ม็อกค่าปาท่องโก๋ : คุยกับ Katniss เมืองไทย {สัมภาษณ์ปันปัน-เต็มฟ้า}

สวัสดีครับ

      ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ

เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1192 - 1193 ประจำวันที่ 3 เมษายน 2558 และ 10 เมษายน 2558



     “ม็อคค่าปาท่องโก๋” มีโอกาสสัมภาษณ์นักแสดงดาวรุ่ง ผู้รับบท “เม้ยมะนิก” ใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” ภาคล่าสุด “อวสานหงสา” ผลงานการกำกับของ “หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล” หรือ “ท่านมุ้ย” เธอมีชื่อว่า “ปันปัน” เต็มฟ้า กฤษณายุธ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนักร้องหญิงออนเดอะร็อก “ฐิติมา สุตสุนทร” ที่พ่วงมาด้วยดีกรีนักยิมนาสติกทีมชาติ และดาราละครสังกัดค่าย Exact

Mr. Coffee : ทราบว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้หนังนเรศวรฯ

ปันปัน : ใช่เลยค่ะ เพราะว่าตอนนั้นเหมือนตัวเองอายุเท่ากับตัวละครพอดี ภาคแรก เท่ากับเก้า จิรายุ คืออายุพอๆ กันแล้วรู้สึกว่า ไม่ค่อยจะมีหนังประวัติศาสตร์เรื่องไหนที่จะเน้นให้เด็กเด่นขนาดนี้ และดูแล้วก็ไม่น่าเบื่อขนาดนี้ ปกติเป็นคนดูหนังประวัติศาสตร์ก็ได้ประมาณหนึ่ง แต่ไม่ค่อยอิน แต่เรื่องนี้อินเพราะรู้สึกว่าตัวละครอายุไล่เลี่ยกับเรา และเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์ที่สนุกมากๆ คือแม้เราจะจำสุริโยไทได้ แต่สำหรับเด็กคนหนึ่งสุริโยไทเป็นภาพยนตร์ที่น่ากลัวมาก แต่พอมานเรศวร ก็ได้มาเห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันและก็ดูสนุก ก็เลยดูหลายรอบค่ะ

Mr. Coffee : ชอบภาคไหนเป็นพิเศษ

ปันปัน : ชอบภาคแรกมากเป็นพิเศษ และหลังจากนั้นเราก็อยากรู้เรื่องต่อ ก็เลยดูมาเรื่อยๆ จนภาคห้า ภาคล่าสุด ก็คิดว่าอวสานไปแล้ว ก็ไม่คิดว่าท่านมุ้ยจะทำภาคต่อ แต่ก็ดีค่ะ ถ้าไม่มีภาคต่อ ก็คงไม่มีเราได้เล่น แต่จริงๆ ตอนที่ดูภาคห้าก็คิดว่าหนังมันน่าจะยังไม่จบเหมือนกัน หนูรู้ก่อนถ่ายแค่เดือนเดียวเองค่ะว่าจะได้มาเล่นภาคหก

Mr. Coffee : ได้เล่นอวสานหงสาได้อย่างไร

ปันปัน : ก็ท่านมุ้ยวางไว้ว่าอยากจะให้นางเอกเป็นนักกีฬา มีพื้นฐานด้านกีฬาอยู่แล้วด้วย ท่านมุ้ยก็พยายามไปหานักกีฬาเทควันโด นักกีฬายิมนาสติก ว่าใครจะสามารถมาเล่นบทบู๊ได้ไหม ก็หามาเรื่อยๆ คงมีคน Request ชื่อเรามา เพราะเราก็เคยมาแคสติ้งละครของพี่แมงมุม ลูกสาวของท่านมุ้ย ประมาณสองสามปีที่แล้ว และได้พูดคุยกับหม่อมฯ และพี่แมงมุมว่าเคยเป็นนักกีฬาทีมชาติยิมนาสติกนะ หม่อมฯ ก็เลยให้คนติดต่อปันปัน ปันปันอยากเข้ามาลองดูไหม ก็เลยได้มาคุยกับท่านมุ้ย คุยเรื่องบทกัน ลองพูดบทสักซีนหนึ่ง ลองใส่ชุดเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ลองถืออาวุธให้ท่านดู ว่าพอได้มั้ย

Mr. Coffee : พลิกบทบาทจากที่เคยเล่นแต่บทเรียบร้อยในละครพีเรียด

ปันปัน : ก็ค่อนข้างแตกต่างค่ะ เพราะโดยบุคลิกของตัวเองก็ไม่ได้เป็นแนวพีเรียดอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ลุคหรืออะไรแบบนี้ ทาง Exact ก็เลยให้ไปเล่นละครแบบนั้นบ่อย เพราะหนูอาจจะดูเป็นเด็กดราม่า แต่ว่าความจริง ตัวเองก็เป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไปคนหนึ่งนี่ล่ะค่ะ ชอบที่จะทำกิจกรรมต่างๆ และด้วยความที่เรามีพื้นฐานทางด้านยิมนาสติกอยู่แล้ว และก็เคยไปต่อยมวยอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าเราพอมีทักษะอยู่บ้าง มีความยืดหยุ่น ถ้าหนูจะเอามา Adapt กับการใช้ธนูหรือการต่อสู้ต่างๆ มันคงไม่ยากเกินความสามารถเรา แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราเป็นคนชอบหนังแบบนี้อยู่แล้ว ชอบ Charlie's angels อยู่แล้ว ชอบ Avatar ชอบ The Hunger Game ซึ่งตัวละครแบบนี้ค่อนข้างจะถูกใจเราอยู่แล้ว

Mr. Coffee : พอได้รู้ว่าจะได้เล่น Action ด้วยรู้สึกอย่างไร

ปันปัน : ชอบมากเลยค่ะ แต่จะเป็นด้านขี่ม้ามากกว่าที่เรากลัว เพราะไม่เคยขี่ม้ามาก่อน ขี่ม้าแบบวิ่ง หนังเรื่องนี้ต้องรบบนหลังม้าตลอดเลยด้วย แล้วก็ต้องยิงธนู ซึ่งถ้ายิงธนูก็หมายความว่าเราต้องใช้สองมือ ซึ่งก็คือเราขี่ม้าไม่ได้จับ ซึ่งก็ยากค่ะ แล้วก็ต้องมีการใช้อาวุธของตัวเอง เป็นคฑาคล้ายๆ ไม้กระบองอีกด้วย แล้วไหนจะมีพวกมีด พวกดาบ คือใช้อาวุธเยอะมาก เน้นบู๊จริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะฉากบู๊บนหลังม้า บางทีเราต้องขึ้นม้าลงม้าบ่อยๆ ซึ่งท่าที่ท่านมุ้ย Design แต่ละท่า ที่ท่านอยากจะให้เราทำก็ค่อนข้างยาก แต่ด้วยความที่เรามีความสามารถที่จะ Save ตัวเองอยู่ ก็ไม่น่าจะทำให้เรามีปัญหาหรือบาดเจ็บอะไร

Mr. Coffee : จริงๆ ด้วยทักษะยิมนาสติกอย่างที่ปันปันมีมาก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

ปันปัน : จริงๆ จะมีปัญหาเรื่องท่าทางมากกว่า คือเราพอจะบู๊แล้วมันก็แบบว่าจะออกแนวหวานอยู่เรื่อย แต่ความจริงบู๊มันก็ต้องหนัก ต้องเตะหนัก ก็ยังดีที่เราเคยได้ออกกำลังกายแบบต่อยมวยมาแล้วบ้าง

Mr. Coffee : อยากให้พูดถึงบทบาท “เม้ยมะนิก” ที่ได้รับในหนังเรื่องนี้ครับ

ปันปัน : ความจริงแล้ว “เม้ยมะนิก” เป็นคนที่มีเชื้อชาติเหมือนพี่แอฟที่เล่นเป็นมณีจันทร์เลยค่ะ คือเป็นลูกครึ่งมอญกับพม่า แต่คุณพ่อของเรา พระเจ้าศรีสุธรรมราชา เป็นพม่า แต่ว่าไปแต่งงานกับชาวมอญ ก็เลยทำให้เกิดปัญหากัน พ่อเราเลยโดนพม่าฆ่า เพราะไม่ชอบที่พ่อเราไปแต่งงานกับชาวมอญ มีปัญหากัน แล้วเราก็เลยแค้นมาก ว่าทำไมเขาต้องมาฆ่าพ่อแม่เราด้วยล่ะ จากนั้น จากที่พ่อแม่เราโดนฆ่า เลยทำให้เราต้องหนีออกมาอยู่ในป่า มาคุ้มครองประชาชนของเราด้วย ซึ่งเป็นชาวรามัญหรือชาวมอญ ซึ่งตอนนั้นมอญกับพม่าไม่ถูกกัน จากที่เราเป็นเจ้าหญิงก็เลยต้องกลายเป็นโจรไปเลย ต้องบุกป่าฝ่าดง หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นผู้ชายได้ เพราะก็ไม่ได้ทำอะไรที่เหมือนผู้หญิงทำเลย คือต้องรบอย่างเดียว ต้องสู้กับผู้ชาย

Mr. Coffee : บทบู๊เรื่องนี้ถือว่ายากมั้ย เมื่อเทียบกับที่เคยเล่นแต่ดราม่ามา

ปันปัน : ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้เหมือนกันค่ะ ก็ไม่คิดว่ายิมนาสติกมันจะมาแปลงเป็นบู๊ได้ แต่ว่าความจริงมันแปลงได้ แล้วก็คิดว่า มันไม่ได้ยากเกินความสามารถของเรา ถ้าเรามีความพยายามจริงๆ เพราะตอนนั้นก็เหมือนว่าเราพยายามจะตั้งสติตลอดเวลาว่า เราก็ภูมิใจทุกครั้งที่ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในกอง ถึงแม้จะเหนื่อยขนาดไหน เราก็รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ได้รับเลือกให้มาแสดง ณ จุดนี้ ก็เลยพยายามตั้งใจทำเท่าที่จะทำได้ แต่อาจจะมีบางซีนที่ยากเกินไปหรือทำไม่ได้ ทุกคนก็พยายามช่วยกัน ปรับเปลี่ยนกัน อย่างเช่น ม้าของเม้ยมะนิกจะขี่คู่กับม้าของพระเอกาทศรถตลอด เพราะว่าเราไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด ก็เลยได้คำแนะนำจากพี่ต๊อด ในเรื่องการขี่ม้า หนูเอาม้าอยู่ก็เพราะพี่ต๊อด พี่ต๊อดแกบอกควบไปควบไป แต่ครูยังไม่ได้สอนควบ มาถึงพี่ต๊อดก็บอกให้ปันปันทำเลย แต่สุดท้ายก็ควบม้าได้ หนูเล่นฉากม้าได้ก็เพราะพี่ต๊อดค่ะ

Mr. Coffee : ระหว่างการเล่นหนังกับละครแตกต่างกันมากมั้ย

ปันปัน : ความจริงหนูก็ไปแบบเริ่มจากศูนย์จริงๆ ในการเล่นภาคนี้ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับหนังอะไรเลย และจากที่เล่นละครมา ละครต้องแข่งกับเวลามากกว่าหนัง และต้องเน้นการสื่อสารทางอารมณ์ค่อนข้างมากกว่า คือหนังของท่านมุ้ยไม่ได้จำกัดเรื่องของเวลาอะไรมากนัก ค่อนข้างที่จะเน้นคุณภาพโดยเฉพาะภาคนี้ และท่านมุ้ยก็ลงมือทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่ตัดต่อจนถึงกำกับ หนูว่าสำหรับเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้เน้นบทบู๊ด้วย ก็เลยจะเน้นเรื่อง Physical มากกว่าบทพูดซึ่งก็มีแต่อาจจะน้อยหน่อย เพราะไม่ค่อยต้องการการสื่อสารทางอารมณ์หรือตาม Script มากเท่าละคร คือละครต้องจำบท คิดในด้านอารมณ์เยอะกว่า สำหรับหนังนี่จะเป็นด้านภาพใหญ่มากกว่า ซึ่งหนูชอบหนัง เพราะตัวเองก็เป็นคนชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย

Mr. Coffee : บท “เม้ยมะนิก” นี่เป็นยังไง
ปันปัน : “เม้ยมะนิก” เป็นบทที่ท้าทาย น่าตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ คือกว่าที่หนูจะผัน Character จากเรียบร้อยมาบู๊ขนาดนี้ก็ถือว่ายาก และถ้าไม่ใช่เพราะท่านมุ้ย หนูก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่าด้วย ด้วยความที่ละครที่ผ่านมา มันเหมือนจะมีบล็อกแบบนางเอกละครที่ค่อนข้างจะจำกัดในด้านของ Character นิดนึง อาจจะมีนางเอกเรียบร้อย นางเอกแก่นแก้ว แต่บทที่บู๊จริงๆ และบู๊หนักขนาดนี้คงยาก แต่จริงๆ หนูเป็นคนชอบดูหนังบู๊ผู้หญิงนะ ไม่ว่าจะเป็น Charlie's Angels The Hunger Game หรือ Avatar นี่ก็ชอบมาก อาจเพราะหนูก็เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือด้วย พอมาดูหนังอย่าง Harry Potter หรือ Twilight ก็ชอบมาด้วย เป็นคอหนังตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เพราะคุณพ่อหนูก็ชอบดูหนังด้วยค่ะ

Mr. Coffee : แล้วมีหนังแนวไหนที่อยากเล่นอีก

ปันปัน : หนูเคยเรียน Acting แล้วเขาให้ไป Research ตัวละคร แล้วอาจารย์เขาให้หนูไป Research ตัว Neytiri นางเอกเรื่อง Avatar สนุกมากค่ะ ซึ่งเขาใช้ธนูตลอดเรื่องเหมือนกับ Katniss ใน The Hunger Game ส่วนบท “เม้ยมะนิก” ก็เป็นบู๊ในอีกแบบหนึ่ง แต่เป็นบู๊แบบไทย ก็คิดว่า ซึ่งถ้าได้บู๊แบบฝรั่ง ก็น่าจะท้าทายไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน หนังแนวสายลับอย่าง Charlie's Angels ก็ชอบ โดยเฉพาะ Katniss ใน The Hunger Game นี่ชอบมาก

Mr. Coffee : เรื่องอื่นๆ ล่ะ

ปันปัน : ตอนนี้ก็มีอย่าง Katniss ใน The Hunger Game กับอีกเรื่องคือ Divergent ซึ่งเอาเข้าจริงตอนที่หนูดูตอนแรก ตัวละครมันก็คล้ายๆ กันเลย ทั้งสไตล์ ทั้งมาด ทั้งหุ่นก็คล้ายๆ กัน ก็ชอบค่ะ โดยเฉพาะหนังที่ผ่านมาไม่นาน ที่ชอบก็อย่าง Les Misérables ที่หลายคนบอกว่าน่าเบื่อแต่หนูชอบมาก อาจจะเป็นเพราะหนูชอบ Anne Hathaway มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย ตัวเองคิดว่า Anne Hathaway เป็นหนึ่งในนักแสดง Hollywood ไม่กี่คนที่มีพัฒนาการมาก ตั้งแต่เขาเล่น The Princess Diaries คือตอนนั้น ยังแบบค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ แต่หนูก็ชอบตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งมาตอนนี้ เหมือนเขาพัฒนาตัวเองเยอะมาก หลังจากทุกเรื่องที่เขาเล่น Character จะไม่ซ้ำกันเลย หนูรู้สึกว่าเขาจริงจังกับการเล่นหนังมาก ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าตัวเองมีโอกาสเล่นหนังบ้าง พัฒนาการจะเป็นสิ่งสำคัญ อีกคนหนึ่งที่ชอบก็คือ Natalie Portman คนนี้หายไปนาน

Mr. Coffee : ชอบ Black Swan มั้ย

ปันปัน : หนูชอบหนังบัลเลย์มาก เพราะหนูเต้นบัลเลต์ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นหนังบัลเลต์ก็จะดูทุกเรื่อง อย่าง Center Stage ก็ชอบมาก พวกหนังเต้นก็ชอบ เพราะตัวเองก็เต้นด้วย ทำหลายอย่างไปมั้ย แต่พอมาเรื่อง Black Swan ก็รู้สึกว่า Swan Lake ทั้งเรื่อง ได้ยินเพลง Swan Lake ในตัวอย่างก็ตั้งใจว่ายังไงต้องดู แต่ไปๆ มาๆ พอเข้าไปดูจริง มันเป็นหนังจิตๆ กว่าที่คิดไว้มาก แต่หนูก็ดูหลายรอบนะ แม้จะคิดไม่ถึง ว่าหนังบัลเลย์ที่ตัวเองจินตนาการไว้มันจะออกมาเป็นแบบนั้น เพราะบรรยากาศมันดูน่ากลัวลึกๆ มันซึมๆ อยู่ในความรู้สึก อาจเป็นเพราะช่วงนั้นยังเด็กอยู่ด้วยมั้งค่ะ คือดูแล้วรู้สึกกดดัน และอึดอัด แต่ในฐานะที่เป็นนักบัลเลต์ด้วยก็เข้าใจว่าคนแบบนี้ต้องมีอยู่จริง เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้วในโลกจริงๆ นักบัลเลต์แบบนี้ก็คงไม่เกินไปจากความเป็นจริง เพราะนักบัลเลต์จริงๆ จะต้องเจอความเครียดเยอะ อาจเยอะกว่าในหนังด้วยซ้ำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่