เล่าให้ฟังเรื่องโรคกระดูกพรุน

กระทู้สนทนา
เคยตั้งกระทู้ไว้  เอากลับมาให้อ่านกันอีกรอบ เพื่อจะได้มีความเข้าใจในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนค่ะ

ร่างกายมีกลไกในการสร้างและทำลายกระดูก คือ มีตัวทำลายกระดูก เพื่อดึงแคลเซียมจากกระดูกออกมา และตัวสร้างกระดูก  แคลเซียมจะถูกใช้ในระบบกระแสประสาท การสร้างกระดูก  สารประกอบหลักๆ ที่ใช้ในการสร้างกระดูก คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี เอสโตรเจน วิตามินดี (ที่มีเหลือเฟือจากแดดเมืองไทย) และแรงกดต่อกระดูก

เปรียบเทียบหน้าที่แล้ว แคลเซียมคือปูน ฟอสฟอรัสคือหิน วิตามินซีคือเหล็กเส้น เอสโตรเจนคือรถบรรทุก แรงกดต่อกระดูกคือนายช่าง  

แรงกดต่อกระดูกสำคัญต่อการสร้างกระดูกยังไง  ผู้ป่วยที่ต้องนอนอยู่บนเตียงนอนอยู่ตลอด  และคนที่อยู่บนอวกาศเป็นเวลา 1 ปี จะสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกไปถึง 30% เพราะไม่ได้รับแรงกดต่อกระดูก ทำให้ตัวทำลายกระดูกทำงานแต่ตัวสร้างกระดูกทำงานน้อยลงมาก การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นการเสริมสร้างความหนาแน่นของกระดูก  แต่ไม่ควรว่ายน้ำและขี่จักรยาน ถ้าต้องการแรงกดต่อกระดูก

ภาวะการขาดเอสโตรเจน ทำให้การขนส่งแคลเซียมมีน้อย  เป็นสาเหตุว่าทำไม คนสูงอายุจึงมีภาวะกระดูกพรุน  หมอจะพิจารณาให้ฮอร์โมนชดเชย แต่ต้องอยู่ในดุลพินิจของหมอ

ภาวะกระดูกพรุน รักษาได้ แต่จะไม่ฟื้นฟูได้ 100% การป้องกันภาวะกระดูกพรุนเป็นเรื่องสำคัญกว่า  แต่คนส่วนมากคิดว่า กินแคลเซียมอย่างเดียวพอแล้ว  ซึ่งผิดค่ะ  เพราะร่างกายต้องการปัจจัยอื่นๆในการสร้างกระดูกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว  แต่การกินปลาเล็กปลาน้อยและน้ำเต้าหู้มีประโยชน์มาก  เพราะปลาเล็กปลาน้อยมีทั้งแคลเซียมและฟอสฟอรัส  น้ำเต้าหู้มีแคลเซียมและ phytoestrogen  การรับประทานแคลเซียมอย่างเดียว โดยได้รับฟอสฟอรัสไม่พอ จะกลายเป็นผลร้าย เพราะร่างกายจะดึงฟอสฟอรัสมออกจากกระดูก  ซึ่งก็คือการทำลายเนื้อกระดูกนั่นเอง เพื่อรักษาสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัส

phytoestrogen คือ เอสโตรเจนจากธรรมชาติ ดังนั้นแคลเซียมจากน้ำเต้าหู้จะสามารถดูดซึมได้ดี เพราะมีรถบรรทุกอยู่ในตัวแล้ว  ตรงข้ามกับการกินยาแคลเซ๊ยม ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตในรูปเม็ด  หรือแคลเซียมซิเทรต จะมีเปอร์เซ็นต์ที่ร่างกายดูดซึมแคลเซียมไม่ต่างกันมากนัก คือประมาณ 30% ต่อการกินหนึ่งครั้ง  ดังนั้นการแบ่งกินครั้งละน้อยๆ จะดีกว่ากินครั้งเดียวมากๆ

การตรวจภาวะกระดูกพรุน จะตรวจโดยใช้เครื่องวัด  ซึ่งจะตรวจ 3 จุดเป้นหลัก คือ ข้อมือ สะโพกและหลัง  โดยจะเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของมวลกระดูกของคนที่มีอายุเท่ากัน

คนที่เป็นมาก หมอจะให้ยาที่ทำให้ร่างกายชะลอการทำลายกระดูก ให้แคลเซียม และเอสโตรเจน (สำหรับคนที่ขาด และมีข้อที่ควรบ่งใช้  แต่ไม่ควรใช้สำหรับคนที่มีเนื้องอกในมดลูก)

การบริหารกล้ามเนื้อเป็นสิ่งจำเป็น เพราะความเสี่ยงที่สุดของคนที่มีภาวะกระดูกพรุนคือการล้ม และการปวดหลังเนื่องจากกระดูกยุบไปทับส่วนอื่นๆ  ถ้ากล้ามเนื้อหลังแข็งแรง  จะลดโอกาสในการแตกหักของกระดูก และความเจ็บปวดหลังลงได้  

หวังว่าคงมีประโยชน์กับคนอ่านบ้าง   ขอขอบคุณหมอหมูด้วยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่