พอคำนวณออกมามันแทบจะเกินไปมาก ไม่มีทางที่จะทำได้แน่ ๆ ค่ะ นอกจาก
- เพิ่มจำนวนคน
- เพิ่มระยะเวลาในการทำงาน
- ลดจำนวน Target
เจ้านายดิฉันบอกว่า ขอความร่วมมือให้ทำงานหนักเพื่อให้บริษัทประสบความสำเร็จแค่นี้ทำไม่ได้เหรอ? เพียงแค่ทำงานเพิ่ม 5-6 ชั่วโมง ต่อวัน หรือมาทำงานวันหยุด ทำไม่ได้เหรอ และในเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงเนี่ย ก็เป็นของเค้า เค้าจ้างมาให้ทำงาน พอดิฉันได้ฟังเช่นนี้ ก็ได้เข้าใจทัศนคติของเจ้านายแล้วค่ะว่าเค้าเป็นอย่างไร และตอนนั้นพวกเราเริ่มทราบดีค่ะว่า คงจะไม่มีทางลด Target แน่ ๆ จำนวนคนก็คงไม่เพิ่มแน่ ๆ ส่วนระยะเวลานี่เพิ่มไม่ได้อยู่แล้ว เราคงต้องอดทนและกัดฟันกันทำค่ะ ถึงดิฉันเป็นแค่คนวางแผน แต่ดิฉันก็คงต้องมาช่วยเพื่อนร่วมงานทำตรงนี้