ใครจะสามารถบอกได้บ้างว่าความหมายของ 'ชีวิต' คืออะไร
เราหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย
ตอนนี้เครียดๆเบื่อๆเรื่องการใช้ชีวิตในที่ที่เราเลือกมาเรียน เราบอกก่อนว่าเราเรียนวิทยาลัยต้องอยู่หอพักในตั้งแต่เข้าปี1จนถึงจบ เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ตอนนี้ ชีวิตของเราเหมือนไม่ใช่ของเรา ไม่ได้ใช้ชีวิตของเราเลย การใช้ชีวิตเหมือนมีตัวเลือกให้แต่เราก็มีสิทธิ์เลือกได้แค่สิ่งที่กำหนดมาไว้แล้วเท่านั้น มีแต่กฏเกณฑ์ ลำพังการเรียนก็เครียดพออยู่แล้วยังต้องมาลำบากใจกับการใช้ชีวิตอีก เราเป็นคนรักอิสระ ชอบธรรมชาติ ชอบการผจญภัยลุยๆ และอีกอย่างเราอยากทำงานที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ได้เดินทางไปในที่ขาดแคลนเพื่อจะมอบความช่วยเหลือ ก่อนจบมัธยมเรามีอุดมการณ์ว่าอยากหอบกระเป๋าออกไปให้ไกลๆ อยากไปเรียนในที่ที่ไกลๆ ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก เราจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้จินตนาการว่าได้ไปอยู่ท่ามกลางผืนป่า ภูเขา น้ำตก นี่แหล่ะคือสิ่งที่เราฝันไว้ และแล้วความฝันของเราก็เกือบจะเป็นจริงเมื่อเราสอบติดคณะสังคมสงเคราะห์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเราได้เลือกลงวิทยาเขตที่อยู่ในภาคเหนือที่ที่มีธรรมชาติอันงดงามตามฝันที่เราต้องการ ตอนนั้นเราดีใจมากที่สอบติดและคิดว่านี่แหล่ะมันใช่สำหรับความฝันและอุดมการณ์ของเรา แต่มันต้องจบลงเหมือนมีคนมาดับไฟฝันของเราให้วูบลงทันทีเมื่อมีการประกาศผลของคณะพยาบาลที่เราได้สมัครไว้ มีชื่อเราเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ความลังเลจึงบังเกิดเพราะทางครอบครัวเริ่มมีการกดดันให้เลือกคณะพยาบาล ด้วยฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างลำบาก ท่านก็พูดประมาณว่าในอนาคตอยากให้มีอาชีพที่มั่นคงหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ตายาย พ่อแม่ก็ทนลำบากมาเยอะเพื่อจะได้ส่งเราเรียน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน อีกอย่างเราก็เป็นพี่คนโตทุกคนก็หวังกับเราท่านก็อยากเห็นลูกหลานใส่ชุดขาวให้ได้ภูมิใจสักครั้งและที่สำคัญใกล้บ้านด้วย เนื่องจากท่านไม่อยากให้เราไปเรียนไกลๆอยู่แล้ว จากนั้นเราจึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน ก็มีคำพูดของเพื่อนคำนึงที่ทำให้เราเริ่มเอนเอียงมาว่า 'เรียนพยาบาลก็ได้ช่วยเหลือคนเหมือนกัน' ไอ่เราก็คิดว่าก็จริงที่เพื่อนพูด ตัดใจก็ได้ ยอมทำเพื่อครอบครัวล่ะกัน และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เราเลือกมาอยู่ที่นี่
อย่างที่บอกว่าการใช้ชีวิตที่นี่มีกฏระเบียบเพราะอยู่กับคนหมู่มาก มีเวลาในการเข้า-ออกหอพัก เพราะเป็นหอใน มีระบบการปกครองที่เรียกว่า seniority มันคือการเคารพนับถือระบบอาวุโสโดยยึดคุณวุฒิเป็นสำคัญไม่เกี่ยวกับวัยวุฒิ ซึ่งก็หมายความว่าพี่จะถูกเสมอ การซื้อกับข้าวที่โรงอาหาร การเข้าห้องน้ำรวมมีหลักว่าต้องถามว่า 'ใครเป็นคนสุดท้ายคะ' เมื่อเจอพี่ไม่ว่าจะเจอที่ไหน เจอกี่ครั้ง เดินผ่านพี่กี่ครั้งก็ต้องไหว้พี่เสมอ การดื่มน้ำการกินอาหารต้องหาที่นั่งกินในที่ที่จัดให้ การโทรศัพท์ถ้าเดินๆอยู่แล้วมีคนโทรเข้าต้องหาที่นั่งแล้วนั่งคุยให้เรียบร้อย มีอยู่บ่อยครั้งที่เดินตลาดอยู่แล้วต้องนั่งลงรับโทรศัพท์ท่ามกลางสายตาคนอื่นที่จ้องมองด้วยความสงสัยว่าจะนั่งลงทำไม ซึ่งอันนี้เราก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องทำแบบนั้น? อีกเรื่องคือเราเข้าใจมาตลอดว่าเข้าเรียนอุดมศึกษาไม่ต้องมายืนเข้าแถวเคารพธงชาติ เช็กชื่อตอนเช้า แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่กลายเป็นว่าเราเข้าใจผิดมาตลอดหรอ แถมอยู่ที่นี่มีข้อตกลงอยู่คือไม่ว่าจะไปไหนต้องไปก่อนเวลา15นาที ซึ่งก็หมายความว่าเราต้องเข้าแถวตอนเช้าเวลา 7.45น. โอ้โห!! ขนาดตอนมัธยมเข้าแถว 8โมงยังแทบจะไม่ทัน และเวลาที่อนุญาตให้ออกจากหอพักได้คือช่วง 16.00-19.30 และต้องไปเซ็นต์ออกเซ็นต์เข้ากับเวรสุขภาพทุกครั้ง ตอนเย็น 19.30 ต้องมาเข้าแถวเช็กชื่ออีกรอบ หลังจากนั้น 19.45 ต้องออกมาสวดมนต์ไหว้พระหน้าเมทโดยพร้อมเพรียงกันทุกวัน ยกเว้นเย็นวันศุกร์-เสาร์ เพราะเป็นวันที่ปล่อยกลับบ้าน แล้วต้องกลับเข้ามาให้ถึงหอพักภายใน 19.30 ของวันอาทิตย์ หากมีผู้ปกครองมาเยี่ยมให้ไปพบได้ที่ศาลาพบญาติเท่านั้น ผู้ปกครองไม่มีสิทธิ์เข้ามาในเขตหอพัก ส่วนเรื่องการเรียนก็เริ่ม 8.00-16.00 คือไม่ต่างจากมัธยมเลยยยยย นอกจากนี้แล้วก็มีกิจกรรมเยอะมากๆๆๆ ปี1ยิ่งต้องทำแต่กิจกรรม เวลาช่วงดึกจะเริ่มตั้งแต่20.00 - 22.00 บางครั้งก็มีซ้อมกีฬาบ้าง ซ้อมเชียร์บ้าง ที่บ่อยก็จะเป็นซ้อมบูม ซ้อมร้องเพลง บอกเลยว่าที่นี่มีงานอะไรก็ร้องเพลงตลอดๆและต้องร้องเหมือนประสานเสียงเพราะต้องร้องปากเปล่าและมีวิธีการยืน ให้ยืนบ่ายสองควบคู่กับการถือเทียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีที่ขาดไม่ได้ เช่น งานวันพี่รับหมวกเลื่อนชั้นปี งานวันพี่รับทรานสคริป ฯลฯ เพลงที่ร้องบ่อยๆก็จะเป็นเพลงมาร์ชพยาบาล เพลงผู้หญิงสีขาว เพลงปริญญาของแม่ ฯลฯ การปิดเทอมมากสุดก็ปิด7วัน แถมยังเรียน3เทอม รวมภาคฤดูร้อนที่บังคับตายตัวว่าต้องเรียนทุกคน วิชาเลือกที่เหมือนว่าให้เราเลือกแต่จริงๆคือเขากำหนดมาแล้วว่าต้องเลือกเรียนอันเดียวกันทุกคน ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเครียด เหนื่อย และเบื่อ เราจึงได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าแทนที่เราจะได้ปิดเทอมนานๆเหมือนเพื่อนคนอื่น ได้ใช้ชีวิตที่ไม่มีขอบเขตที่มาจำกัดเรามากขนาดนี้ หลายครั้งเราก็ปลอบใจตัวเองว่าทำเพื่อคนที่อยู่ข้างหลังอดทนหน่อย ท่านหาเงินส่งเราเรียนยิ่งเหนื่อยกว่า อีกอย่างอาชีพเราก็เป็นอาชีพที่มีเกียรติได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เราได้บุญนะ เราเป็นคนที่มีนิสัยคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย และนิสัยที่เลิกไม่ได้จนเพื่อนต้องบอกเราว่า อย่าแคร์คนอื่นมากไปมันจะทำให้เราทุกข์ซะเอง แต่ที่สุดแล้วเราก็ยังอดคิดไม่ได้ เราหาความหมายของชีวิตเราไม่เจอ
เรายังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเรามาอยู่ที่นี่เพราะอะไร เราจะทนอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนี้ได้อีกนานแค่ไหน
ตอนที่เรามาเขียนกระทู้นี้เราเครียดมาก แต่พอเขียนจบมันก็เหมือนได้ระบายสิ่งที่อึดอัดออกมาแล้วล่ะ
ยังไงก็อย่าว่าเรานะ เราแค่อยากถามเพื่อนๆว่ามีคนเป็นแบบเราบ้างมั้ย เราจะทำยังไงต่อไป จะมีใครเข้าใจเราบ้าง
ชีวิตคืออะไร?
เราหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย
ตอนนี้เครียดๆเบื่อๆเรื่องการใช้ชีวิตในที่ที่เราเลือกมาเรียน เราบอกก่อนว่าเราเรียนวิทยาลัยต้องอยู่หอพักในตั้งแต่เข้าปี1จนถึงจบ เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ตอนนี้ ชีวิตของเราเหมือนไม่ใช่ของเรา ไม่ได้ใช้ชีวิตของเราเลย การใช้ชีวิตเหมือนมีตัวเลือกให้แต่เราก็มีสิทธิ์เลือกได้แค่สิ่งที่กำหนดมาไว้แล้วเท่านั้น มีแต่กฏเกณฑ์ ลำพังการเรียนก็เครียดพออยู่แล้วยังต้องมาลำบากใจกับการใช้ชีวิตอีก เราเป็นคนรักอิสระ ชอบธรรมชาติ ชอบการผจญภัยลุยๆ และอีกอย่างเราอยากทำงานที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ได้เดินทางไปในที่ขาดแคลนเพื่อจะมอบความช่วยเหลือ ก่อนจบมัธยมเรามีอุดมการณ์ว่าอยากหอบกระเป๋าออกไปให้ไกลๆ อยากไปเรียนในที่ที่ไกลๆ ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก เราจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้จินตนาการว่าได้ไปอยู่ท่ามกลางผืนป่า ภูเขา น้ำตก นี่แหล่ะคือสิ่งที่เราฝันไว้ และแล้วความฝันของเราก็เกือบจะเป็นจริงเมื่อเราสอบติดคณะสังคมสงเคราะห์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเราได้เลือกลงวิทยาเขตที่อยู่ในภาคเหนือที่ที่มีธรรมชาติอันงดงามตามฝันที่เราต้องการ ตอนนั้นเราดีใจมากที่สอบติดและคิดว่านี่แหล่ะมันใช่สำหรับความฝันและอุดมการณ์ของเรา แต่มันต้องจบลงเหมือนมีคนมาดับไฟฝันของเราให้วูบลงทันทีเมื่อมีการประกาศผลของคณะพยาบาลที่เราได้สมัครไว้ มีชื่อเราเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ความลังเลจึงบังเกิดเพราะทางครอบครัวเริ่มมีการกดดันให้เลือกคณะพยาบาล ด้วยฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างลำบาก ท่านก็พูดประมาณว่าในอนาคตอยากให้มีอาชีพที่มั่นคงหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ตายาย พ่อแม่ก็ทนลำบากมาเยอะเพื่อจะได้ส่งเราเรียน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน อีกอย่างเราก็เป็นพี่คนโตทุกคนก็หวังกับเราท่านก็อยากเห็นลูกหลานใส่ชุดขาวให้ได้ภูมิใจสักครั้งและที่สำคัญใกล้บ้านด้วย เนื่องจากท่านไม่อยากให้เราไปเรียนไกลๆอยู่แล้ว จากนั้นเราจึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน ก็มีคำพูดของเพื่อนคำนึงที่ทำให้เราเริ่มเอนเอียงมาว่า 'เรียนพยาบาลก็ได้ช่วยเหลือคนเหมือนกัน' ไอ่เราก็คิดว่าก็จริงที่เพื่อนพูด ตัดใจก็ได้ ยอมทำเพื่อครอบครัวล่ะกัน และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เราเลือกมาอยู่ที่นี่
อย่างที่บอกว่าการใช้ชีวิตที่นี่มีกฏระเบียบเพราะอยู่กับคนหมู่มาก มีเวลาในการเข้า-ออกหอพัก เพราะเป็นหอใน มีระบบการปกครองที่เรียกว่า seniority มันคือการเคารพนับถือระบบอาวุโสโดยยึดคุณวุฒิเป็นสำคัญไม่เกี่ยวกับวัยวุฒิ ซึ่งก็หมายความว่าพี่จะถูกเสมอ การซื้อกับข้าวที่โรงอาหาร การเข้าห้องน้ำรวมมีหลักว่าต้องถามว่า 'ใครเป็นคนสุดท้ายคะ' เมื่อเจอพี่ไม่ว่าจะเจอที่ไหน เจอกี่ครั้ง เดินผ่านพี่กี่ครั้งก็ต้องไหว้พี่เสมอ การดื่มน้ำการกินอาหารต้องหาที่นั่งกินในที่ที่จัดให้ การโทรศัพท์ถ้าเดินๆอยู่แล้วมีคนโทรเข้าต้องหาที่นั่งแล้วนั่งคุยให้เรียบร้อย มีอยู่บ่อยครั้งที่เดินตลาดอยู่แล้วต้องนั่งลงรับโทรศัพท์ท่ามกลางสายตาคนอื่นที่จ้องมองด้วยความสงสัยว่าจะนั่งลงทำไม ซึ่งอันนี้เราก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องทำแบบนั้น? อีกเรื่องคือเราเข้าใจมาตลอดว่าเข้าเรียนอุดมศึกษาไม่ต้องมายืนเข้าแถวเคารพธงชาติ เช็กชื่อตอนเช้า แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่กลายเป็นว่าเราเข้าใจผิดมาตลอดหรอ แถมอยู่ที่นี่มีข้อตกลงอยู่คือไม่ว่าจะไปไหนต้องไปก่อนเวลา15นาที ซึ่งก็หมายความว่าเราต้องเข้าแถวตอนเช้าเวลา 7.45น. โอ้โห!! ขนาดตอนมัธยมเข้าแถว 8โมงยังแทบจะไม่ทัน และเวลาที่อนุญาตให้ออกจากหอพักได้คือช่วง 16.00-19.30 และต้องไปเซ็นต์ออกเซ็นต์เข้ากับเวรสุขภาพทุกครั้ง ตอนเย็น 19.30 ต้องมาเข้าแถวเช็กชื่ออีกรอบ หลังจากนั้น 19.45 ต้องออกมาสวดมนต์ไหว้พระหน้าเมทโดยพร้อมเพรียงกันทุกวัน ยกเว้นเย็นวันศุกร์-เสาร์ เพราะเป็นวันที่ปล่อยกลับบ้าน แล้วต้องกลับเข้ามาให้ถึงหอพักภายใน 19.30 ของวันอาทิตย์ หากมีผู้ปกครองมาเยี่ยมให้ไปพบได้ที่ศาลาพบญาติเท่านั้น ผู้ปกครองไม่มีสิทธิ์เข้ามาในเขตหอพัก ส่วนเรื่องการเรียนก็เริ่ม 8.00-16.00 คือไม่ต่างจากมัธยมเลยยยยย นอกจากนี้แล้วก็มีกิจกรรมเยอะมากๆๆๆ ปี1ยิ่งต้องทำแต่กิจกรรม เวลาช่วงดึกจะเริ่มตั้งแต่20.00 - 22.00 บางครั้งก็มีซ้อมกีฬาบ้าง ซ้อมเชียร์บ้าง ที่บ่อยก็จะเป็นซ้อมบูม ซ้อมร้องเพลง บอกเลยว่าที่นี่มีงานอะไรก็ร้องเพลงตลอดๆและต้องร้องเหมือนประสานเสียงเพราะต้องร้องปากเปล่าและมีวิธีการยืน ให้ยืนบ่ายสองควบคู่กับการถือเทียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีที่ขาดไม่ได้ เช่น งานวันพี่รับหมวกเลื่อนชั้นปี งานวันพี่รับทรานสคริป ฯลฯ เพลงที่ร้องบ่อยๆก็จะเป็นเพลงมาร์ชพยาบาล เพลงผู้หญิงสีขาว เพลงปริญญาของแม่ ฯลฯ การปิดเทอมมากสุดก็ปิด7วัน แถมยังเรียน3เทอม รวมภาคฤดูร้อนที่บังคับตายตัวว่าต้องเรียนทุกคน วิชาเลือกที่เหมือนว่าให้เราเลือกแต่จริงๆคือเขากำหนดมาแล้วว่าต้องเลือกเรียนอันเดียวกันทุกคน ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเครียด เหนื่อย และเบื่อ เราจึงได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าแทนที่เราจะได้ปิดเทอมนานๆเหมือนเพื่อนคนอื่น ได้ใช้ชีวิตที่ไม่มีขอบเขตที่มาจำกัดเรามากขนาดนี้ หลายครั้งเราก็ปลอบใจตัวเองว่าทำเพื่อคนที่อยู่ข้างหลังอดทนหน่อย ท่านหาเงินส่งเราเรียนยิ่งเหนื่อยกว่า อีกอย่างอาชีพเราก็เป็นอาชีพที่มีเกียรติได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เราได้บุญนะ เราเป็นคนที่มีนิสัยคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย และนิสัยที่เลิกไม่ได้จนเพื่อนต้องบอกเราว่า อย่าแคร์คนอื่นมากไปมันจะทำให้เราทุกข์ซะเอง แต่ที่สุดแล้วเราก็ยังอดคิดไม่ได้ เราหาความหมายของชีวิตเราไม่เจอ
เรายังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเรามาอยู่ที่นี่เพราะอะไร เราจะทนอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนี้ได้อีกนานแค่ไหน
ตอนที่เรามาเขียนกระทู้นี้เราเครียดมาก แต่พอเขียนจบมันก็เหมือนได้ระบายสิ่งที่อึดอัดออกมาแล้วล่ะ
ยังไงก็อย่าว่าเรานะ เราแค่อยากถามเพื่อนๆว่ามีคนเป็นแบบเราบ้างมั้ย เราจะทำยังไงต่อไป จะมีใครเข้าใจเราบ้าง