พระพยายามปลุกระดมเพื่ออะไร ?
เพื่อเงิน ลาภยศเล็กๆน้อยๆของอาตมานะโยม
(อย่าบอกใครล่ะ)
1) ท่าทีของพระพวกนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่มีข้อเสนอการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา(ชุดที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน)
หนึ่งในนั้น ได้แก่ ข้อเสนอแนะร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ
เสนอว่า จะต้องมีการจัดระบบบัญชีทรัพย์สินของวัด
ทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ รวมถึงผลประโยชน์อื่นที่พระและวัดได้มาทั้งหมด ให้ตกเป็นของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล พระสงฆ์ หรือของวัดใด
การบริหารจัดการทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ ของวัดและพระ ควรให้พุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกามีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะให้ปฏิรูประบบการกำกับดูแลปกครองคณะสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ ดังปรากฏว่า ปล่อยปละละเลยปัญหามากมาย ทำให้มีพระอลัชชี พระนอกรีต ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ทั้งเสพยา เสพสังวาสสีกา สะสมทรัพย์สินเงินทองมหาศาล แอบอ้างพระพุทธศาสนาทำมาหากิน บิดเบือนพระธรรมวินัยอย่างอุกอาจ กอบโกยหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันในหมู่ประชาชนทั่วไป
หากระบบปัจจุบันดีอยู่แล้ว ทำไมไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้เล่า?
มันจึงน่าคิดว่า พระพวกนี้ ที่ออกมาแสดงท่าทีกดดันต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้น เจตนาที่แท้จริงคือ ต้องการรักษาระบบที่ฟอนเฟะ เน่าเหม็น โสโครก เพื่อปล่อยให้มีพระกาฝาก แอบอ้าง อิงอาศัยพระพุทธศาสนาทำมาหากินกอบโกยต่อไป อย่างนั้นหรือ?
2) ล่าสุด หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากแวดวงสถาบันการเงิน
ยืนยันว่า ปริมาณเงินฝากในนามวัดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 10% ในทุก ๆ ปี
ปีนี้ ฐานเงินฝากในนามวัดทั้งระบบ คาดว่าน่าเกินกว่า 3 แสนล้านบาท
วัดขนาดใหญ่ที่มีเกจิอาจารย์ชื่อดัง มีเงินฝากเป็นหลัก 1,000 ล้านบาท
ขณะที่วัดเล็กๆ ในต่างจังหวัด ก็มีเงินฝากตั้งแต่ 50,000-2 ล้านบาท
บรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างถลันเข้าไปแย่งชิงลูกค้าเงินฝากกลุ่มนี้ โดยมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น
แต่เดิม ธนาคารจะเข้าไปแจกร่ม แจกน้ำ แจกข้าวของเครื่องใช้ในช่วงเทศกาลงานบุญ หรือมีรถรับฝากเงินเข้าไปอำนวยความสะดวก
แต่ปัจจุบัน ถึงขั้นแจกเต็นท์เป็นหลังๆ ซื้อรถเก๋ง-รถตู้ให้เจ้าอาวาส!
บางครั้ง มีรถคอยรับ-ส่งมัคนายก หรือไวยาวัจกรของวัด!
แบงก์ขนาดใหญ่ส่งเจ้าหน้าที่สาขาเข้าไปประกบวัดดังๆ ในแต่ละจังหวัด ถึงขนาดเช็กตารางกิจนิมนต์ของเจ้าอาวาสกับมัคนายกประจำ โดยต้องรู้ว่าเจ้าอาวาสอยู่หรือไม่ ต้องการอะไรเพิ่มเติม หากไม่มีกิจนิมนต์ที่ไหนก็จะนำสิ่งของไปถวาย เพราะเจ้าอาวาสเป็นคนคุมบัญชีทุกอย่างเบ็ดเสร็จ!
บางธนาคารพัฒนารูปแบบการขายผลิตภัณฑ์แก่วัดหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่จะมีเพียงการนำเสนอเงินฝากเท่านั้น ปัจจุบันมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนมากขึ้น เช่น กองทุนต่างๆ หรือกระทั่งประกันชีวิตเจ้าอาวาส ประกันชีวิตพระลูกวัด เป็นต้น
ย้ำว่า นี่เฉพาะเงินที่ฝากไว้ในธนาคาร ยังไม่นับส่วนที่เก็บไว้เป็นเงินสด และเก็บไว้ในรูปทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถหรู ที่ดิน ทองคำ ฯลฯ ยังมีอีกมหาศาลเท่าไหร่?
การบริหารจัดการไม่มีธรรมาภิบาล ไม่มีระบบกำกับตรวจสอบ
หลายแห่งเข้าขั้นฉ้อฉล เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน น่าจะเข้าข่ายฟอกเงินด้วยซ้ำ
3) การปล่อยปละละเลยให้พระจำนวนมากจมอยู่กับทรัพย์สินเงินทองและอามิสผลประโยชน์ทางโลกเหล่านี้ ทำให้เกิด “อลัชชี” จำนวนมาก
เข้ามาบวช อาศัยผ้าเหลือง แสวงหาโภคทรัพย์ ทำมาหากิน สั่งสมลาภยศอิทธิพลอำนาจ
เมื่อจะมีการจัดระบบใหม่ ปฏิรูประบบบริหารจัดการเงินทองของวัดและของพระ รวมถึงปฏิรูปยกเครื่องระบบปกครองของคณะสงฆ์ที่ไร้ประสิทธิภาพในการกำกับดูแลพฤติกรรมของพระและวัดที่มีความประพฤติผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย กลุ่มคนที่เคยได้รับผลประโยชน์
กินอิ่ม นอนสบาย
กอบโกย ตักตวง โดยอาศัยพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องบังหน้า ก็ผ้าเหลืองร้อน
ทั้งๆ ที่ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่สั่งสมเงินทองสมบัติ ไม่แสวงหาผลประโยชน์กอบโกย ไม่เดือนร้อนใดๆ กับการจะปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
แถมจะได้เบากาย-เบาใจ เพราะพุทธบริษัท 4 ได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการเรื่องที่มิใช่กิจหลักของสงฆ์ คือ การบริหารจัดการเงินๆ ทองๆ ของวัดและของพระ
พระก็จะได้ปฏิบัติธรรมอย่างไม่มีกังวล ไม่ต้องหวงสมบัติ
คงมีแต่เพียงพระประเภท “ภิกษุสันดานกา” ที่ดูจะเดือดร้อนกว่าใคร
“ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เช่นเดียวกับกานี้แหละ เป็นคนประกอบด้วย อสัทธรรม ๑๐ ประการ คือ
1. ภิกษุลามก เป็นคนทำลายความดี
2. ภิกษุลามก เป็นคนคะนอง
3. ภิกษุลามก เป็นคนทะเยอทะยาน
4. ภิกษุลามก เป็นคนกินจุ
5. ภิกษุลามก เป็นคนหยาบคาย
6. ภิกษุลามก เป็นคนไม่กรุณาปราณี
7. ภิกษุลากมก เป็นคนต่ำช้า
8. ภิกษุลากมก เป็นคนพูดเสียงอึง
9. ภิกษุลามก เป็นคนปล่อยสติ
10. ภิกษุลามก เป็นคนสะสมของกิน
ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกเป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการเหล่านี้”
ใครมีอาการเยี่ยง “ภิกษุสันดานกา” และ “อลัชชี” ย่อมควรถูกกำจัดให้พ้นจากบวรพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง!
ภิกษุสันดานกา... อย่าอ้างพระพุทธศาสนา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัว ?
เพื่อเงิน ลาภยศเล็กๆน้อยๆของอาตมานะโยม
(อย่าบอกใครล่ะ)
1) ท่าทีของพระพวกนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่มีข้อเสนอการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา(ชุดที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน)
หนึ่งในนั้น ได้แก่ ข้อเสนอแนะร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ
เสนอว่า จะต้องมีการจัดระบบบัญชีทรัพย์สินของวัด
ทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ รวมถึงผลประโยชน์อื่นที่พระและวัดได้มาทั้งหมด ให้ตกเป็นของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล พระสงฆ์ หรือของวัดใด
การบริหารจัดการทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ ของวัดและพระ ควรให้พุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกามีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะให้ปฏิรูประบบการกำกับดูแลปกครองคณะสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ ดังปรากฏว่า ปล่อยปละละเลยปัญหามากมาย ทำให้มีพระอลัชชี พระนอกรีต ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ทั้งเสพยา เสพสังวาสสีกา สะสมทรัพย์สินเงินทองมหาศาล แอบอ้างพระพุทธศาสนาทำมาหากิน บิดเบือนพระธรรมวินัยอย่างอุกอาจ กอบโกยหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันในหมู่ประชาชนทั่วไป
หากระบบปัจจุบันดีอยู่แล้ว ทำไมไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้เล่า?
มันจึงน่าคิดว่า พระพวกนี้ ที่ออกมาแสดงท่าทีกดดันต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้น เจตนาที่แท้จริงคือ ต้องการรักษาระบบที่ฟอนเฟะ เน่าเหม็น โสโครก เพื่อปล่อยให้มีพระกาฝาก แอบอ้าง อิงอาศัยพระพุทธศาสนาทำมาหากินกอบโกยต่อไป อย่างนั้นหรือ?
2) ล่าสุด หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากแวดวงสถาบันการเงิน
ยืนยันว่า ปริมาณเงินฝากในนามวัดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 10% ในทุก ๆ ปี
ปีนี้ ฐานเงินฝากในนามวัดทั้งระบบ คาดว่าน่าเกินกว่า 3 แสนล้านบาท
วัดขนาดใหญ่ที่มีเกจิอาจารย์ชื่อดัง มีเงินฝากเป็นหลัก 1,000 ล้านบาท
ขณะที่วัดเล็กๆ ในต่างจังหวัด ก็มีเงินฝากตั้งแต่ 50,000-2 ล้านบาท
บรรดาธนาคารพาณิชย์ต่างถลันเข้าไปแย่งชิงลูกค้าเงินฝากกลุ่มนี้ โดยมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น
แต่เดิม ธนาคารจะเข้าไปแจกร่ม แจกน้ำ แจกข้าวของเครื่องใช้ในช่วงเทศกาลงานบุญ หรือมีรถรับฝากเงินเข้าไปอำนวยความสะดวก
แต่ปัจจุบัน ถึงขั้นแจกเต็นท์เป็นหลังๆ ซื้อรถเก๋ง-รถตู้ให้เจ้าอาวาส!
บางครั้ง มีรถคอยรับ-ส่งมัคนายก หรือไวยาวัจกรของวัด!
แบงก์ขนาดใหญ่ส่งเจ้าหน้าที่สาขาเข้าไปประกบวัดดังๆ ในแต่ละจังหวัด ถึงขนาดเช็กตารางกิจนิมนต์ของเจ้าอาวาสกับมัคนายกประจำ โดยต้องรู้ว่าเจ้าอาวาสอยู่หรือไม่ ต้องการอะไรเพิ่มเติม หากไม่มีกิจนิมนต์ที่ไหนก็จะนำสิ่งของไปถวาย เพราะเจ้าอาวาสเป็นคนคุมบัญชีทุกอย่างเบ็ดเสร็จ!
บางธนาคารพัฒนารูปแบบการขายผลิตภัณฑ์แก่วัดหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่จะมีเพียงการนำเสนอเงินฝากเท่านั้น ปัจจุบันมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนมากขึ้น เช่น กองทุนต่างๆ หรือกระทั่งประกันชีวิตเจ้าอาวาส ประกันชีวิตพระลูกวัด เป็นต้น
ย้ำว่า นี่เฉพาะเงินที่ฝากไว้ในธนาคาร ยังไม่นับส่วนที่เก็บไว้เป็นเงินสด และเก็บไว้ในรูปทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถหรู ที่ดิน ทองคำ ฯลฯ ยังมีอีกมหาศาลเท่าไหร่?
การบริหารจัดการไม่มีธรรมาภิบาล ไม่มีระบบกำกับตรวจสอบ
หลายแห่งเข้าขั้นฉ้อฉล เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน น่าจะเข้าข่ายฟอกเงินด้วยซ้ำ
3) การปล่อยปละละเลยให้พระจำนวนมากจมอยู่กับทรัพย์สินเงินทองและอามิสผลประโยชน์ทางโลกเหล่านี้ ทำให้เกิด “อลัชชี” จำนวนมาก
เข้ามาบวช อาศัยผ้าเหลือง แสวงหาโภคทรัพย์ ทำมาหากิน สั่งสมลาภยศอิทธิพลอำนาจ
เมื่อจะมีการจัดระบบใหม่ ปฏิรูประบบบริหารจัดการเงินทองของวัดและของพระ รวมถึงปฏิรูปยกเครื่องระบบปกครองของคณะสงฆ์ที่ไร้ประสิทธิภาพในการกำกับดูแลพฤติกรรมของพระและวัดที่มีความประพฤติผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย กลุ่มคนที่เคยได้รับผลประโยชน์
กินอิ่ม นอนสบาย
กอบโกย ตักตวง โดยอาศัยพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องบังหน้า ก็ผ้าเหลืองร้อน
ทั้งๆ ที่ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่สั่งสมเงินทองสมบัติ ไม่แสวงหาผลประโยชน์กอบโกย ไม่เดือนร้อนใดๆ กับการจะปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
แถมจะได้เบากาย-เบาใจ เพราะพุทธบริษัท 4 ได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการเรื่องที่มิใช่กิจหลักของสงฆ์ คือ การบริหารจัดการเงินๆ ทองๆ ของวัดและของพระ
พระก็จะได้ปฏิบัติธรรมอย่างไม่มีกังวล ไม่ต้องหวงสมบัติ
คงมีแต่เพียงพระประเภท “ภิกษุสันดานกา” ที่ดูจะเดือดร้อนกว่าใคร
“ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เช่นเดียวกับกานี้แหละ เป็นคนประกอบด้วย อสัทธรรม ๑๐ ประการ คือ
1. ภิกษุลามก เป็นคนทำลายความดี
2. ภิกษุลามก เป็นคนคะนอง
3. ภิกษุลามก เป็นคนทะเยอทะยาน
4. ภิกษุลามก เป็นคนกินจุ
5. ภิกษุลามก เป็นคนหยาบคาย
6. ภิกษุลามก เป็นคนไม่กรุณาปราณี
7. ภิกษุลากมก เป็นคนต่ำช้า
8. ภิกษุลากมก เป็นคนพูดเสียงอึง
9. ภิกษุลามก เป็นคนปล่อยสติ
10. ภิกษุลามก เป็นคนสะสมของกิน
ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกเป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการเหล่านี้”
ใครมีอาการเยี่ยง “ภิกษุสันดานกา” และ “อลัชชี” ย่อมควรถูกกำจัดให้พ้นจากบวรพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง!