ผมอายุ 29 ปี แล้วครับ พื้นฐานเลยเป็นเด็กบ้านนอกครับ(จังหวัดไม่ไกล กทม.) อยู่ กทม. มารวมปีนี้ก็ 10 แล้วครับ
เรียน 4 ปี ทำงานอีก 6 ปี ถ้าคิดย้อนกลับไปวันที่ผมตัดสินใจเข้ามาเรียนที่นี่ ก็เพราะ อยากใช้ชีวิตในกรุงเทพ ในเมืองที่คิดว่าสวยหรู ไปไหนมาไหนสะดวก
มีเพื่อน มีห้าง มีอะไรต่อมิอะไรที่ในทีวีเค้ามี จินตนาการแล้วมันคงจะดี๊ดีย์ ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาเป็นอย่างที่วาดภาพไว้ครับ สนุดสนานกับชีวิต เฮฮา
จนกระทังเรียนจบ อาการที่เกิดขึ้นคือ ติดกรุงเทพ ไม่อยากกลับบ้าน กระ
กระสนดิ้นรนให้ได้งานที่กทม. ทางบ้านก็บอก ก็พูดว่าลองมางานแถวบ้านเราไหม ประหยัด ใกล้บ้าน อยู่กับครอบครัว ก็ไม่ฟัง จนสรุปได้ทำงานใน กทม. แพทเทิ้ล เดียวกับมนุษย์ทั่วไปเลยครับ สตาร์ทไม่กี่บาท แล้วก็ทำงานมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที 6 ถามถึงเรื่องรายได้ปกติครับ ไม่ถึงขั้นเดือนร้อนหรือขัดสน
แพร่ม....มาซะนาน อาการตอนนี้คือ เริ่มรู้สึกเบื่อ เบื่อกับชีวิตประจำวัน คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ มีอยู่ครั้งนึงครับ ผมกลับไปบ้าน(ตจว) แล้วได้มีโอกาสไปขี่มอไซค์เล่นแถวๆ บ้านกับแม่ เชื่อไหมครับ แค่เห็นภาพบรรยากาศเก่าๆ ที่สมัยเด็กเราเคยใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ผมถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความคิดถึงพร้อมทั้งเสียดาย 10 ปี ที่ผมเสียไปให้กับเมืองใจร้าย คนบ้านนอกขี่รถสวนกันยิ้มให้กัน บ้านไกลกันเป็นทุ่งนากั้นยังไปมาหาสู่
ถามว่ากรุงเทพมันใจร้ายอย่างไรอ่ะเหรอ ว่าไปจะโทษไปกรุงเทพอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษที่เราตัวผมเองฝืน(กระแดะ)อยากจะมีชีวิตหรูหราด้วยถึงจะถูก กรุงเทพเมืองที่มีตึกสูงใหญ่โต ตึกที่มีห้องอยู่ติดๆ กัน เรียงเป็นตับ ผมอาศัยอยู่คนเดียวในตึกแบบนั้น แต่ถามว่าแต่ละห้องรู้จักกันไหม??? เจ็บป่วยมาก็มีแต่เราคนเดียวที่จะดูแลตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมทานข้าวคนเดียวในขณะที่บ้านทานข้าวพร้อมหน้ากัน บ่อยครั้งที่ผมต้องคิดตัดสินใจอะไรคนเดียวทั้งๆ ที่อยากให้มีทางบ้านหรือใครคอยให้คำปรึกษา
สังคมมนุษย์อ๊อฟฟิต ก็อย่างที่เราได้เห็นแชร์เห็นโพสตามโซเชียลอ่ะครับ ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง เอาตัวรอดกันสุดพลังโหนก ไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะเดือดร้อน ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกว่าผมไม่เหมาะกับเมืองสวยใสแต่ใจร้ายอย่างกรุงเทพ
แต่จะว่าไปก็ต้องขอบคุณกรุงเทพนะครับ เมืองที่สอนให้ผมรู้จักเอาตัวรอดในทุกสถานการณ์ สอนให้ผมได้เห็นประสบการณ์ต่างๆ ที่เด็กบ้านนอกคนนึงไม่เคยได้เห็น และขอบคุณกรุงเทพที่ทำให้ผมจักคุณค่าของถิ่นฐานที่ผมจากมา
ใครมีเหตุการณ์สับสน เบื่อ เหงา อยู่ในเมืองใจร้ายแบบผม เรามาแลกเปลียนประสบการณ์กันนะครับ เพื่อเราจะได้ช่วยกันหาทางออกได้
tony.pt
กรุงเทพเมืองใจร้าย อยากกลับบ้านนอก ใครเป็นบ้างคราบบบ
เรียน 4 ปี ทำงานอีก 6 ปี ถ้าคิดย้อนกลับไปวันที่ผมตัดสินใจเข้ามาเรียนที่นี่ ก็เพราะ อยากใช้ชีวิตในกรุงเทพ ในเมืองที่คิดว่าสวยหรู ไปไหนมาไหนสะดวก
มีเพื่อน มีห้าง มีอะไรต่อมิอะไรที่ในทีวีเค้ามี จินตนาการแล้วมันคงจะดี๊ดีย์ ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาเป็นอย่างที่วาดภาพไว้ครับ สนุดสนานกับชีวิต เฮฮา
จนกระทังเรียนจบ อาการที่เกิดขึ้นคือ ติดกรุงเทพ ไม่อยากกลับบ้าน กระกระสนดิ้นรนให้ได้งานที่กทม. ทางบ้านก็บอก ก็พูดว่าลองมางานแถวบ้านเราไหม ประหยัด ใกล้บ้าน อยู่กับครอบครัว ก็ไม่ฟัง จนสรุปได้ทำงานใน กทม. แพทเทิ้ล เดียวกับมนุษย์ทั่วไปเลยครับ สตาร์ทไม่กี่บาท แล้วก็ทำงานมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที 6 ถามถึงเรื่องรายได้ปกติครับ ไม่ถึงขั้นเดือนร้อนหรือขัดสน
แพร่ม....มาซะนาน อาการตอนนี้คือ เริ่มรู้สึกเบื่อ เบื่อกับชีวิตประจำวัน คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ มีอยู่ครั้งนึงครับ ผมกลับไปบ้าน(ตจว) แล้วได้มีโอกาสไปขี่มอไซค์เล่นแถวๆ บ้านกับแม่ เชื่อไหมครับ แค่เห็นภาพบรรยากาศเก่าๆ ที่สมัยเด็กเราเคยใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ผมถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความคิดถึงพร้อมทั้งเสียดาย 10 ปี ที่ผมเสียไปให้กับเมืองใจร้าย คนบ้านนอกขี่รถสวนกันยิ้มให้กัน บ้านไกลกันเป็นทุ่งนากั้นยังไปมาหาสู่
ถามว่ากรุงเทพมันใจร้ายอย่างไรอ่ะเหรอ ว่าไปจะโทษไปกรุงเทพอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษที่เราตัวผมเองฝืน(กระแดะ)อยากจะมีชีวิตหรูหราด้วยถึงจะถูก กรุงเทพเมืองที่มีตึกสูงใหญ่โต ตึกที่มีห้องอยู่ติดๆ กัน เรียงเป็นตับ ผมอาศัยอยู่คนเดียวในตึกแบบนั้น แต่ถามว่าแต่ละห้องรู้จักกันไหม??? เจ็บป่วยมาก็มีแต่เราคนเดียวที่จะดูแลตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมทานข้าวคนเดียวในขณะที่บ้านทานข้าวพร้อมหน้ากัน บ่อยครั้งที่ผมต้องคิดตัดสินใจอะไรคนเดียวทั้งๆ ที่อยากให้มีทางบ้านหรือใครคอยให้คำปรึกษา
สังคมมนุษย์อ๊อฟฟิต ก็อย่างที่เราได้เห็นแชร์เห็นโพสตามโซเชียลอ่ะครับ ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง เอาตัวรอดกันสุดพลังโหนก ไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะเดือดร้อน ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกว่าผมไม่เหมาะกับเมืองสวยใสแต่ใจร้ายอย่างกรุงเทพ
แต่จะว่าไปก็ต้องขอบคุณกรุงเทพนะครับ เมืองที่สอนให้ผมรู้จักเอาตัวรอดในทุกสถานการณ์ สอนให้ผมได้เห็นประสบการณ์ต่างๆ ที่เด็กบ้านนอกคนนึงไม่เคยได้เห็น และขอบคุณกรุงเทพที่ทำให้ผมจักคุณค่าของถิ่นฐานที่ผมจากมา
ใครมีเหตุการณ์สับสน เบื่อ เหงา อยู่ในเมืองใจร้ายแบบผม เรามาแลกเปลียนประสบการณ์กันนะครับ เพื่อเราจะได้ช่วยกันหาทางออกได้