^^ กาลครั้งหนึ่งประมาณสิบกว่าปีก่อน ผมเริ่มสูบบุหรี่เป็นครั้งแรกตอนประมาณ ม. 5 เป็นบุหรี่ที่ขโมยมาจากเพื่อน เพื่อนหัวฟูคนนี้ชอบเก็บบุหรี่ไว้ใต้โต๊ะ เพื่อเอาไว้สูบตอนพักเที่ยง โดยเหตุที่ต้องขโมยเพราะผมเคยขอลองแล้วมันไม่ให้สูบ มันบอกว่าติดแล้วเลิกยาก แต่ด้วยความที่อยากลอง ก็เลยขโมยมันมาสูบจนได้ ถ้าจำไม่ผิด บุหรี่ตัวนั้นน่าจะเป็นแอลเอ็มเขียว สัมผัสแรกผมไม่รู้สึกถึงความอร่อยหรือรสชาติที่ทำให้คนติดมันเลย แต่ก็พยายามสูบจนหมดตัว ตอนนั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทาง แล้วก็ไม่สูบอีกเลย จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย ...
มหา'ลัยที่ผมเรียนบังคับให้นักศึกษาทุกคนต้องอยู่หอใน และตึกที่ผมพักก็เต็มไปด้วยผู้ชายเถื่อนๆ ห่ามๆ พวกบ้าพลังที่ไม่ยอมอยู่เฉยเมื่อมีเวลาว่างตรงกัน นั่นนำมาซึ่งการตั้งวงดื่มสุรายาเมา (ต้องใช้คำนี้เพราะเครื่องดื่มมีหลายขนานมาก ทั้งเบียร์ เหล้า (มังกรทอง แสงโสม หงษ์ทอง เน้นเหล้าไทยเพราะยังไม่ค่อยมีตังค์กันเท่าไร) เพียวๆ เหล้าขาว (ผสมน้ำแดง หรือเอ็มร้อย) เหล้าอุ ยาดอง ฯลฯ) อะไรที่กินแล้วเมา บรรดาผองเพื่อนผู้น่ารักก็สรรหามาสาดลงคอกันไม่เว้นแต่ละวัน แน่นอน การสูบบุหรี่อยู่คู่กับวงเหล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แรกๆ ผมก็ใจแข็ง ไม่สูบมัน แต่ใจก็แข็งได้ไม่นาน เมื่อเห็นเพื่อนสูบกันพร้อมหน้า ผมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะลองมันอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีแอลกอฮอล์ช่วยขับเคลื่อน รสชาติมันดีขึ้นมากผิดกับครั้งแรกเมื่อปีสองปีก่อน แต่ในช่วงปี 1-2 ในคราบนักศึกษา ผมก็จำกัดการสูบอยู่เฉพาะในวงเหล้าเท่านั้น ...
จนน่าจะประมาณปี 3 หลังจากฝึกวิทยายุทธความเมามายจนแกร่งกล้า การหยิบบุหรี่มาสูบทั้งๆ ที่ไม่ได้กำลังกินเหล้าก็เกิดถี่ขึ้นๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าติดมัน คือ เวลากลับบ้านมาอยู่กับพ่อแม่ หรืออยู่กับแฟน ผมก็อยู่โดยไม่สูบได้เป็นสัปดาห์ๆ ...
เวลาผ่านมาจนผมได้เรียนต่อ ทำงาน และย้ายลงมาอยู่กรุงเทพฯ การสูบบุหรี่ก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เดินเข้าซอย เดินออกซอย เดินไปทำงาน เดินไปกินข้าวกลางวัน เดินไปรับแฟน และสารพัดที่ได้เดิน (คนเดียว) ผมจะหยิบมันขึ้นมาจุดเสมอๆ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตัวว่าติดบุหรี่ ยังคิดอยู่ว่าเราอยู่โดยไม่สูบได้ อย่างเราไม่เรียกว่าติดหรอก เรื่องปกติใครๆ ก็สูบกัน ผู้ใหญ่โตๆ ตำแหน่งใหญ่ๆ ยังสูบกันเลย นับประสาอะไรกับเด็กอย่างเรา ...
แต่ทุกครั้งที่เดินผ่านร้านเจ๊หมวย (ร้านชำในซอย) ร้านพี่นก (ร้านชำแถวที่ทำงาน) และร้านลุงแว่น (ร้านชำแถวมหา'ลัย) ผมก็ต้องซื้อบุหรี่แบ่งขายติดกระเป๋าไว้ทุกครั้ง ...
กระทั่งอายุเข้าประมาณ 26-27 ขวบ ผมได้ทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง โดยมีตำแหน่งอยู่ในฝ่ายศิลป์ แน่นอนว่าพอขึ้นชื่อว่าศิลปะ เราก็มักหา "ข้ออ้าง" ในการสูบบุหรี่ได้ง่ายขึ้น
อ้างว่าต้องคิดงาน อ้างว่าเครียด อ้างว่าสูบเพราะต้องคุยงานกับเพื่อน และสารพัดข้ออ้างที่ทำให้เราสูบบุหรี่ต่อไปโดยรู้สึกผิดน้อยลง - เท่าที่จำได้ช่วงนั้นเดินออกจากบ้านมาขึ้นรถปากซอย ผมจะสูบ 1 มวน ระหว่างรอรถออก ผมก็จะสูบอีก 1 มวน มาถึงออฟฟิศหลังจากกินอาหารเช้าในครัว ผมกับผองเพื่อนอาร์ตติสต์ก็จะสูบก่อนเริ่มงาน 9.00 น. อีกคนละมวนหรือสองมวน (ช่วงเช้าอย่างน้อยซัดไป 3 มวนแล้ว) พักเที่ยงผมว่าอาจจะอีก 1-2 มวน แล้วแต่สถานการณ์ (ถ้าออกไปกินข้าวนอกออฟฟิศ มีสูบเพิ่มพิเศษแน่ๆ) ตกเย็นมีแน่นอนอีก 1-2 มวน และถ้าต้องอยู่เคลียร์งาน หรือมีสังสรรค์ต่อ ก็ไม่ต้องนับกันแล้ว นั่นยังไม่รวมการสูบระหว่างวัน เวลาเครียด เวลาโดนเจ้านายด่า เวลาคิดงานไม่ออก หรือเวลาเดินมาเข้าห้องน้ำแล้วแวะสูบสักมวน
สรุปเฉลี่ยน่าจะวันละ 6 มวนอย่างต่ำ ...
พอผมออกจากบริษัทนั้นมา ก็ยังคงสูบต่อไป จนถึงอายุประมาณ 28 ความคิดจะเลิกบุหรี่ผุดขึ้นมาในหัว ...
การเลิกบุหรี่ครั้งที่ 1
ช่วงนั้น ผมมีปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับแฟน มีบางเรื่องทำให้ผมไม่พอใจ แต่ผมมักเก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดมันออกไป และหันกลับมาวิ่งมาราธอน (ผมเป็นนักวิ่งมาตั้งแต่เด็ก แต่งดมาตั้งแต่ช่วงชีวิตวัยรุ่นขี้เมา) เอาความโกรธไปลงกับรองเท้าและสาวเท้าไปรอบๆ สนาม การกลับมาวิ่งทำให้ผมต้องเลิกบุหรี่ เพราะตั้งใจจะวิ่งให้ดี ประกอบกับคำแนะนำจากเพื่อนหมอผู้แสนดี เลยเอาจริงเอาจังกับปฐมบทการเลิกบุหรี่ ตอนนั้นอาศัยหมากฝรั่งนิโคติน (ซึ่งราคาแพงและรสชาติห่วยแตกมาก) ลูกอม ขนม น้ำหวาน หรือของขบเคี้ยวต่างๆ ในการคลายความยาก การเลิกครั้งนี้เป็นการพยายามลดเสียมากกว่า คือไม่ได้หักดิบ แต่จะเลือกสูบเฉพาะเวลา อย่างเช่นหลังออกกำลังกายหนักๆ ใช่ครับ ผมวิ่งมาเป็นสิบกิโล เพื่อจะแลกกับการสูบบุหรี่ตัวสองตัว ผมเอาความเหนื่อยมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะได้สูบบุหรี่โดยไม่รู้สึกผิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดเต็มๆ ...
หมากฝรั่งช่วยผมได้บ้าง แต่ก็ไม่ตลอด ผมจำไม่ได้ว่าเลิกได้กี่วัน แต่หลังจากผมแก้ปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้ลงตัว หลังจากสบายใจแล้วผมก็กลับมาสูบมันอีก แต่น้อยลงกว่าเดิม และไม่ได้พยายามจะเลิกให้เด็ดขาด ...
การเลิกบุหรี่ครั้งที่ 2
ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปีใหม่ 2558 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นประมาณ 1 ปี เรียกได้ว่าผมสูบเยอะมาก เนื่องจากอยู่ไกลจากแฟน และต้องดูแลกิจการส่วนตัวที่ผมต่อสู้ดิ้นรนเปิดขึ้นมา ความเครียดประกอบการที่ไม่ต้องเกรงใจใคร ทำให้ผมกลับมาสูบเฉลี่ยวันละ 6 มวนอีกครั้ง แรกๆ ซื้อทีละซอง (สมัยก่อน ผมไม่ค่อยซื้อเป็นซอง เพราะรู้ตัวว่าสูบจัด) หลังๆ เริ่มลดมาเป็นซื้อแบ่งขาย แอลเอ็มเขียวเล็ก 20 บาท จะได้มา 6 ตัว ก่อนทำงาน หลังกินข้าว ระหว่างกินกาแฟ ระหว่างใช้ความคิด โดยเฉพาะเวลากินกาแฟกับรุ่นพี่ๆ ก็จะมีบุหรี่ให้สูบไม่ขาดตอน ทุกกระบวนการมีบุหรี่เป็นองค์ประกอบ ด้วยความที่เป็นออฟฟิศของเราเอง ผมเลยสูบได้โดยไม่ต้องเกรงใจใครมากนัก จนถึงคืนข้ามปีที่เกริ่นไว้ ผมเจอแฟนกับครอบครัวที่งานฉลองปีใหม่ของห้างแห่งหนึ่ง วันนั้นผมสูบบุหรี่ไป ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้พ่อกับแม่ของเธอมากนัก รวมถึงแม่ของผมเองด้วย อีกสองสามวันต่อมา ผมก็ตัดสินใจเลิกบุหรี่ ...
รอบนี้ไม่ได้ใช้หมากฝรั่งนิโคตินช่วย แต่ใช้หลักจิตวิทยา โดยบอกกับทุกคนรอบๆ ตัวว่าผมจะเลิกบุหรี่ เพราะผมพูดไปแล้ว ผมเลยไม่กล้าสูบให้ใครเห็นอีก อาศัยการแข็งใจแต่ก็ได้ไม่นานอีกแล้ว ผมเลิกได้จนถึงช่วงกลางกุมภาพันธ์ แล้วปัญหาก็เกิด งานที่ออฟฟิศผมมีปัญหา ผมไม่สามารถแก้ไขได้ จนต้องเสียลูกค้ารายใหญ่ไป และคืนเงินมัดจำหลักหมื่นบาท เสียดายทั้งลูกค้า เสียดายทั้งเงินแสน ประกอบกับเพื่อนๆ ในวงสุราและสภากาแฟที่ยังสูบบุหรี่กันเสมอต้นเสมอปลาย ผมเลยกลับมาสูบอีกครั้ง และครั้งนี้เหมือนจะหนักกว่าเดิม หนักถึงขนาดอยู่บ้านกับแม่แล้ว ยังหาข้ออ้างไปเซเว่น เพื่อจะแอบสูบบุหรี่ (ก่อนหน้านี้ เข้าบ้านแล้วถือว่าหมดสิทธิ์สูบเด็ดขาด) ที่สำคัญ การสูบบุหรี่หนักครั้งนี้มาพร้อมกับการดื่มหนักเช่นกัน ...
การเลิกบุหรี่ครั้งสุดท้าย
ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ผมมีปัญหาความรักอีกครั้ง มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและดับไฟความฝันของผมลงทีละดวงๆ ปัญหาเรื่องงานที่ยังแก้ไม่ตก โดนปัญหาภายในจิตใจกระทืบซ้ำ ในวัย 29 ย่างเข้า 30 แบบนี้ ผมเพิ่งกลับมานั่งพิจารณาตัวเอง จนพบข้อเสียที่เด่นชัดมาเป็นข้อแรกๆ นั่นคือ
การดื่มและการสูบเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ซึ่งมันทำลายหลายๆ อย่าง รวมถึงความรักที่แฟนผมมีให้มาตลอด ผมต้องการแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าวโดยขั้นแรกต้องเลิกบุหรี่ให้ได้เด็ดขาด เลิกแบบหักดิบกันไปเลย ...
แอพ Time To Quit Smoke ผมโหลดมาบันทึกระยะเวลาการเลิกบุหรี่ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถ้าผมยังสูบบุหรี่ต่อใน 31 วันที่ผ่านมา = ผมจะสูบไปแล้ว 187 มวน เสียเงินไปแล้ว 561 บาท และใช้เวลา 12 ชั่วโมงครึ่งอยู่กับการสูบบุหรี่
เล่าย้อนไปนิดหนึ่งนะครับ วันที่ 13 พฤษภาคม เป็นวันที่ผมเข้ามาตั้งกระทู้แรกที่นี่ (
http://ppantip.com/topic/33645891 # ขอเวลา 5 เดือน ผมจะเอา 9 ปีของเราคืนมา) ถือเป็นวันแรกที่ผมเลิกบุหรี่และของมึนเมาอย่างเด็ดขาด ระหว่างทางจนมาถึงวันนี้ ยอมรับว่าเครียด อยากสูบ และอยากดื่มบ้าง โดยเฉพาะบุหรี่ ผมยังต้องเห็นเพื่อนฝูงสูบอยู่ทุกๆ วัน และยังมีรุ่นพี่แสนดีที่พยายามทดสอบจิตใจโดยชวนผมสูบแทบทุกวัน มันโคตรทรมานที่คนที่กำลังเลิกต้องมานั่งอยู่ท่ามกลางคนสูบ แต่ผมก็ผ่านมันมาได้เป็นอย่างดี แต่ละวันผมจะคิดเสมอว่า
ผมทำเพื่อเธอ และวันนี้ก็ครบเวลา 1 เดือนที่ผมละจากอบายมุขสองสิ่งนี้ได้ ตอนนี้ผมสามารถนั่งกินกาแฟกับคนสูบบุหรี่ได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่คิดอยากสูบ บันไดขั้นแรกของผมสำเร็จแล้ว และผมจะไม่มีวันกลับไปสูบมันอีกต่อให้เครียดหรือมีปัญหามากมายขนาดไหนก็ตาม ...
พูดได้เต็มปากครับว่า "ความรักชนะทุกสิ่ง"
31 วันกับการเลิกบุหรี่ครั้งสุดท้าย (เพราะเธอ)
มหา'ลัยที่ผมเรียนบังคับให้นักศึกษาทุกคนต้องอยู่หอใน และตึกที่ผมพักก็เต็มไปด้วยผู้ชายเถื่อนๆ ห่ามๆ พวกบ้าพลังที่ไม่ยอมอยู่เฉยเมื่อมีเวลาว่างตรงกัน นั่นนำมาซึ่งการตั้งวงดื่มสุรายาเมา (ต้องใช้คำนี้เพราะเครื่องดื่มมีหลายขนานมาก ทั้งเบียร์ เหล้า (มังกรทอง แสงโสม หงษ์ทอง เน้นเหล้าไทยเพราะยังไม่ค่อยมีตังค์กันเท่าไร) เพียวๆ เหล้าขาว (ผสมน้ำแดง หรือเอ็มร้อย) เหล้าอุ ยาดอง ฯลฯ) อะไรที่กินแล้วเมา บรรดาผองเพื่อนผู้น่ารักก็สรรหามาสาดลงคอกันไม่เว้นแต่ละวัน แน่นอน การสูบบุหรี่อยู่คู่กับวงเหล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แรกๆ ผมก็ใจแข็ง ไม่สูบมัน แต่ใจก็แข็งได้ไม่นาน เมื่อเห็นเพื่อนสูบกันพร้อมหน้า ผมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะลองมันอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีแอลกอฮอล์ช่วยขับเคลื่อน รสชาติมันดีขึ้นมากผิดกับครั้งแรกเมื่อปีสองปีก่อน แต่ในช่วงปี 1-2 ในคราบนักศึกษา ผมก็จำกัดการสูบอยู่เฉพาะในวงเหล้าเท่านั้น ...
จนน่าจะประมาณปี 3 หลังจากฝึกวิทยายุทธความเมามายจนแกร่งกล้า การหยิบบุหรี่มาสูบทั้งๆ ที่ไม่ได้กำลังกินเหล้าก็เกิดถี่ขึ้นๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าติดมัน คือ เวลากลับบ้านมาอยู่กับพ่อแม่ หรืออยู่กับแฟน ผมก็อยู่โดยไม่สูบได้เป็นสัปดาห์ๆ ...
เวลาผ่านมาจนผมได้เรียนต่อ ทำงาน และย้ายลงมาอยู่กรุงเทพฯ การสูบบุหรี่ก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เดินเข้าซอย เดินออกซอย เดินไปทำงาน เดินไปกินข้าวกลางวัน เดินไปรับแฟน และสารพัดที่ได้เดิน (คนเดียว) ผมจะหยิบมันขึ้นมาจุดเสมอๆ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตัวว่าติดบุหรี่ ยังคิดอยู่ว่าเราอยู่โดยไม่สูบได้ อย่างเราไม่เรียกว่าติดหรอก เรื่องปกติใครๆ ก็สูบกัน ผู้ใหญ่โตๆ ตำแหน่งใหญ่ๆ ยังสูบกันเลย นับประสาอะไรกับเด็กอย่างเรา ...
แต่ทุกครั้งที่เดินผ่านร้านเจ๊หมวย (ร้านชำในซอย) ร้านพี่นก (ร้านชำแถวที่ทำงาน) และร้านลุงแว่น (ร้านชำแถวมหา'ลัย) ผมก็ต้องซื้อบุหรี่แบ่งขายติดกระเป๋าไว้ทุกครั้ง ...
กระทั่งอายุเข้าประมาณ 26-27 ขวบ ผมได้ทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง โดยมีตำแหน่งอยู่ในฝ่ายศิลป์ แน่นอนว่าพอขึ้นชื่อว่าศิลปะ เราก็มักหา "ข้ออ้าง" ในการสูบบุหรี่ได้ง่ายขึ้น อ้างว่าต้องคิดงาน อ้างว่าเครียด อ้างว่าสูบเพราะต้องคุยงานกับเพื่อน และสารพัดข้ออ้างที่ทำให้เราสูบบุหรี่ต่อไปโดยรู้สึกผิดน้อยลง - เท่าที่จำได้ช่วงนั้นเดินออกจากบ้านมาขึ้นรถปากซอย ผมจะสูบ 1 มวน ระหว่างรอรถออก ผมก็จะสูบอีก 1 มวน มาถึงออฟฟิศหลังจากกินอาหารเช้าในครัว ผมกับผองเพื่อนอาร์ตติสต์ก็จะสูบก่อนเริ่มงาน 9.00 น. อีกคนละมวนหรือสองมวน (ช่วงเช้าอย่างน้อยซัดไป 3 มวนแล้ว) พักเที่ยงผมว่าอาจจะอีก 1-2 มวน แล้วแต่สถานการณ์ (ถ้าออกไปกินข้าวนอกออฟฟิศ มีสูบเพิ่มพิเศษแน่ๆ) ตกเย็นมีแน่นอนอีก 1-2 มวน และถ้าต้องอยู่เคลียร์งาน หรือมีสังสรรค์ต่อ ก็ไม่ต้องนับกันแล้ว นั่นยังไม่รวมการสูบระหว่างวัน เวลาเครียด เวลาโดนเจ้านายด่า เวลาคิดงานไม่ออก หรือเวลาเดินมาเข้าห้องน้ำแล้วแวะสูบสักมวน สรุปเฉลี่ยน่าจะวันละ 6 มวนอย่างต่ำ ...
พอผมออกจากบริษัทนั้นมา ก็ยังคงสูบต่อไป จนถึงอายุประมาณ 28 ความคิดจะเลิกบุหรี่ผุดขึ้นมาในหัว ...
การเลิกบุหรี่ครั้งที่ 1
ช่วงนั้น ผมมีปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับแฟน มีบางเรื่องทำให้ผมไม่พอใจ แต่ผมมักเก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดมันออกไป และหันกลับมาวิ่งมาราธอน (ผมเป็นนักวิ่งมาตั้งแต่เด็ก แต่งดมาตั้งแต่ช่วงชีวิตวัยรุ่นขี้เมา) เอาความโกรธไปลงกับรองเท้าและสาวเท้าไปรอบๆ สนาม การกลับมาวิ่งทำให้ผมต้องเลิกบุหรี่ เพราะตั้งใจจะวิ่งให้ดี ประกอบกับคำแนะนำจากเพื่อนหมอผู้แสนดี เลยเอาจริงเอาจังกับปฐมบทการเลิกบุหรี่ ตอนนั้นอาศัยหมากฝรั่งนิโคติน (ซึ่งราคาแพงและรสชาติห่วยแตกมาก) ลูกอม ขนม น้ำหวาน หรือของขบเคี้ยวต่างๆ ในการคลายความยาก การเลิกครั้งนี้เป็นการพยายามลดเสียมากกว่า คือไม่ได้หักดิบ แต่จะเลือกสูบเฉพาะเวลา อย่างเช่นหลังออกกำลังกายหนักๆ ใช่ครับ ผมวิ่งมาเป็นสิบกิโล เพื่อจะแลกกับการสูบบุหรี่ตัวสองตัว ผมเอาความเหนื่อยมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะได้สูบบุหรี่โดยไม่รู้สึกผิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดเต็มๆ ...
หมากฝรั่งช่วยผมได้บ้าง แต่ก็ไม่ตลอด ผมจำไม่ได้ว่าเลิกได้กี่วัน แต่หลังจากผมแก้ปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้ลงตัว หลังจากสบายใจแล้วผมก็กลับมาสูบมันอีก แต่น้อยลงกว่าเดิม และไม่ได้พยายามจะเลิกให้เด็ดขาด ...
การเลิกบุหรี่ครั้งที่ 2
ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปีใหม่ 2558 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นประมาณ 1 ปี เรียกได้ว่าผมสูบเยอะมาก เนื่องจากอยู่ไกลจากแฟน และต้องดูแลกิจการส่วนตัวที่ผมต่อสู้ดิ้นรนเปิดขึ้นมา ความเครียดประกอบการที่ไม่ต้องเกรงใจใคร ทำให้ผมกลับมาสูบเฉลี่ยวันละ 6 มวนอีกครั้ง แรกๆ ซื้อทีละซอง (สมัยก่อน ผมไม่ค่อยซื้อเป็นซอง เพราะรู้ตัวว่าสูบจัด) หลังๆ เริ่มลดมาเป็นซื้อแบ่งขาย แอลเอ็มเขียวเล็ก 20 บาท จะได้มา 6 ตัว ก่อนทำงาน หลังกินข้าว ระหว่างกินกาแฟ ระหว่างใช้ความคิด โดยเฉพาะเวลากินกาแฟกับรุ่นพี่ๆ ก็จะมีบุหรี่ให้สูบไม่ขาดตอน ทุกกระบวนการมีบุหรี่เป็นองค์ประกอบ ด้วยความที่เป็นออฟฟิศของเราเอง ผมเลยสูบได้โดยไม่ต้องเกรงใจใครมากนัก จนถึงคืนข้ามปีที่เกริ่นไว้ ผมเจอแฟนกับครอบครัวที่งานฉลองปีใหม่ของห้างแห่งหนึ่ง วันนั้นผมสูบบุหรี่ไป ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้พ่อกับแม่ของเธอมากนัก รวมถึงแม่ของผมเองด้วย อีกสองสามวันต่อมา ผมก็ตัดสินใจเลิกบุหรี่ ...
รอบนี้ไม่ได้ใช้หมากฝรั่งนิโคตินช่วย แต่ใช้หลักจิตวิทยา โดยบอกกับทุกคนรอบๆ ตัวว่าผมจะเลิกบุหรี่ เพราะผมพูดไปแล้ว ผมเลยไม่กล้าสูบให้ใครเห็นอีก อาศัยการแข็งใจแต่ก็ได้ไม่นานอีกแล้ว ผมเลิกได้จนถึงช่วงกลางกุมภาพันธ์ แล้วปัญหาก็เกิด งานที่ออฟฟิศผมมีปัญหา ผมไม่สามารถแก้ไขได้ จนต้องเสียลูกค้ารายใหญ่ไป และคืนเงินมัดจำหลักหมื่นบาท เสียดายทั้งลูกค้า เสียดายทั้งเงินแสน ประกอบกับเพื่อนๆ ในวงสุราและสภากาแฟที่ยังสูบบุหรี่กันเสมอต้นเสมอปลาย ผมเลยกลับมาสูบอีกครั้ง และครั้งนี้เหมือนจะหนักกว่าเดิม หนักถึงขนาดอยู่บ้านกับแม่แล้ว ยังหาข้ออ้างไปเซเว่น เพื่อจะแอบสูบบุหรี่ (ก่อนหน้านี้ เข้าบ้านแล้วถือว่าหมดสิทธิ์สูบเด็ดขาด) ที่สำคัญ การสูบบุหรี่หนักครั้งนี้มาพร้อมกับการดื่มหนักเช่นกัน ...
การเลิกบุหรี่ครั้งสุดท้าย
ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ผมมีปัญหาความรักอีกครั้ง มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและดับไฟความฝันของผมลงทีละดวงๆ ปัญหาเรื่องงานที่ยังแก้ไม่ตก โดนปัญหาภายในจิตใจกระทืบซ้ำ ในวัย 29 ย่างเข้า 30 แบบนี้ ผมเพิ่งกลับมานั่งพิจารณาตัวเอง จนพบข้อเสียที่เด่นชัดมาเป็นข้อแรกๆ นั่นคือ การดื่มและการสูบเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ซึ่งมันทำลายหลายๆ อย่าง รวมถึงความรักที่แฟนผมมีให้มาตลอด ผมต้องการแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าวโดยขั้นแรกต้องเลิกบุหรี่ให้ได้เด็ดขาด เลิกแบบหักดิบกันไปเลย ...
แอพ Time To Quit Smoke ผมโหลดมาบันทึกระยะเวลาการเลิกบุหรี่ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถ้าผมยังสูบบุหรี่ต่อใน 31 วันที่ผ่านมา = ผมจะสูบไปแล้ว 187 มวน เสียเงินไปแล้ว 561 บาท และใช้เวลา 12 ชั่วโมงครึ่งอยู่กับการสูบบุหรี่
เล่าย้อนไปนิดหนึ่งนะครับ วันที่ 13 พฤษภาคม เป็นวันที่ผมเข้ามาตั้งกระทู้แรกที่นี่ (http://ppantip.com/topic/33645891 # ขอเวลา 5 เดือน ผมจะเอา 9 ปีของเราคืนมา) ถือเป็นวันแรกที่ผมเลิกบุหรี่และของมึนเมาอย่างเด็ดขาด ระหว่างทางจนมาถึงวันนี้ ยอมรับว่าเครียด อยากสูบ และอยากดื่มบ้าง โดยเฉพาะบุหรี่ ผมยังต้องเห็นเพื่อนฝูงสูบอยู่ทุกๆ วัน และยังมีรุ่นพี่แสนดีที่พยายามทดสอบจิตใจโดยชวนผมสูบแทบทุกวัน มันโคตรทรมานที่คนที่กำลังเลิกต้องมานั่งอยู่ท่ามกลางคนสูบ แต่ผมก็ผ่านมันมาได้เป็นอย่างดี แต่ละวันผมจะคิดเสมอว่า ผมทำเพื่อเธอ และวันนี้ก็ครบเวลา 1 เดือนที่ผมละจากอบายมุขสองสิ่งนี้ได้ ตอนนี้ผมสามารถนั่งกินกาแฟกับคนสูบบุหรี่ได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่คิดอยากสูบ บันไดขั้นแรกของผมสำเร็จแล้ว และผมจะไม่มีวันกลับไปสูบมันอีกต่อให้เครียดหรือมีปัญหามากมายขนาดไหนก็ตาม ...
พูดได้เต็มปากครับว่า "ความรักชนะทุกสิ่ง"