สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 127
"กูจะไปสะสางสิ่งที่ต้องทำ" ลุงพลสาวเท้าไปยังตำแหน่งของ พท.และ พอ. สองนายนั้นที่กำลังยืนสั่งการอยู่ในบังเกอร์อย่างรวดเร็ว วิ่งกึ่งหมอบกึ่งคลานหลบระเบิด ในใจนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อขึ้นมาทันที "ล้ะ"ลุงพลนึกได้ว่าก่อนหน้าที่ลุงพลเจ็บหนักก็เจอเหตุการณ์แบบเดียวกันและมันอาจจะจบลงแบบหนังม้วนเดิมก็เป็นได้ ลุงพลถีบตัวหลบลงหลุมบังเกอร์อย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจต่อมาตำแหน่งที่ลงพลอยู่เมื่อสักครู่นี้แตกกระจายด้วยแรงระเบิด เศษดินเศษหินกระเด็นไปทั่ว เงาสองตัวนะผละออกจาร่าง นายทหารทั้งสองคนลุงพลพยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอจรกระทั่งลูกกระสุนปืน ค.ตกใส่บังเกอร์ของนายทหารเคราะห์ร้ายนั้นแต่ก็ไม่ทำให้ถึงกับตายเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นลุงพลนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อ ไม่ว่าจะคนหรือผีเราไม่มีสิทธิจะไปตัดสินชะตาของเค้าว่าจะอยู่หรือไปทุกคนมีกรรมเป็นตัวกำหนดว่าจะให้เค้าไปสู่ทิศทางใหน ทุกอย่างชนะด้วยการให้อภัย ทันใดนั้นเอง เงาดำสองตัวก็มาปรากฏกายต่อหน้าลุงพลตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ มันพูดขึ้น "จะฆ่ากูไม่ใช่รึ ไอ้จ่า" มันเอียงคอถามพลางยิ้มด้วยรอยยิ้มอันน่าสะอิดสะเอียน "กูจะไม่สู้กับอีกแล้ว"ลุงพลสวนกลับด้วยท่าทีที่พยายามสงบนิ่ง "ทำไมรึ หรือต้องให้กูฆ่าลูกน้องอีกสักหน่อยเป็นไร" เงาดำอีกตัวตอบสายตาจ้องมองหน้าลุงพลราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ "ไม่ ถ้าทุกอย่างมันเริ่มที่กูก็จบที่กู!!" ลุงพลตอบพลางคุกเข่ามือขวากระชากสร้อยพระออกจากคอพร้อมกับปล่อยลงข้างลำตัว "ท้ากูหรอ!"เงาดำอีกตัวสบถด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ "กูไม่ได้ท้า บุญกุศลที่กูได้ทำกูขออุทิศให้ถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน อย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไป กูอโหสิ" ลุงพลตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นคอ เงาดำสองตัวนั้นต่างพากันมองลุงพลด้วยสายตาที่แปลก ลุงพลนั่งมองฟ้าที่ตอนนี้ใกล้จะเช้าเต็มที่ เสียงปืนยังคงยิงกันสนั่นต่อเนื่องระเบิดยังคงกึกก้องระเบิดเสียงไปทั่วบริเวณ "กูจะฆ่า"เสียงของเงาดำทะมึนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูสะใจ สายตาลุงพลมองขึ้นฟ้า น้ำตาชายชาติทหารเริ่มไหลอาบหน้าเมื่อคืดว่าตัวเองคงใกล้ถึงจุดจบชีวิตเต็มที ใบหน้าบุคคลในครอบครัวเริ่มผุดขึ้นมารวมถึงเพื่อนร่วมรบที่พลีชีพให้กับสงครามกับความเห็นต่างทางอุดมการณ์บ้าๆครั้งนี้ ลูกกระสุนปืน ค.ลูกหนึ่งแหวกว่ายจากอากาศเตรียมลงสู่พสุธาในตำแหน่งที่ลุงพลอยู่ มันใกล้เข้ามาทุกที ลุงพลเล่าว่าตอนนั้นทุกอย่างมันดูช้าไปหมด ทุกสรรพสิ่งหรือทุกๆอย่างมันดูช้าไปหมดราวกับกำลังกอหนังให้ช้าลงก็ไม่ปราน ลุงพลหลับตานิ่งในใจคิดเสียว่าเกิดมาชาตินี้ได้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถก็ดีแค่ใหนแล้ว
ปุกกก!! เสียงลูกกระสืนปืน ค. ร่วงลงสู่ข้างๆลำตัวของลุงพล ลุงพลค่อยๆลืมตามในใจคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้วเป็นแน่ แต่เมื่อสำรวจดูอีกทียังอยู่ครบ32ไม่สึกหรอก ส่วนกระสุนปืน ค.ลูกนั้นกลับไม่มีทีว่าว่าจะเริดอย่างใดเหมือนกระสุนด้านดีๆนี่เอง "ฮู่ววววววส์"ลุงพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงพิงหลุมบังเกอร์ไว้ มือเอื้อมไปหยิบสร้อยพระมาใส่ไว้ดังเดิม ตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เสียงปืนที่ระเบ็งเซ็งแซ่เริ่มมีประปราย จนชั่วครู่ ผกค ก็ถอยกลับเข้าป่าไปอีกครั้ง ลูกน้องลุงพลวิ่งมาเจอลุงพลนอนอยู่ในหลุมบังเกอร์ก็พากันตกใจนึกว่าลุงพลแกเป็นอะไรจึงรีบกระโดดลงหลุมแบกตัวจ่าไปยังเต้นท์พยาบาล ทั้งๆที่ลุงพลก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรๆ เล่ามาถึงตอนนี้ลุงพลแกหัวเราะขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นลุงพลก็ไม่เจอวิญญาณสองตัวนั้นอีกเลยจนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน ทางรัฐบาลไทยได้ประกาศเริ่มยุทธการผาเมืองเกียงไกรซึ่งต่อจากยุทธการไพรรี จนยึดพื้นที่ของ ผกค ได้ทั้งหมด ลุงพลเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญในหลายยุทธการและจะเป็นแนวหน้าทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญกับข้าศึก หลังจบจากสมรภูมนี้ ก็ยังมีอีกหลายครั้งที่ลุงพลได้เข้าร่วมประทะต่อสู้กับพวกขบวนการค้ายาเสพติด พวกชนกลุ่มน้อยหรือหว้าแดง ลุงพลแกรอดมาได้ทุกครั้งจนได้ขอย้ายลงไปประจำที่ค่ายทมหารแห่งหนึ่งในนราธิวาสช่วงที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นใหม่ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อายุอานามแกก็ไม่ใช่ว่าจะหนุ่มๆเหมือนเมื่อก่อน ลุงพลเกษียณตัวเองในยศ พันเอก. เพื่อมารักษาสุขภาพร่างกายที่บอบช้ำจากสงคราม สภาพร่างกายยังไม่เท่าไหร่แต่สภาพทางใจบางทีก็น่างเป็นห่วงครับ เพราะในหลายๆครั้งป้าเล่าว่าลุงพลแกมักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกวิ่งไปหยิบปืนลูกซองที่อยู่ในตู้มาไว้ข้างลำตัว ท่าทางดูตื่นๆ ยังเคยสั่งให้ป้าไปหาที่หลบบอกว่าจะมีข้าศึกมาบุก บางทีแกก็โวยวายบ้างอะไรบ้าง แต่ผมนับถือน้ำใจแกนะครับ แกคงผ่านเรื่องราวมาเยอะ รวมถึงยังให้ตะกรุดกับชาญหมากที่แกเคยใส่ออกรบมอบให้กับผมในวันเกิดอายุครบ20อีกด้วยครับ พวกเราเคยพาแกไปเที่ยวเขาค้อ เพระาแกอยากจะไป ก็เลยพาแกไป แกก็เล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็ชี้ว่าเนี่ยแกเคยนอนอยู่ตรงนี้ เคยทำนู่นทำนี่อยู่ตรงนี้ ผมก็ฟังพลางกยักหน้ารับ จนแกเล่าเรื่องที่ผมนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกันเนี่ยแหละครับ เราแวะไปที่อนุเสาวรีย์สมรภูมิเขาค้อ ลุงพลแกเดินไปมองที่ตรงนั้น ก่อนะจะร้องไห้ออกมา โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะอายใครเลยแม้แต่น้อย แกร้องอยู่อย่างนั้นจนป้าต้องค่อยๆเข้าไปโอบไหล่แล้วพาเดินออกมา จนกระทั่งวันกลับลุงพลบอกกับผมว่า สงครามไม่ได้บอกว่าใครคือผู้แพ้หรือผู้ชนะ มันบ่งบอกว่าเราจะกลับมาเป็นคนได้เหมือนเดิมไหมเมื่อกลับมาสู่ชีวิตในปัจจุบันที่เหลืออยู่ คำพูดนี้ทำผมขนลุกเลยครับ ผมเชื่อทุกถ้อยคำที่ลุงเล่าให้ฟัง เชื่อในสิ่งที่ลุงเจอ เพราะทหารแบบลุงผ่านอะไรมามากมายเหลือเกินครับ สุดท้ายยนี้ผมก็ขอสดุดีวีรชนทหารกล้าทุกนายที่ร่วมกันปกป้องผืนแผ่นดินไทยให้คงอยู่ไว้ในอธิปไตย เพื่อลูกหลานเพื่อพวกเราได้มีทุกวันนี้ครับผมและผมก็ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านหากท่านผู้อ่านคนใดรู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับผมแค่นำเรื่องราวของชีวิตทหารคนนึงมาตีแผ่ให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันแล้วก็ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านนะครับที่ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบผิดพลาดประการใดผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เด้วมีเรื่องหน้าจะมาแปะให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามกันอีกแน่นอนในเร็วๆนี้ครับ ขอบคุนครับผม ^/\^
ปุกกก!! เสียงลูกกระสืนปืน ค. ร่วงลงสู่ข้างๆลำตัวของลุงพล ลุงพลค่อยๆลืมตามในใจคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้วเป็นแน่ แต่เมื่อสำรวจดูอีกทียังอยู่ครบ32ไม่สึกหรอก ส่วนกระสุนปืน ค.ลูกนั้นกลับไม่มีทีว่าว่าจะเริดอย่างใดเหมือนกระสุนด้านดีๆนี่เอง "ฮู่ววววววส์"ลุงพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงพิงหลุมบังเกอร์ไว้ มือเอื้อมไปหยิบสร้อยพระมาใส่ไว้ดังเดิม ตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เสียงปืนที่ระเบ็งเซ็งแซ่เริ่มมีประปราย จนชั่วครู่ ผกค ก็ถอยกลับเข้าป่าไปอีกครั้ง ลูกน้องลุงพลวิ่งมาเจอลุงพลนอนอยู่ในหลุมบังเกอร์ก็พากันตกใจนึกว่าลุงพลแกเป็นอะไรจึงรีบกระโดดลงหลุมแบกตัวจ่าไปยังเต้นท์พยาบาล ทั้งๆที่ลุงพลก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรๆ เล่ามาถึงตอนนี้ลุงพลแกหัวเราะขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นลุงพลก็ไม่เจอวิญญาณสองตัวนั้นอีกเลยจนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน ทางรัฐบาลไทยได้ประกาศเริ่มยุทธการผาเมืองเกียงไกรซึ่งต่อจากยุทธการไพรรี จนยึดพื้นที่ของ ผกค ได้ทั้งหมด ลุงพลเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญในหลายยุทธการและจะเป็นแนวหน้าทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญกับข้าศึก หลังจบจากสมรภูมนี้ ก็ยังมีอีกหลายครั้งที่ลุงพลได้เข้าร่วมประทะต่อสู้กับพวกขบวนการค้ายาเสพติด พวกชนกลุ่มน้อยหรือหว้าแดง ลุงพลแกรอดมาได้ทุกครั้งจนได้ขอย้ายลงไปประจำที่ค่ายทมหารแห่งหนึ่งในนราธิวาสช่วงที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นใหม่ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อายุอานามแกก็ไม่ใช่ว่าจะหนุ่มๆเหมือนเมื่อก่อน ลุงพลเกษียณตัวเองในยศ พันเอก. เพื่อมารักษาสุขภาพร่างกายที่บอบช้ำจากสงคราม สภาพร่างกายยังไม่เท่าไหร่แต่สภาพทางใจบางทีก็น่างเป็นห่วงครับ เพราะในหลายๆครั้งป้าเล่าว่าลุงพลแกมักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกวิ่งไปหยิบปืนลูกซองที่อยู่ในตู้มาไว้ข้างลำตัว ท่าทางดูตื่นๆ ยังเคยสั่งให้ป้าไปหาที่หลบบอกว่าจะมีข้าศึกมาบุก บางทีแกก็โวยวายบ้างอะไรบ้าง แต่ผมนับถือน้ำใจแกนะครับ แกคงผ่านเรื่องราวมาเยอะ รวมถึงยังให้ตะกรุดกับชาญหมากที่แกเคยใส่ออกรบมอบให้กับผมในวันเกิดอายุครบ20อีกด้วยครับ พวกเราเคยพาแกไปเที่ยวเขาค้อ เพระาแกอยากจะไป ก็เลยพาแกไป แกก็เล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็ชี้ว่าเนี่ยแกเคยนอนอยู่ตรงนี้ เคยทำนู่นทำนี่อยู่ตรงนี้ ผมก็ฟังพลางกยักหน้ารับ จนแกเล่าเรื่องที่ผมนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกันเนี่ยแหละครับ เราแวะไปที่อนุเสาวรีย์สมรภูมิเขาค้อ ลุงพลแกเดินไปมองที่ตรงนั้น ก่อนะจะร้องไห้ออกมา โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะอายใครเลยแม้แต่น้อย แกร้องอยู่อย่างนั้นจนป้าต้องค่อยๆเข้าไปโอบไหล่แล้วพาเดินออกมา จนกระทั่งวันกลับลุงพลบอกกับผมว่า สงครามไม่ได้บอกว่าใครคือผู้แพ้หรือผู้ชนะ มันบ่งบอกว่าเราจะกลับมาเป็นคนได้เหมือนเดิมไหมเมื่อกลับมาสู่ชีวิตในปัจจุบันที่เหลืออยู่ คำพูดนี้ทำผมขนลุกเลยครับ ผมเชื่อทุกถ้อยคำที่ลุงเล่าให้ฟัง เชื่อในสิ่งที่ลุงเจอ เพราะทหารแบบลุงผ่านอะไรมามากมายเหลือเกินครับ สุดท้ายยนี้ผมก็ขอสดุดีวีรชนทหารกล้าทุกนายที่ร่วมกันปกป้องผืนแผ่นดินไทยให้คงอยู่ไว้ในอธิปไตย เพื่อลูกหลานเพื่อพวกเราได้มีทุกวันนี้ครับผมและผมก็ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านหากท่านผู้อ่านคนใดรู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับผมแค่นำเรื่องราวของชีวิตทหารคนนึงมาตีแผ่ให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันแล้วก็ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆท่านนะครับที่ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบผิดพลาดประการใดผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เด้วมีเรื่องหน้าจะมาแปะให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามกันอีกแน่นอนในเร็วๆนี้ครับ ขอบคุนครับผม ^/\^
ความคิดเห็นที่ 29
ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามค้าบ พอดีพึ่งมีโอกาสว่างเลยมาเล่าต่อครับ
หลังผ่านไปได้หลายเดือนมีการผลัดเปลี่ยนกำลังกันหลายรอบครับซึ่งจะสลับกันไปแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่น่าเศร้าขึ้นอีกครั้งเมื่อชุดกำลังของกรมทหารสัตว์ที่ขึ้นไปเสริมกำลังพร้อมด้วยเสบียง รถที่นั่งมาเหยียบระเบิดเข้าอย่างจัง ทหารกล้ารวมถึงสุนัขทหารพากันพลีชีพเป็นจำนวนมาก บางศพยังหาไม่เจอมาจนถึงวันนี้ก็ยังมี เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ลุงผล ต้องเลื่อนวันกลับขึ้นไปประจำการเร็วกว่ากำหนด3วันครับ เมื่อถึงวันเวลาที่ต้องกลับขึ้นไป ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำมืดครับ ลุงพลประจำอยู่รถฮัมวีคันแรก นั่งอยู่เบาะหน้า เป็นหัวหน้าชุดคุ้มกันลำเลียงพล ส่วนถัดไปคันหลังห็เป็นรถฮัมวี่อีกคัน นำรถบรรทุกทหารGMCที่ขนทหารประมาณ 3คัน และมีรถฮัมวี่ปิดท้ายอีก1คัน ตอนนั้นเป็นเวลาดึกสงัดที่ต้องใช้เวลานี้ก็เพราะว่าหลบหลีกการโจมตีจากพวก ผกค. ลดความเสี่ยงจากการตรวจการของข้าสึก แสงไฟหน้ารถทุกคนสาดกระทบผ่านคลื่นหมอกบางๆ คืนนี้อากาศเย็น เสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่มไปทั่วป่า ขบวนรถยังคงวิ่งไปบนเส้นทางที่สลับซับซ้อนของผู้เขา จนถึงจุดหนึ่งที่จ้าฃหน้าสองข้างทางจะเป็นลักษณะเป็นเนินสูง เผื่อใครนึกไม่ออกลองนึกถึงถนนที่วิ่งตัดภูเขาดูครับ เมื่อตัวรถกำลังจะถึงทางเข้า กลับมีบางอย่างปรากฏกายออกมาหน้ารถอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนคนในรถต้องอุทาน "เห้ยยย!!!"พลขับเหยียบเบรคเอี๊ยดทหารทุกนายที่อยู่ในรถต่างพากันล้มหน้าทิ่มเบาะ รวมถึงรถคันหลังก็เบรคตามหน้ารถเกือบทิ่มก้นของคันหน้า
ลุงพลเล่าว่า ลุงพลเห็นทหารสภาพแบบว่าเละเลย ใบหน้าเละแขนขาดขาดเลือดอาบทั้งตัวเสื้อผ้าขาดวิ่นถือเชือกเหมือนจูงอะไรสักอย่างอยู่วิ่งผ่านหน้ารถไป บรรยากาศกลับเข้าสู่ความวังเวงหมอกเริ่มปกคลุมหนาขึ้นในบริเวณนั้น ทุกคนนั่งกันอยู่ในรถ มองหน้ากันเปนนัยๆว่าจะเอาไวดี "จ่านั่นมันอะไรอะจ่า!"พลขับหันมาถามลุงพลด้วยเสียงที่สั่นเครือ "จะบอกว่าตาฟาดก็ไม่ใช่เพราะเห็นกันทั้งรถ"ลุงพลพูดขึ้น ยังไม่ทันที่จะทำอะไรต่อ เงาตะคุ่มๆสีดำประมาณหลายเงาก็อยู่เบื้องหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ยิ่งหมอกลงจัดแบบนี้ยิ่งยากต่อทรรศนะวิสัยในการมอง "ไปบอกให้ทุดคนลงจากรถตั้งแนวป้องกันเดี๋ยวนี้!!" ลุงพลมองเห็นเงาลางๆในใจนึกว่าต้องเป็นพวกข้าสึกแน่นอนจึงรีบสั่งให้ทหารหลายนายลงจากรถเข้าที่กำบัง ทหารหลายกระโดดลงจากรถกระชับอาวุธปืนประจำกายเข้าหาที่กำบังข้างทางประทับปืนขึ้นบ่าเล็งไปยังเงาข้างหน้าที่อยู่ห่างเบื้องหน้าไปประมาณหลายเมตร "เอาไงดีจ่า ทำไมพวกมันถึงไม่ยิงเรา" ทหารนายนึงหันมาถามจ่าแต่สายตายังไมละจากศูนย์ปืน "คุมเชิงไว้ก่อนไม่รู้มันจะมาไม้ใหน" ลุงพลหันไปสั่ง พลางทหารนายนั้นก็หันไปทำสัญลักษณ์มือให้กับทหารที่อยู่ข้างหลังได้เข้าใจ เวลาผ่านไปได้สักพักเงานั้นเริ่มหายไปจากทางข้างหน้า แต่กลับมีเสียงปืนดังขึ้นมาจากบนเขาสองข้างทางยิ่งลงมาตรงช่องถนนด้านล่าง ปังงงงงๆๆ เสียงปืนAK-47ยิงลงมาจากบนเขา พวกทหารต่างพากันก้มหัวหลบ แต่เมื่อตรวจดูอีกที กระสุนปืนไม่ได้ยิงลงมาหาพวกเค้าเลยแม้แต่น้อยแต่กลับยิงลงไปในถนนที่ว่างเปล่า ฉับพลันมีเสียงโวยวายขึ้นจากบนเขา ฟังได้ใจความว่า "เห้ยย! นั่นมันอะไรกันวะ ทหารผี!!" เสียงข้าสึกตะโกนแข่งกับเสียงปืน ลุงพลฟังได้ถนัดชัดเจน เมื่อจ้าสึกเปิดตำแหน่ง ลุงพลจึงสั่งให้ทหารทุกหน่วยย่องเข้าหาประชิดตำแหน่งที่ปืนยิงสาดกระสุนลงมาให้ใกล้ที่สุด จนได้ระยะพอสมควรลุงพลจึงสั่งยิง ไม่ต้องรอให้สั่งรอบที่สอบ กระสุนปืนอัติโนมัติM-16ระเบิดกระสุนใส่เป้าหมายอย่างเดือดดาล เสียงปืนสนั่นป่า ควันจากปากกระบอกปืนตลบอบอวนไปทั่ว พวกข้าสึกยังพลัดหันมายิงสวนบ้าง หันไปยิงถนนที่ว่างเปล่าบ้าง สักพักเสียงปืนสงบลุงพลจึงสั่งเดินแนวอย่างระมัดระวังเพื่อเข้าเช็คพื้นที่ปะทะ ศพทหาร ผกค นอนตายหลายนายมีทหารที่หนีกลับก็หลายนาย แต่ทว่ามีทหารข้าสึกนายนึง มีท่าทางหวาดกลัวนั่งเอามือกุมหัว ปากพูดอย่าเข้ามาๆๆ หันปากกระบอกปืนชี้ไปทั่ว พวกลุงต่างพากันหันหลบกันเจ้าระหวั่น จนทหารหน่วยของลุงอ้อมไปยังด้านหลังและเข้าชาร์จ เพื่อจับเป็นตามคำสั่งของลุง หลังจากการประทะกันเสร็จ ลุงพลและทหารหน่วยของลุงพลอีก3-4คนพากันเดินไปยังจุดที่พวกมันยิงลงมาใส่ความว่างเปล่า
"โห้!! ให้ตายเถอะ ดงระเบิดชัดๆนี่" ทหารหนายหนึ่งพูดสายตามองฝ่าความมืดอาศัยแสงไฟฉายดวงน้อยที่สาดแสงไปยังเบื้องหน้า ระเบิดแสวงเครื่องแบบขึงเอ็น ถูกขึงอยู่กลางถนนหลายลูก ถัดๆกันไปตามแนวขวางของถนน รวมถึงกับระเบิด ที่ถูกฝังลงพื้นก็ยังมีให้เห็นผิดสังเกต
ลุงพลบอกว่าถ้าลุงพลวิ่งผ่านมาถึงนี้ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองกับหน่วยเลยว่าจะเป็นอย่างไร "แล้วตกลงเงานั่นคือเงาอะไรหรอลุง" ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เงานั้นน่ะหรอ"ลุงพลพูดพลางยิ้มที่มุมปากเบาๆ "เงานั้นเป็นดวงวิญญาณของทหารหน่วยกรมทหารสัตว์แน่ๆลุงมั่นใจ เพราะถ้าเลยจุดที่ลุงจอดรถเอาไว้ ก็เป็นจุดที่หน่วยกรมสัตว์โดนระเบิด" ลุงพลตอบและเล่าต่อว่า หลังจากที่ลุงเคียพื้นที่เสร็จ (ทำลายระเบิดแสวงเครื่องทิ้ง) ยังเห็นเงาสีดำทึบๆกระจายตัวอยู่รอบป่าบริเวณที่ลุงพลอยู่สลับกับบางเงาก็มีเงาของหมายืนอยู้ข้างลำตัว ลุงพลมองเห็นอย่างชัดเจนทหารหลายนานก็มองเห็นพากันยกปืนขึ้นประทับบ่า และพากันกะโดดหลบเข้าที่กำบัง กลิ่นคราวเลือดปรนกับกลิ่นเหม็นเน่าลอยผ่านมากับสายลม เสียงหวีดหวิวของลงที่พัดลู่ใบไม้ฟังดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย สายตาของลุงพลยังคงจับจ้องไปยังเงาดำหลายเงาที่ยืนอยู่ในป่าข้างทาง
"ลดปืน!!" ลุงพลตะโกนสั่งลูกน้องแต่สายตายังคงจับจ้องไปที่เงานั้น หมอกเริ่มบางตาลงพอมองเห็นได้ชัดขึ้นว่าเงานั้นแต่ตัวคล้ายทหาร บางเงารูปร่างผิดรูปไปจากคนบางเงาแขนขาดขาขาด หัวขาดก็ยังมีเลย
ทหารที่ได้ยินคำสั่งของลุงพากันแปลกใจกับคำสั่งแต่ก็ลดอาวุธโดยดี "ทั้งหมดลุก!" ลุงพลสั่งขึ้นอีกครั้ง ทหารต่างพากันลุกแบบ งงๆ "หน้ากระดานเรียงแถวปฏิบัติ!" ทหารต่างพากันวิ่งมาจัดแถวหน้ากระดานประมาน3แถวเห็นจะได้ลุงพลสั่งขึ้น "เรียบอาวุธ!!" เสียงพานท้ายปืนกระทบลงกับพื้นดินอย่างพร้อมเพียงเสียงดังแกร๊งง "วันธยาวุธ!!!" สิ้นสุดคำสั่ง ทหารทุกนาย ตบปืนขึ้นขึ้นไว้หน้าลำตัวอย่างพร้อมเพียง สายตามองไปยังเงาที่อยู่ข้างหน้า ลุงพลยืนอยู่หน้าสุด ยกมือขึ้นตะเบ๊ะให้กับเงาที่อยู่ข้างหน้า พลางคิดในใจ "ขอบคุณครับที่ช่วยพวกเรา ขอบคุณครับที่ยังคอยช่วยพวกเราแม้จะอยู่ในวาระสุดท้ายก็ตาม ผมจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ครับ ไปสู่สุขตินะครับทหารกล้าทั้งหลาย" สิ้นสุดความคิดลงพลที่สื่อไปหาเงาเบื้องหน้า เงานั้นเริ่มจางหายไปกับสายหมอกที่ลงมาปกคลุมเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนเงานั้นหายไปจนหมด "เรียบอาวุธ" ลุงพลสั่งทหารทุกนาย "นั่นไม่ใช่คนใช่ไหมจ่า" เสียงทหารนายนึงถามขึ้นในขณะที่ทหารหลายคนกระโดดขึ้นรถเพื่อขึ้นไปสมทบกำลัง "ใช่ พวกเค้ามาช่วยเรา" สายตาลุงยังมองไปยังชายป่ารอบข้าง พลางยกมือขึ้นไหว้ของให้ปกป้องพวกเราไปให้ถึงฐานปฏิบัติการณ์ข้างบนด้วยเถิด
ลุงพลขึ้นไปถึงฐานที่มั่นข้างบนอย่างปลอดภัย แต่ทว่าก็ยังถูกโจมตีหนักหน่วง ข้าสึกยังคงสกัดกั้นการลำเลียงอาหารกำลังคนและยุทโธปกรณ์ ทำให้สถานการณ์ข้างบนนั้นขับขับและสภาพจิตใตของทหารบนนั้นตกต่ำมากขึ้นทุกวัน **เดี๋ยวมจะกลับมาเล่าต่อให้ท่าผู้อ่านได้อ่านกันต่อนะครับ**
#ปล.ถ้าไม่สนุกหรือไม่เป็นไปตามที่ผู้อ่านคาดหวังไว้ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยนะครับ ผมเพียงแต่นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจิงของลุงผมมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน ขอบคุนครับ ^/\^
หลังผ่านไปได้หลายเดือนมีการผลัดเปลี่ยนกำลังกันหลายรอบครับซึ่งจะสลับกันไปแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่น่าเศร้าขึ้นอีกครั้งเมื่อชุดกำลังของกรมทหารสัตว์ที่ขึ้นไปเสริมกำลังพร้อมด้วยเสบียง รถที่นั่งมาเหยียบระเบิดเข้าอย่างจัง ทหารกล้ารวมถึงสุนัขทหารพากันพลีชีพเป็นจำนวนมาก บางศพยังหาไม่เจอมาจนถึงวันนี้ก็ยังมี เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ลุงผล ต้องเลื่อนวันกลับขึ้นไปประจำการเร็วกว่ากำหนด3วันครับ เมื่อถึงวันเวลาที่ต้องกลับขึ้นไป ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำมืดครับ ลุงพลประจำอยู่รถฮัมวีคันแรก นั่งอยู่เบาะหน้า เป็นหัวหน้าชุดคุ้มกันลำเลียงพล ส่วนถัดไปคันหลังห็เป็นรถฮัมวี่อีกคัน นำรถบรรทุกทหารGMCที่ขนทหารประมาณ 3คัน และมีรถฮัมวี่ปิดท้ายอีก1คัน ตอนนั้นเป็นเวลาดึกสงัดที่ต้องใช้เวลานี้ก็เพราะว่าหลบหลีกการโจมตีจากพวก ผกค. ลดความเสี่ยงจากการตรวจการของข้าสึก แสงไฟหน้ารถทุกคนสาดกระทบผ่านคลื่นหมอกบางๆ คืนนี้อากาศเย็น เสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่มไปทั่วป่า ขบวนรถยังคงวิ่งไปบนเส้นทางที่สลับซับซ้อนของผู้เขา จนถึงจุดหนึ่งที่จ้าฃหน้าสองข้างทางจะเป็นลักษณะเป็นเนินสูง เผื่อใครนึกไม่ออกลองนึกถึงถนนที่วิ่งตัดภูเขาดูครับ เมื่อตัวรถกำลังจะถึงทางเข้า กลับมีบางอย่างปรากฏกายออกมาหน้ารถอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนคนในรถต้องอุทาน "เห้ยยย!!!"พลขับเหยียบเบรคเอี๊ยดทหารทุกนายที่อยู่ในรถต่างพากันล้มหน้าทิ่มเบาะ รวมถึงรถคันหลังก็เบรคตามหน้ารถเกือบทิ่มก้นของคันหน้า
ลุงพลเล่าว่า ลุงพลเห็นทหารสภาพแบบว่าเละเลย ใบหน้าเละแขนขาดขาดเลือดอาบทั้งตัวเสื้อผ้าขาดวิ่นถือเชือกเหมือนจูงอะไรสักอย่างอยู่วิ่งผ่านหน้ารถไป บรรยากาศกลับเข้าสู่ความวังเวงหมอกเริ่มปกคลุมหนาขึ้นในบริเวณนั้น ทุกคนนั่งกันอยู่ในรถ มองหน้ากันเปนนัยๆว่าจะเอาไวดี "จ่านั่นมันอะไรอะจ่า!"พลขับหันมาถามลุงพลด้วยเสียงที่สั่นเครือ "จะบอกว่าตาฟาดก็ไม่ใช่เพราะเห็นกันทั้งรถ"ลุงพลพูดขึ้น ยังไม่ทันที่จะทำอะไรต่อ เงาตะคุ่มๆสีดำประมาณหลายเงาก็อยู่เบื้องหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ยิ่งหมอกลงจัดแบบนี้ยิ่งยากต่อทรรศนะวิสัยในการมอง "ไปบอกให้ทุดคนลงจากรถตั้งแนวป้องกันเดี๋ยวนี้!!" ลุงพลมองเห็นเงาลางๆในใจนึกว่าต้องเป็นพวกข้าสึกแน่นอนจึงรีบสั่งให้ทหารหลายนายลงจากรถเข้าที่กำบัง ทหารหลายกระโดดลงจากรถกระชับอาวุธปืนประจำกายเข้าหาที่กำบังข้างทางประทับปืนขึ้นบ่าเล็งไปยังเงาข้างหน้าที่อยู่ห่างเบื้องหน้าไปประมาณหลายเมตร "เอาไงดีจ่า ทำไมพวกมันถึงไม่ยิงเรา" ทหารนายนึงหันมาถามจ่าแต่สายตายังไมละจากศูนย์ปืน "คุมเชิงไว้ก่อนไม่รู้มันจะมาไม้ใหน" ลุงพลหันไปสั่ง พลางทหารนายนั้นก็หันไปทำสัญลักษณ์มือให้กับทหารที่อยู่ข้างหลังได้เข้าใจ เวลาผ่านไปได้สักพักเงานั้นเริ่มหายไปจากทางข้างหน้า แต่กลับมีเสียงปืนดังขึ้นมาจากบนเขาสองข้างทางยิ่งลงมาตรงช่องถนนด้านล่าง ปังงงงงๆๆ เสียงปืนAK-47ยิงลงมาจากบนเขา พวกทหารต่างพากันก้มหัวหลบ แต่เมื่อตรวจดูอีกที กระสุนปืนไม่ได้ยิงลงมาหาพวกเค้าเลยแม้แต่น้อยแต่กลับยิงลงไปในถนนที่ว่างเปล่า ฉับพลันมีเสียงโวยวายขึ้นจากบนเขา ฟังได้ใจความว่า "เห้ยย! นั่นมันอะไรกันวะ ทหารผี!!" เสียงข้าสึกตะโกนแข่งกับเสียงปืน ลุงพลฟังได้ถนัดชัดเจน เมื่อจ้าสึกเปิดตำแหน่ง ลุงพลจึงสั่งให้ทหารทุกหน่วยย่องเข้าหาประชิดตำแหน่งที่ปืนยิงสาดกระสุนลงมาให้ใกล้ที่สุด จนได้ระยะพอสมควรลุงพลจึงสั่งยิง ไม่ต้องรอให้สั่งรอบที่สอบ กระสุนปืนอัติโนมัติM-16ระเบิดกระสุนใส่เป้าหมายอย่างเดือดดาล เสียงปืนสนั่นป่า ควันจากปากกระบอกปืนตลบอบอวนไปทั่ว พวกข้าสึกยังพลัดหันมายิงสวนบ้าง หันไปยิงถนนที่ว่างเปล่าบ้าง สักพักเสียงปืนสงบลุงพลจึงสั่งเดินแนวอย่างระมัดระวังเพื่อเข้าเช็คพื้นที่ปะทะ ศพทหาร ผกค นอนตายหลายนายมีทหารที่หนีกลับก็หลายนาย แต่ทว่ามีทหารข้าสึกนายนึง มีท่าทางหวาดกลัวนั่งเอามือกุมหัว ปากพูดอย่าเข้ามาๆๆ หันปากกระบอกปืนชี้ไปทั่ว พวกลุงต่างพากันหันหลบกันเจ้าระหวั่น จนทหารหน่วยของลุงอ้อมไปยังด้านหลังและเข้าชาร์จ เพื่อจับเป็นตามคำสั่งของลุง หลังจากการประทะกันเสร็จ ลุงพลและทหารหน่วยของลุงพลอีก3-4คนพากันเดินไปยังจุดที่พวกมันยิงลงมาใส่ความว่างเปล่า
"โห้!! ให้ตายเถอะ ดงระเบิดชัดๆนี่" ทหารหนายหนึ่งพูดสายตามองฝ่าความมืดอาศัยแสงไฟฉายดวงน้อยที่สาดแสงไปยังเบื้องหน้า ระเบิดแสวงเครื่องแบบขึงเอ็น ถูกขึงอยู่กลางถนนหลายลูก ถัดๆกันไปตามแนวขวางของถนน รวมถึงกับระเบิด ที่ถูกฝังลงพื้นก็ยังมีให้เห็นผิดสังเกต
ลุงพลบอกว่าถ้าลุงพลวิ่งผ่านมาถึงนี้ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองกับหน่วยเลยว่าจะเป็นอย่างไร "แล้วตกลงเงานั่นคือเงาอะไรหรอลุง" ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เงานั้นน่ะหรอ"ลุงพลพูดพลางยิ้มที่มุมปากเบาๆ "เงานั้นเป็นดวงวิญญาณของทหารหน่วยกรมทหารสัตว์แน่ๆลุงมั่นใจ เพราะถ้าเลยจุดที่ลุงจอดรถเอาไว้ ก็เป็นจุดที่หน่วยกรมสัตว์โดนระเบิด" ลุงพลตอบและเล่าต่อว่า หลังจากที่ลุงเคียพื้นที่เสร็จ (ทำลายระเบิดแสวงเครื่องทิ้ง) ยังเห็นเงาสีดำทึบๆกระจายตัวอยู่รอบป่าบริเวณที่ลุงพลอยู่สลับกับบางเงาก็มีเงาของหมายืนอยู้ข้างลำตัว ลุงพลมองเห็นอย่างชัดเจนทหารหลายนานก็มองเห็นพากันยกปืนขึ้นประทับบ่า และพากันกะโดดหลบเข้าที่กำบัง กลิ่นคราวเลือดปรนกับกลิ่นเหม็นเน่าลอยผ่านมากับสายลม เสียงหวีดหวิวของลงที่พัดลู่ใบไม้ฟังดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย สายตาของลุงพลยังคงจับจ้องไปยังเงาดำหลายเงาที่ยืนอยู่ในป่าข้างทาง
"ลดปืน!!" ลุงพลตะโกนสั่งลูกน้องแต่สายตายังคงจับจ้องไปที่เงานั้น หมอกเริ่มบางตาลงพอมองเห็นได้ชัดขึ้นว่าเงานั้นแต่ตัวคล้ายทหาร บางเงารูปร่างผิดรูปไปจากคนบางเงาแขนขาดขาขาด หัวขาดก็ยังมีเลย
ทหารที่ได้ยินคำสั่งของลุงพากันแปลกใจกับคำสั่งแต่ก็ลดอาวุธโดยดี "ทั้งหมดลุก!" ลุงพลสั่งขึ้นอีกครั้ง ทหารต่างพากันลุกแบบ งงๆ "หน้ากระดานเรียงแถวปฏิบัติ!" ทหารต่างพากันวิ่งมาจัดแถวหน้ากระดานประมาน3แถวเห็นจะได้ลุงพลสั่งขึ้น "เรียบอาวุธ!!" เสียงพานท้ายปืนกระทบลงกับพื้นดินอย่างพร้อมเพียงเสียงดังแกร๊งง "วันธยาวุธ!!!" สิ้นสุดคำสั่ง ทหารทุกนาย ตบปืนขึ้นขึ้นไว้หน้าลำตัวอย่างพร้อมเพียง สายตามองไปยังเงาที่อยู่ข้างหน้า ลุงพลยืนอยู่หน้าสุด ยกมือขึ้นตะเบ๊ะให้กับเงาที่อยู่ข้างหน้า พลางคิดในใจ "ขอบคุณครับที่ช่วยพวกเรา ขอบคุณครับที่ยังคอยช่วยพวกเราแม้จะอยู่ในวาระสุดท้ายก็ตาม ผมจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ครับ ไปสู่สุขตินะครับทหารกล้าทั้งหลาย" สิ้นสุดความคิดลงพลที่สื่อไปหาเงาเบื้องหน้า เงานั้นเริ่มจางหายไปกับสายหมอกที่ลงมาปกคลุมเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนเงานั้นหายไปจนหมด "เรียบอาวุธ" ลุงพลสั่งทหารทุกนาย "นั่นไม่ใช่คนใช่ไหมจ่า" เสียงทหารนายนึงถามขึ้นในขณะที่ทหารหลายคนกระโดดขึ้นรถเพื่อขึ้นไปสมทบกำลัง "ใช่ พวกเค้ามาช่วยเรา" สายตาลุงยังมองไปยังชายป่ารอบข้าง พลางยกมือขึ้นไหว้ของให้ปกป้องพวกเราไปให้ถึงฐานปฏิบัติการณ์ข้างบนด้วยเถิด
ลุงพลขึ้นไปถึงฐานที่มั่นข้างบนอย่างปลอดภัย แต่ทว่าก็ยังถูกโจมตีหนักหน่วง ข้าสึกยังคงสกัดกั้นการลำเลียงอาหารกำลังคนและยุทโธปกรณ์ ทำให้สถานการณ์ข้างบนนั้นขับขับและสภาพจิตใตของทหารบนนั้นตกต่ำมากขึ้นทุกวัน **เดี๋ยวมจะกลับมาเล่าต่อให้ท่าผู้อ่านได้อ่านกันต่อนะครับ**
#ปล.ถ้าไม่สนุกหรือไม่เป็นไปตามที่ผู้อ่านคาดหวังไว้ผมก็ต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยนะครับ ผมเพียงแต่นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจิงของลุงผมมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน ขอบคุนครับ ^/\^
ความคิดเห็นที่ 13
ผ่านมาอี3วันเจ้าหน้าที่ทหารได้ระดมเหล่าทหารบุกคืบหน้าเพื่อกวาดล้างและกดดันการทำงานของทหารหน่วยต่อต้าน ผกค. ลุงพลถูกย้ายหน่วยจากหน่วยคุ้มกันการส่งเสบียงมาอยู่ประจำหน่วยรบพิเศษเหมือนเดิม และเป็นแนวหน้าการเข้าตีและคุ้มกันทหารช่างในการก่อสร้างถนน บนหุบเขาที่สลับซับซ้อนหน่วยของลุงพลได้รับคำสั่งให้ร่วมกับหน่วยทหารราบในการคุ้มกันเหล่าทหารช่างที่ต้องสร้างถนนเพื่อความสะดวกในการขนส่งยุธโทปกรณ์ รถแทรกเตอร์คันใหญ่รวมถึงรถแบลคโฮต่างกำลังทำงานอย่างเร่งรีบ เสียงเครื่องยนตร์แผดเสียงไปทั่วทั้งป่า จังหวะที่หน่วยของลุงพลกำลังวางแนวป้องกันจากข้าศึก ปัง! เสียงกระสุนปืนไรเฟิลจากฝ่ายตรงข้ามยิงเข้าที่หัว พลขับอย่างเหมาะเหม็ง ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ ทหารราบนายหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆถูกรถแบล็คโฮเหยียบจนร่างแหลกละเอียด เสียงดังกร๊อบบ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ลุงพลยังจำภาพนั้นติดตาได้ดี ทุกคนไม่มีเวลามาสนใจต่างทิ้งตัวหมอบลงพื้นพลันวิ่งเข้าหาที่กำบัง เพื่อให้พ้นจากมัจจุราชที่จ้องเล่นงาน และ ปัง!กระสุนอีกนัดหนึ่งวิ่งทะยานทะลุหัวพลขับรถแทรคเตอร์ร่วงพิงพนักพิงเก้าอี้คารถแทรคเตอร์ทันที ไม่มีใครรู้ว่าเสียงปืนมาจากทิศทางใด ขนาดตอนนั้นเป็นเวลากลางวันแสกๆ ลุงพลแกวิทยุขอกำลังเสริมแต่ทว่าคงอีกพักใหญ่คงจะมาถึง สักพักมีเสียงหวีดร้องเหมือนมีอะไรตกมาจากฟ้า ลุงพลรู้ทันทีเลยว่านั่นไม่ดีแน่แกถีบตัวเองให้พ้นจากรถแทรคเตอร์กระโดดหลบเข้าต้นไม้ที่อยู่ถัดไปพอดี ตูมมม!! เสียงระเบิดดังกึกก้อง รถแบล็คโฮระเบิดอออกเป็นเสี่ยงๆด้วยแรงอำนาจของปืน ค. ทหารที่อยู่รอบๆกระเด็นไปคนละทิศละทาง บัดนั้นเองเสียงปืนกลอัติโนมัติAK-47แผดเสียงมาจากเขาด้านบน กระสุงวิ่งทะลุร่างทหารหลายนายที่ไม่ทันระวังจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ลุงพลและหน่วยของลุงพลจึงยิงตอบโต้กลับไปชุดใหญ่การประทะกันคราวนั้น โชคไม่เข้าข้างทหารไทยของเราเลยแม้แต่น้อย ทหารกล้าหลายนายถูกกระสุนปืนสังหารจนร่วงผล้อยไปหลายคน ลุงพลและหน่วยของลุงพลยังอยู่กันครบหน้าครบตา พร้อมกันสาดกระสุนปืนกลับไปชุดใหญ่ เสียงระเบิดลงมาเป็นระยะๆ
"อย่าวิ่งหมอบลง!!" ลุงพลตะโกนสั่งพลวิทยุนายหนึ่งที่กำลังจะวิ่งออกจากที่กำบังเพื่อไปหลบหลังแนวป้องกัน แต่ทว่ากลับสายไป กระสุนปืนAK-47วิ่งทะลุร่างของพลวิทยุนายนั้นหลายสิบนัดก่อนจะล้มตึงลงไปกับพื้น เสถานการณ์จึงบีบบังคับให้หน่วยของลุงพลต้องล่าถอยกลับที่ตั้งอีกครั้งและทหารที่เหลือต้องล่าถอยกกลับลงมาจากเขาแบบสะบักสะบอมเต็มที จนถึงศูนย์กำลังผสมเฉพาะกิจ ซึ่งอยู่ใกล้กว่ากองพันเนื่องจากกว่าจะล่าถอยกลับลงมาต้องผัดรับผัดสู้ไล่มาตลอดทาง ฮ.รุ่นฮิวอี้ของกองทัพบกติดอาวุธหนักเพื่อสนับสนุนทางอากาศแต่ไม่ทันไรก็มีข่าวว่าถูกยิงตกบริเวณเขาค้อไปอีหนึ่งลำ เสียงปืนใหญ่ยิงสนับสนุนไปยังบริเวณเขาค้อหลายนัดเสียงดังกระหึ่มไปทั่ว
พลันดวงอาทิตย์อับแสง ท้องฟ้าเริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุมเสียงจิ้งหรีดเรไรต่างระงมร้องร้องขานรับอากาศหนาวเย็นที่กำลังเพิ่มอุณหภูมิความหนาว วันนั้นลุงพลนอนไม่หลับจึงไปนั่งคุยกับพวกหน่วยวิทยุสื่อสาร กลางดึกคืนนั้นเองเหตุการณ์ทุกอย่างดูเป็นปกติ มีเสียง ว.รายงานเข้ามาบ้างเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้มีเหตุร้ายอะไร จนมีเสียงว.เข้ามาเสียงหนึ่งทุกคนถึงกับต้องหยุดฟังด้วยความแปลกใจ เสียงค่อนข้างเบา และแหบมากจับใจความได้ว่า
"อย่าทิ้งผมไว้ที่นี่ อย่าทิ้งผมไว้ที่นี่ มารับผมกลับไปที" สิ้นสุดเสียงนั่นเท่านั้นแหละครับ กลิ่นคราวเลือดผสมกับเขม่าดินปืนประทะเข้าจมูกของลุงพลและหน่วยวิทยุ ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลักๆ พลางเอามือดอุดจมูเพราะกลิ่นแบบรุนแรงมาก ลุงพลนึกถึงพลวิทยุรายนั้นทันที
วิ๊งงงงงงงง!! เสียงเหมือนไมค์หอนดังเข้ามาทางวิทยุทุกคนรีบเอามืออุดหูโดยทันที "นี่มันอะไรกันว้ะเนี่ย" ทหารที่เข้าเวรวิทยุต่างพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ดูตกใจ สักพักเสียงนั้นดับลง แต่ยังไม่วายมีเสียงหมาหอนรับกันเกลียว "หรือจะมีทหาเราติดอยู่ข้างบนครับพี่" เสียงจากทหารหน่วยวิทยุนายหนึ่งถามขึ้นสายตามหันมาทางลุง "ทหารที่มีชีวิตกลับลงมาหมดแล้วไม่ใช่หรอ เหลือแต่ทหารที่เสียชีวิตที่พวกเราต้องขึ้นไปกู้ศพพรุ่งนี้" จ่าหัวหน้าชุดวิทยุหันไปตอบแทนลุงพล ลุงพลยังคงนิ่งสีหน้ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง คราวนี้เสียง ว.ดังขึ้นอีกแต่ไม่มีคนพูดมีแต่เสียง ซ่าาาาาๆๆๆ ดังเข้ามา "เอาวิทยุมาให้ผม" ลุงพลหันไปบอกกับทหารนายหนึ่งที่อยู่ใกล้กับวิทยุ "เอ็งจะทำอะไรว้ะพล" เสียงทหารหัวหน้าชุดวิทยุถามขึ้นด้วยสีหน้าที่สงสัย ยังไม่ทันที่ลุงพลจะตอบหรือเจ้าหน้าที่ทหารจะขยับตัวทำอะไร เสียงว.ก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ฮือๆๆๆๆๆ " เสียงนั้นเหมือนเสียงร้องไห้ดังเข้ามาทางวิทยุ ห้องสื่อสารต่างคนต่างเงียบกริบ ลุงพลรับวิทยุสื่อสารจากทหารที่อยู่ติดกับวิทยุ
"จากฐานสามเสน (ฃื่อรัหสัสมมุตินะครับ) คุณอยู่หน่วยใหน"ลุงพลถามกลับไป "เรียกสามเสนผมอยู่หน่วยอินทรีย์รหัสเจ้าพระยา มารับผมที" เสียงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ลุงพลถึงกับปล่อยวิทยุสื่อสาร มือไม้สั่นอ่อนไปหมด "หรือจะมีทหารเราติดอยู่ข้างบนนนั้นจริงๆให้ผมขอกำลังสนับสนุนกู้ภัยไหมครับ" เสียงทหารนายที่นั่งติดกับวิทยุถามด้วยตาตื่น "เป็นอะไรวะพล?" ทหารหัวหน้าชุดสื่อสารถามขึ้นอีกครั้ง "เป็นไปไม่ได้ ผมเห็นเค้าโดนยิงเสียชีวิตกับตาของผมไม่มีทางที่เค้าจะรอดแน่ๆ" ตอนนี้ทหารหน่วยสื่อสารขนลุกกันทั้งห้อง
"จากสามเสนเรียกเจ้าพระยา พวกคุณติดอยู่กี่คน" ลุงพลถามกลับ ตอนนี้ทหารสื่อสารเริ่มหน้าซีดเผือก "มีพวกเราอยู่กันประมาณ5-6คน"
"พรุ่งนี้พวกเราจะไปรับนะอดทนไว้"ลุงพลตอบกลับ "รับทราบบ" เสียงตอบกลับมาจากปลายสายเยือกเย็นชวนให้ขนลุกไม่ใช่น้อย
"นั่นเท่ากับจำนวนทหารของเราที่พลีชีพเลยนะ" ทหารหัวหน้าชุดสื่อสารพูดขึ้นทุกคนมองหน้ากันต่างไม่พูดอะไร "พวกเค้าคงทรมารอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายแล้ว พรุ่งนี้เราจะไปรับพวกเค้าลงมา" ลุงพลพูดกลับ ฉับพลัน เสียง ว.ดังขึ้นอีกรอบ ซ่าาาาาาาาา ฟึ่บ เสียงดังขึ้นสักพักก็ดับไป เวลาผ่านร่วงเลยไปถึงเช้า ทหารหลายหน่วยได้รับมอบหมายให้ไปกู้ศพทหารกล้าทุกนายกลับลงมา ลุงพลเองแกก็อาสาไปด้วยครับ แกนั่งลงข้างๆร่างไร้วิญญาณของพลวิทยุนายนั้นสภาพศพถูกยิงจนร่างพลุน วิทยุสื่อสารที่สะพายติดอยู่ข้างหลังเสียหายไม่สามารถใช้งานได้ "พวเรามารับแล้วนะขอบคุณมากที่ทำหน้าที่จนวาระสุดท้ายจริงๆ" ลุงพลพูดพลางมองร่างพลวิทยุวัย20กว่าๆเห็นจะได้ครับ หลังจากนั้นพระก็ได้อัญเชิญดวงวิญญาณทหารกล้าให้กลับลงมาจากสถานที่ทุ่งสังหารนั้น และยังคงมีทหารบางหน่วยที่ยังต้องดำเนินงานบนนั้นต่อให้เสร็จ ลุงพลบอกกับผมว่าตอนนั้นลุงไม่รู้เลยว่าต้องสูญเสียทหารไปอีกเท่าไหร่และก็ไม่รู้เลยว่าสงครามนี้จะจบที่ตรงใหน
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าพวกมันคือใจของเราเองที่ต้องทนมองเห็นเพื่อนทหารเสียชีวิตลงไปเรื่อยๆ
** ติดตามตอนต่อไปนะคร้าบ ขอบคุนคับ**
"อย่าวิ่งหมอบลง!!" ลุงพลตะโกนสั่งพลวิทยุนายหนึ่งที่กำลังจะวิ่งออกจากที่กำบังเพื่อไปหลบหลังแนวป้องกัน แต่ทว่ากลับสายไป กระสุนปืนAK-47วิ่งทะลุร่างของพลวิทยุนายนั้นหลายสิบนัดก่อนจะล้มตึงลงไปกับพื้น เสถานการณ์จึงบีบบังคับให้หน่วยของลุงพลต้องล่าถอยกลับที่ตั้งอีกครั้งและทหารที่เหลือต้องล่าถอยกกลับลงมาจากเขาแบบสะบักสะบอมเต็มที จนถึงศูนย์กำลังผสมเฉพาะกิจ ซึ่งอยู่ใกล้กว่ากองพันเนื่องจากกว่าจะล่าถอยกลับลงมาต้องผัดรับผัดสู้ไล่มาตลอดทาง ฮ.รุ่นฮิวอี้ของกองทัพบกติดอาวุธหนักเพื่อสนับสนุนทางอากาศแต่ไม่ทันไรก็มีข่าวว่าถูกยิงตกบริเวณเขาค้อไปอีหนึ่งลำ เสียงปืนใหญ่ยิงสนับสนุนไปยังบริเวณเขาค้อหลายนัดเสียงดังกระหึ่มไปทั่ว
พลันดวงอาทิตย์อับแสง ท้องฟ้าเริ่มถูกความมืดเข้าปกคลุมเสียงจิ้งหรีดเรไรต่างระงมร้องร้องขานรับอากาศหนาวเย็นที่กำลังเพิ่มอุณหภูมิความหนาว วันนั้นลุงพลนอนไม่หลับจึงไปนั่งคุยกับพวกหน่วยวิทยุสื่อสาร กลางดึกคืนนั้นเองเหตุการณ์ทุกอย่างดูเป็นปกติ มีเสียง ว.รายงานเข้ามาบ้างเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้มีเหตุร้ายอะไร จนมีเสียงว.เข้ามาเสียงหนึ่งทุกคนถึงกับต้องหยุดฟังด้วยความแปลกใจ เสียงค่อนข้างเบา และแหบมากจับใจความได้ว่า
"อย่าทิ้งผมไว้ที่นี่ อย่าทิ้งผมไว้ที่นี่ มารับผมกลับไปที" สิ้นสุดเสียงนั่นเท่านั้นแหละครับ กลิ่นคราวเลือดผสมกับเขม่าดินปืนประทะเข้าจมูกของลุงพลและหน่วยวิทยุ ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลักๆ พลางเอามือดอุดจมูเพราะกลิ่นแบบรุนแรงมาก ลุงพลนึกถึงพลวิทยุรายนั้นทันที
วิ๊งงงงงงงง!! เสียงเหมือนไมค์หอนดังเข้ามาทางวิทยุทุกคนรีบเอามืออุดหูโดยทันที "นี่มันอะไรกันว้ะเนี่ย" ทหารที่เข้าเวรวิทยุต่างพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ดูตกใจ สักพักเสียงนั้นดับลง แต่ยังไม่วายมีเสียงหมาหอนรับกันเกลียว "หรือจะมีทหาเราติดอยู่ข้างบนครับพี่" เสียงจากทหารหน่วยวิทยุนายหนึ่งถามขึ้นสายตามหันมาทางลุง "ทหารที่มีชีวิตกลับลงมาหมดแล้วไม่ใช่หรอ เหลือแต่ทหารที่เสียชีวิตที่พวกเราต้องขึ้นไปกู้ศพพรุ่งนี้" จ่าหัวหน้าชุดวิทยุหันไปตอบแทนลุงพล ลุงพลยังคงนิ่งสีหน้ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง คราวนี้เสียง ว.ดังขึ้นอีกแต่ไม่มีคนพูดมีแต่เสียง ซ่าาาาาๆๆๆ ดังเข้ามา "เอาวิทยุมาให้ผม" ลุงพลหันไปบอกกับทหารนายหนึ่งที่อยู่ใกล้กับวิทยุ "เอ็งจะทำอะไรว้ะพล" เสียงทหารหัวหน้าชุดวิทยุถามขึ้นด้วยสีหน้าที่สงสัย ยังไม่ทันที่ลุงพลจะตอบหรือเจ้าหน้าที่ทหารจะขยับตัวทำอะไร เสียงว.ก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ฮือๆๆๆๆๆ " เสียงนั้นเหมือนเสียงร้องไห้ดังเข้ามาทางวิทยุ ห้องสื่อสารต่างคนต่างเงียบกริบ ลุงพลรับวิทยุสื่อสารจากทหารที่อยู่ติดกับวิทยุ
"จากฐานสามเสน (ฃื่อรัหสัสมมุตินะครับ) คุณอยู่หน่วยใหน"ลุงพลถามกลับไป "เรียกสามเสนผมอยู่หน่วยอินทรีย์รหัสเจ้าพระยา มารับผมที" เสียงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ลุงพลถึงกับปล่อยวิทยุสื่อสาร มือไม้สั่นอ่อนไปหมด "หรือจะมีทหารเราติดอยู่ข้างบนนนั้นจริงๆให้ผมขอกำลังสนับสนุนกู้ภัยไหมครับ" เสียงทหารนายที่นั่งติดกับวิทยุถามด้วยตาตื่น "เป็นอะไรวะพล?" ทหารหัวหน้าชุดสื่อสารถามขึ้นอีกครั้ง "เป็นไปไม่ได้ ผมเห็นเค้าโดนยิงเสียชีวิตกับตาของผมไม่มีทางที่เค้าจะรอดแน่ๆ" ตอนนี้ทหารหน่วยสื่อสารขนลุกกันทั้งห้อง
"จากสามเสนเรียกเจ้าพระยา พวกคุณติดอยู่กี่คน" ลุงพลถามกลับ ตอนนี้ทหารสื่อสารเริ่มหน้าซีดเผือก "มีพวกเราอยู่กันประมาณ5-6คน"
"พรุ่งนี้พวกเราจะไปรับนะอดทนไว้"ลุงพลตอบกลับ "รับทราบบ" เสียงตอบกลับมาจากปลายสายเยือกเย็นชวนให้ขนลุกไม่ใช่น้อย
"นั่นเท่ากับจำนวนทหารของเราที่พลีชีพเลยนะ" ทหารหัวหน้าชุดสื่อสารพูดขึ้นทุกคนมองหน้ากันต่างไม่พูดอะไร "พวกเค้าคงทรมารอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายแล้ว พรุ่งนี้เราจะไปรับพวกเค้าลงมา" ลุงพลพูดกลับ ฉับพลัน เสียง ว.ดังขึ้นอีกรอบ ซ่าาาาาาาาา ฟึ่บ เสียงดังขึ้นสักพักก็ดับไป เวลาผ่านร่วงเลยไปถึงเช้า ทหารหลายหน่วยได้รับมอบหมายให้ไปกู้ศพทหารกล้าทุกนายกลับลงมา ลุงพลเองแกก็อาสาไปด้วยครับ แกนั่งลงข้างๆร่างไร้วิญญาณของพลวิทยุนายนั้นสภาพศพถูกยิงจนร่างพลุน วิทยุสื่อสารที่สะพายติดอยู่ข้างหลังเสียหายไม่สามารถใช้งานได้ "พวเรามารับแล้วนะขอบคุณมากที่ทำหน้าที่จนวาระสุดท้ายจริงๆ" ลุงพลพูดพลางมองร่างพลวิทยุวัย20กว่าๆเห็นจะได้ครับ หลังจากนั้นพระก็ได้อัญเชิญดวงวิญญาณทหารกล้าให้กลับลงมาจากสถานที่ทุ่งสังหารนั้น และยังคงมีทหารบางหน่วยที่ยังต้องดำเนินงานบนนั้นต่อให้เสร็จ ลุงพลบอกกับผมว่าตอนนั้นลุงไม่รู้เลยว่าต้องสูญเสียทหารไปอีกเท่าไหร่และก็ไม่รู้เลยว่าสงครามนี้จะจบที่ตรงใหน
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าพวกมันคือใจของเราเองที่ต้องทนมองเห็นเพื่อนทหารเสียชีวิตลงไปเรื่อยๆ
** ติดตามตอนต่อไปนะคร้าบ ขอบคุนคับ**
แสดงความคิดเห็น
เรื่องเล่าจากสมรภูมิเขาค้อ
ในช่วงพ.ศ.2508 เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ผู้คนที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลต่างบาดเจ็บล้มตาย จึงพากันหนีเข้าป่าไปรวมตัวอยู่ 3รอยต่อพื้นที่ จังหวัด เพชรบูรณ์ พิษณุโลก เลย และจัดตั้งเป็นพรรคคิวนิสต์แห่งประเทศไทยหรือที่เราเรียกว่า ผกค. ลุงของผมตอนนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าชุดลาดตระเวนทางไกล"LRRP" ตอนนั้นแกอายุประมาน30กว่าๆ ยศ จสอ. เป็นทหารหนุ่มเลือดร้อนที่เรื่องประสบการณ์เต็มตัวรุ่นเก๋าเลยก็ว่าได้ครับแกไม่เคยกลัวใครหน้าใหนบางครั้งยังขัดคำสั่งหัวหน้าบ้างประปราย จนแกโดนเตะโด่งจาก ค่ายทหารค่ายหนึ่งในจังหวัดลพบุรี มาประจำการอยู่ที่ค่ายทหารค่ายหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งค่อนข้างจะทุรกันดาร และโดนมอบหมายหน้าที่ให้ลาดตระเวรจับคนที่จะเข้าร่วมกับ ผกค จนกระทั่งใน พ.ศ.2511 เป็นวันเสียงปืนแตก ลุงผมตอนนั้นแกเป็นหัวหน้าชุดคุ้มกันลำเลียงเสบียงไปส่งยังบ้านห้วยทรายเหนือ เมื่อถึงหมู่บ้าน เสียงปืน AK-47 แผดเสียงคำรามมาจากทุกทิศทุกทาง เสียงระเบิดจากปืน ค.ของฝ่ายตรงข้ามตกลงมายังฝ่ายที่มั่นของลุงผม เสียงระเบิดกึกก้องป่าสะเทือนไปด้วยอาวุธที่ต่างฝ่ายต่างเข้าประหัสประการกัน ลุงผมกระชากปืนประจำกายM-16ยิงตอบโต้อย่างดุเดือดพลางสั่งลูกน้องให้เข้าที่กำบังคอยยิงสวนกลับแต่ทว่า ฝั่งของลุงพลาดท่าด้วยทำเลที่เสียเปรียบและกำลังคนที่น้อยกว่าจึงต้องล่าถอยเข้าป่า
"วันนั้นลุงยังจำได้ดี ลูกน้องลุง ถูกสไนเปอร์ยิงเข้าที่ต้นคอเลือดกระเด็นติดหน้าลุงเลย เค้าไม่มีโอกาสได้แม้กะทั่งบอกลาใคร"
พลทหารกล้านายนั้น เมียของเค้าท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีและนี่จะเป็นภารกิจสุดท้ายก่อนเค้าจะถูกปลดประจำการกลับบ้าน หน่วยลุงเสียชีวิต1นายบาดเจ็บอีกสองสามคน ล่าถอยกลับกองพันอย่างทุลักทุเล
คืนที่กลับมานอนที่กองพัน โรงนอนเป็นแบบโรงนอนแยกเป็นกองร้อย เตียงนอนติดกัน ลุงนอนติดกับพลทหารนายนั้นที่พึ่งพลีชีพจากการประทะกัน ข้าวของยังไม่ถูกเก็บไปใหน กีตาร์ที่พลทหารนายนั้นชอบเล่นวางอยู่ริมตู้เสื้อผ้าข้างเตียง กลางดึกสงัด เสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นมายังกองพันฟังดูเหมือนเสียงรองเท้าคอมแบทเดินขึ้นมายังโรงนอน ตอนแรกลุงคิดว่าเป็น สห.มาเดินตรวจความเรียบร้อย ลุงลืมตาขึ้นกวาดสายตาฝ่าความมืด
เห็นเงาตะคุ่มแต่งกายชุดทหารแน่นอนเดินอย่างช้าๆ ตอนนั้นมีลุงกับลูกน้องนอนกันอยู่3-4คน ไม่ได้นอนรวมกับทหารนายอื่น ลุงค่อยๆเอื้อมหยิบมีดพกใต้หมอนเตรียมไว้เพราะในใจยัง50-50กลัวว่าจะเป็น ผกค. ลุงผมทำเป็นเหมือนหลับแต่ในมือยังกำมีดแน่นเตรียมพร้อมจะจู่โจมหากเป็นทหารฝ่ายตรงข้าม เงานั้นเคลื่อนผ่านหน้าเตียงของลุง กรึบ กรึบ กรึบ เสียงรองเท้าคอมแบต กะทบกับพื้นไม้ก่อนจะหยุดอยู่ตรงเตียงถัดไปของลุง แกร๊งงงง เสียงเหมือนมีคนลูบสายกีตาร์ ปุกปุก เงานั้นก้มปัดที่นอนก่อนจะเดิน ไปยังท้ายโรงนอนซึ่งเป็นห้องน้ำ (โรงนอนค่อนข้างดีเพราะเป็นโรงนอนของนายทหารสัญญาบัตรแต่ส่วนใหญ่นายทหารมักจะไปซื้อบ้านอยู่นอกค่ายมากกว่า) ซ่าาา ซ่าาาาา เสียงเหมือนคนอาบน้ำ ยกขันตักอาบ ลุงผมแกไม่กลัวอยู่แล้วคับเรื่องผี แกสะบัดผ้าห่มออก ลุงออกจากเตียงพลางเดินย่องตามไปดูต้นเสียงแต่ในมือยังกำมีดพกแน่น พอมาถึงหน้าห้องน้ำลุงแกค่อยๆแอบโผล่าหน้าเข้าไปดูเจอแต่ความมืดมิด มือเอื้อมเปิดไฟ แป๊ะ ไฟห้องน้ำถูกเปิดขึ้นทำให้ทัศนะในการมองชัดเจน100เปอร์เซ็น ภาพที่อยู่ข้างหน้ามีแต่เพียงอ่างน้ำที่ไว้ใช้ตักอาบกับห้องไว้เปลี่ยนเสื้อผ้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ พื้นก็แห้งๆเปียกๆนิดหน่อย แต่ทว่าไปสะดุดกับผิวน้ำในอ่าง ซึ่งกะเพื่อมเหมือนมีคนตัก มีขันใบเล็กลอยกระเพื่อม เหมือนพึ่งมีคนมาอาบอย่างไงอย่างงั้น ลุงผมจึงหันหลังจะเดินกลับ พลางเห็นเงากำลังเดิน กรึบๆๆ ตามทางเดินออกไป ยังเตียงนอนข้างๆเตียงลุง "นั่นใคร!?" เสียงลุงถามไปยังเงาปริศนา เงานั้นหยุดเล็กน้อยก่อนจะเดินหายไปยังเตียงนอนข้างๆลุง
เดี๋ยวมาต่อนะคร้าบบ ^^