ว่าด้วยเรื่อง หลักความเชื่อที่ผิด

กระทู้สนทนา
พระศาสดา ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ดังนี้
----------------
--ฯลฯ---            
    มหานาม !       ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น    เราออกจากที่เร้นแล้วไปสู่กาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ     อันพวกนิครนถ์    ประพฤติวัตรอยู่,   ได้กล่าวกะพวกนิครนถ์เหล่านั้นว่า    “ท่าน !  เพราะอะไรหนอ     พวกท่านทั้งหลายจึงประพฤติยืนไม่นั่งประกอบความเพียรได้รับเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าแข็งแสบเผ็ด ?”   ดังนี้.

            มหานาม !      นิครนถ์เหล่านั้นได้กล่าวกะเราว่า  “ท่าน ! ท่านนิครนถนาฏบุตร   เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง  เห็นสิ่งทั้งปวง  ได้ยืนยันญาณทัสสนะของตนเองโดยไม่มียกเว้น ว่า ‘เมื่อเราเดินอยู่,   ยืนอยู่,   หลับอยู่,   ตื่นอยู่    ก็ตาม    ญาณทัสสนะของเราย่อมปรากฏติดต่อกัน
ไม่ขาดสาย’  ดังนี้.  ท่านนิครนถนาฏบุตรนั้นกล่าวไว้อย่างนี้ว่า  ‘นิครนถ์ผู้เจริญ ! บาปกรรมในกาลก่อนที่ได้ทำไว้ มีอยู่แล, พวกท่านจงทำลายกรรมนั้นให้สิ้นไป ด้วยทุกรกิริยาอันแสบเผ็ดนี้ ;     อนึ่ง    เพราะการสำรวม  กาย  วาจา  ใจ  ในบัดนี้     ย่อมชื่อว่าไม่ได้
กระทำกรรมอันเป็นบาปอีกต่อไป.      เพราะการเผาผลาญกรรมเก่าไม่มีเหลือ    และเพราะการไม่กระทำกรรมใหม่   กรรมต่อไปก็ขาดสาย ;   เพราะกรรมขาดสาย     ก็สิ้นกรรม ;    เพราะสิ้นกรรม,  ก็สิ้นทุกข์ ;     เพราะสิ้นทุกข์  ก็สิ้นเวทนา ;   เพราะสิ้นเวทนา   ทุกข์ทั้งหมดก็เหือดแห้งไป’,   ดังนี้.    คำสอนของท่านนาฏบุตรนั้น  เป็นที่ชอบใจและควรแก่เรา,   และพวกเราก็เป็นผู้พอใจต่อคำสอนนั้นด้วย”   ดังนี้.

            มหานาม !       เราได้กล่าวคำนี้กะนิครนถ์เหล่านั้นสืบไปว่า   “ท่านผู้เป็น นิครนถ์ ท. !   ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือว่า    พวกเราทั้งหลาย   ได้มีแล้วในกาลก่อน หรือว่ามิได้มี ?”
         “ไม่ทราบเลยท่าน !”
            “ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !        ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ   ว่าพวกเราทั้งหลายได้ทำกรรมที่เป็นบาปแล้วในกาลก่อน   หรือว่าพวกเราไม่ได้ทำแล้ว ?”
         “ไม่ทราบได้เลย,     ท่าน !”
            “ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !       ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ   ว่าเราทั้งหลายได้ทำกรรมที่เป็นบาป    อย่างนี้ ๆ ในกาลก่อน ?”
             “ไม่ทราบเลย,     ท่าน !”
            “ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !      ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ  ว่า  (ตั้งแต่ทำตบะมา)
ทุกข์มีจำนวนเท่านี้ ๆ ได้สิ้นไปแล้ว    และจำนวนเท่านี้ ๆ จะสิ้นไปอีก,    หรือว่า
   ถ้าทุกข์สิ้นไปอีกจำนวนเท่านี้    ทุกข์ก็จักไม่มีเหลือ ?”
      “ไม่ทราบได้เลย,     ท่าน !”
            “ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !         ท่านทั้งหลายรู้อยู่หรือ ว่าอะไรเป็นการละเสีย
ซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล   และทำสิ่งที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นได้   ในภพปัจจุบันนี้ ?”
       “ไม่เข้าใจเลย,     ท่าน !”

         มหานาม !      เราได้กล่าวคำนี้  กะนิครนถ์เหล่านั้นสืบไปว่า “ท่านผู้เป็น
        นิครนถ์ ท. !     ดังได้ฟังแล้วว่า      ท่านทั้งหลาย     ไม่รู้อยู่      ว่าเราทั้งหลายได้มีแล้ว
ในกาลก่อน    หรือไม่ได้มีแล้วในกาลก่อน,      ...ฯลฯ.    อะไรเป็นการละเสีย
ซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล   และทำสิ่งที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นได้   ในภพปัจจุบันนี้.     ครั้นเมื่อ
ไม่รู้อย่างนี้แล้ว     (น่าจะเห็นว่า)     ชนทั้งหลายเหล่าใดในโลก       ที่เป็นพวกพราน
มีฝ่ามือคร่ำไปด้วยโลหิต    มีการงานอย่างกักขฬะ    ภายหลังมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมบรรพชาในพวกนิครนถ์ทั้งหลาย   ละกระมัง ?”
-----ฯลฯ------
            ภิกษุ ท. !        เราได้กล่าวกะนิครนถ์เหล่านั้น   ต่อไปว่า      “ท่านผู้เป็น
นิครนถ์ ท. !     ท่าน ท. เข้าใจความข้อนี้ว่าอย่างไร :   เมื่อใดพวกท่าน    มีความ
พากเพียรพยายามอย่างแรงกล้า      เมื่อนั้นท่าน ท.  ย่อม  ได้รับทุกขเวทนาอันแรงกล้า
แสบเผ็ด    ซึ่งเกิดจากความเพียรนั้น ;    แต่เมื่อใดพวกท่าน    ไม่มีความพากเพียร
พยายามอย่างแรงกล้า   เมื่อนั้นท่าน ท. ย่อม   ไม่ได้รับทุกขเวทนา  อันแรงกล้า
    แสบเผ็ด   ซึ่งเกิดจากความเพียรนั้น  ดังนี้มิใช่หรือ ?”

         “ท่านโคตมะ !      เมื่อใดพวกเรา ท. มีความพากเพียรพยายามอย่างแรงกล้า  
เมื่อนั้นเรา ท.    ย่อมได้รับทุกขเวทนาอันแรงกล้าแสบเผ็ด    ซึ่งเกิดจากความเพียรนั้น ;    
แต่เมื่อใด พวกเราไม่มีความพากเพียรพยายามอย่างแรงกล้า      เมื่อนั้นเรา ท.   ย่อมไม่ได้รับ
   ทุกขเวทนาอันแรงกล้าแสบเผ็ด   ซึ่งเกิดจากความเพียรนั้น.”
                               
           ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !       เมื่อได้ยินกันอยู่แล้ว  ดังนี้ว่า  เมื่อใดพวกท่าน
มีความพากเพียรพยายามอย่างแรงกล้า    เมื่อนั้นท่าน ท.   ย่อมได้รับทุกขเวทนา
อันแรงกล้าแสบเผ็ด  ซึ่งเกิดขึ้นจากความเพียรนั้น    แต่เมื่อใดพวกท่านไม่มีความ
พากเพียรพยายามอย่างแรงกล้า   เมื่อนั้นท่าน ท.   ย่อมไม่ได้รับทุกขเวทนา
อันแรงกล้าแสบเผ็ด   ซึ่งเกิดจากความเพียรนั้น   ดังนี้แล้ว     ก็ไม่เป็นการสมควร
แก่ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. ที่ จะกล่าวว่า   “บุรุษบุคคลเรานี้     เสวยเวทนาไร ๆ   เป็นสุขก็ดี    
เป็นทุกข์ก็ดี   เป็นอทุกขมสุขก็ดี    ทั้งหมดนั้นมีเพราะเหตุแห่งกรรมอันกระทำแล้วในกาลก่อน   
และว่าเพราะการเผาผลาญเสียซึ่งกรรมในกาลก่อนจนหมดสิ้น     และเพราะการไม่กระทำ
ซึ่งกรรมใหม่   กระแสแห่งกรรมต่อไปก็ไม่มี,   เพราะกระแสแห่งกรรมต่อไปไม่มี    ก็สิ้นกรรม,   
เพราะสิ้นกรรม   ก็สิ้นทุกข์,    เพราะสิ้นทุกข์   ก็สิ้นเวทนา,  เพราะสิ้นเวทนาทุกข์ทั้งหมดก็สูญสิ้น”   ดังนี้.
        
             ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !      ถ้าเมื่อใด แม้พวกท่านมีความพากเพียร
พยายามอันแรงกล้า      เมื่อนั้นทุกขเวทนาอันแรงกล้าแสบเผ็ด     ซึ่งเกิดจาก
ความเพียรนั้นก็ยังตั้งอยู่,    และแม้เมื่อใดพวกท่านไม่มีความพากเพียรพยายาม
อันแรงกล้า     เมื่อนั้นทุกขเวทนาอันแรงกล้าแสบเผ็ด   ซึ่งเกิดจากความเพียรนั้น   
ก็ยังตั้งอยู่,    ดังนี้ไซร้ ; จะเป็นการสมควรแก่ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. หรือ   ที่จะกล่าวว่า      
“บุรุษบุคคลเรานี้เสวยเวทนาไรๆ ........ ทั้งหมดนั้นมีเพราะเหตุแห่งกรรมอันกระทำ
แล้วในกาลก่อน...ฯลฯ...เพราะสิ้นเวทนา   ทุกข์ทั้งหมดก็สูญสิ้นไป”   ดังนี้.
ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !        เพราะเหตุที่ว่า   เมื่อใดความเพียรของท่าน
แก่กล้า    ทุกขเวทนาของท่านก็แสบเผ็ด   แต่เมื่อใดความเพียรของท่านไม่แก่กล้า    
ทุกขเวทนาของท่านก็ไม่แสบเผ็ด ;     เพราะเหตุนั้นจึงแสดงว่า     เมื่อท่าน ท.
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้าแสบเผ็ดอยู่ด้วยตนเองนั่นแหละ    ท่าน ท.  ได้ปรุงอวิชชา
ซึ่งเป็นอัญญาณและสัมโมหะ   ขึ้นมาว่า  “บุรุษบุคคลเรานี้ เสวยเวทนาไรๆ ...ทั้งหมดนั้น
มีเพราะเหตุแห่งกรรมอันกระทำแล้วในกาลก่อน   ...ฯลฯ...     เพราะสิ้นเวทนา      ทุกข์ทั้งหมดก็สูญสิ้นไป”  ดังนี้.
             ภิกษุ ท. !      เราผู้มีวาทะอยู่อย่างนี้แหละ     ย่อมไม่มองเห็นอะไรในหมู่นิครนถ์    ที่น่าจับใจและประกอบอยู่ด้วยธรรม.
---------------------
               ภิกษุ ท. !      เราได้กล่าวกะนิครนถ์ ท. เหล่านั้นสืบไปอีกว่า  “ท่านผู้เป็น
นิครนถ์ ท. !  ท่าน ท. จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร  คือพวกท่านจะพึงได้ตามใจชอบ
ของท่านว่า   ด้วยอำนาจการบำเพ็ญ    อุปักกมะและปธานะ   (อันเป็นตบะของเรา)

        (๑) กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลในทิฏฐธรรม     ขอให้กรรมนั้น   เป็นกรรมที่พึง
เสวยผลในสัมปรายภพเถิด,   ดังนี้หรือ ?   
        “ไม่อาจเป็นไปได้, ท่าน !”
              หรือว่า (๒) กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลในสัมปรายภพ ขอให้กรรมนั้น  
เป็นกรรมที่พึงเสวยผลในทิฏฐธรรมเถิด,  ดังนี้หรือ ?
         “ไม่อาจเป็นไปได้, ท่าน !”
            ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !    ท่าน ท. จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร    คือ
พวกท่านจะพึงได้ตามใจชอบของท่านว่า  ด้วยอำนาจการบำเพ็ญอุปักกมะและปธานะ
(อันเป็นตบะของเรา)    (๓)    กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลเป็นสุข   ขอให้กรรมนั้น
เป็นกรรมที่พึงเสวยผลเป็นทุกข์เถิด,  ดังนี้หรือ ?  
           “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”
            หรือว่า  (๔)   กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลเป็นทุกข์      ขอให้กรรมนั้น
เป็นกรรมที่พึงเสวยผลเป็นสุขเถิด,   ดังนี้หรือ ?
             “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”
            ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !      ท่าน ท. จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร คือ
พวกท่านจะพึงได้ตามความชอบใจของท่านว่า    ด้วยอำนาจการบำเพ็ญอุปักกมะ
และปธานะ (อันเป็นตบะของเรา)  (๕) กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลเต็มขนาด  
ขอให้กรรมนั้นเป็นกรรมที่พึงเสวยผลไม่เต็มขนาดเถิด,   ดังนี้หรือ ?
              “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”
            หรือว่า  (๖)  กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลไม่เต็มขนาด  ขอให้กรรมนั้น  
เป็นกรรมที่พึงเสวยผลเต็มขนาดเถิด,   ดังนี้หรือ ?  
              “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”
            ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !     ท่าน ท. จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร   คือ
พวกท่านจะพึงได้ตามความชอบใจของท่านว่า   ด้วยอำนาจการบำเพ็ญอุปักกมะ
และปธานะ (อันเป็นตบะของเรา)   (๗)  กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลอย่างมาก  
ขอให้กรรมนั้นเป็นกรรมที่พึงเสวยผลแต่น้อยเถิด,  ดังนี้หรือ ?
                “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”
            หรือว่า    (๘)   กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผลแต่น้อย      ขอให้กรรมนั้น
เป็นกรรมที่พึงเสวยผลอย่างมากเถิด,  ดังนี้หรือ ?
                “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”
            ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !       ท่าน ท. จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร    คือ
พวกท่านจะพึงได้ตามความชอบใจของท่านว่า     ด้วยอำนาจการบำเพ็ญอุปักกมะ
และปธานะ  (อันเป็นตบะของเรา)   (๙)   กรรมใดเป็นกรรมที่ต้องเสวยผล  ขอให้กรรมนั้น
เป็นกรรมที่ไม่ต้องเสวยผลเถิด,   ดังนี้หรือ ?  
                   “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”    
          หรือว่า (๑๐)  กรรมใดเป็นกรรมที่ไม่ต้องเสวยผล   ขอให้กรรมนั้น  เป็นกรรม
ที่ต้องเสวยผลเถิด, ดังนี้หรือ ?  
                   “ไม่อาจเป็นไปได้,  ท่าน !”

            ท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท. !        เมื่อได้ยินกันอยู่แล้วดังนี้ว่า   ไม่อาจเป็นไปได้
ไม่อาจเป็นไปได้    ดังนี้แล้ว   อุปักกมะและปธานะ  ของท่านผู้เป็นนิครนถ์ ท.   ก็ไม่มีผลอะไร.

            ภิกษุ ท. !         นิครนถ์ ท.  เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ ;        ภิกษุ ท. !   ดังนั้น
วาทานุวาทะ  (วาทะน้อยใหญ่)  ๑๐ ประการ     ที่ประกอบด้วยธรรมตามแบบของ
     พวกนิครนถ์ผู้มีวาทะอย่างนี้  ย่อมถึงฐานะที่ควรตำหนิ.

            ภิกษุ ท. !       ถ้าว่าสัตว์ ท.   เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งกรรมอันกระทำ
ในกาลก่อน
   แล้วไซร้   นิครนถ์ ท. ก็ต้องกระทำกรรมชั่วในกาลก่อน  เป็นแน่   
เพราะในบัดนี้เป็นผู้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็งแสบเผ็ดเห็นปานนี้.

            ภิกษุ ท. !      ถ้าสัตว์ ท. เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่ง   การชี้บ่งของอิศวร  
(อิสฺสรนิมฺมานเหตุ)  แล้วไซร้  นิครนถ์ ท. ก็ต้องเป็นผู้ถูกชี้บ่งแล้วโดยอิศวรชั่ว  
เป็นแน่  เพราะในบัดนี้เป็นผู้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็งแสบเผ็ดเห็นปานนี้.

            ภิกษุ ท. !       ถ้าสัตว์ ท. เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่ง    ภาวะทางสังคม
แล้วไซร้   นิครนถ์ ท. ก็ต้องเป็นผู้มีสังคมชั่ว  เป็นแน่     เพราะในบัดนี้เป็นผู้เสวย
            ทุกขเวทนาอันกล้าแข็งแสบเผ็ดเห็นปานนี้.

       ภิกษุ ท. !      ถ้าสัตว์ ท. เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่ง      การเกิดอันยิ่ง
(อภิชาต)   แล้วไซร้   นิครนถ์ ท. ก็ต้องถูกตำหนิ.    ถ้าสัตว์ ท. ไม่เสวยสุขและทุกข์
  เพราะเหตุแห่งอภิชาติแล้วไซร้  นิครนถ์ ท. ก็ต้องถูกตำหนิ.

   ภิกษุ ท. !      ถ้าสัตว์ ท. เสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่ง  ความบากบั่นในทิฏฐธรรม   
แล้วไซร้  นิครนถ์ ท. ก็ต้องถูกตำหนิ. ถ้าสัตว์ ท. ไม่เสวยสุขและทุกข์
เพราะเหตุแห่งความบากบั่นในทิฏฐธรรมแล้วไซร้    นิครนถ์ ท. ก็ต้องถูกตำหนิ.

     ภิกษุ ท. !         นิครนถ์ ท. เป็นผู้มีวาทะอย่างนี้ ; ภิกษุ ท. !     ดังนั้นวาทานุวาทะ   ที่ประกอบด้วยธรรมตามแบบของพวกนิครนถ์ผู้มี
วาทะอย่างนี้ ๑๐ ประการเหล่านี้   ย่อมถึงฐานะที่ควรตำหนิ.
     ภิกษุ ท. !        อุปักกมะและปธานะที่ไม่มีผลเป็นอย่างนี้แล.
-------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่