เรื่องนี้เป็นงานเขียนที่เขียนไว้เล่น ๆ นานมากแล้วนะคะ
แต่ยังไม่เคยได้มีโอกาสได้มาลง
ก่อนหน้านี้เคยลง blog ค่ายหนึ่งซื่งปิดตัวไปแล้ว
ขออนุญาตนำมาลงที่นี่อีกครั้งค่ะ อ่านกันเล่น ๆ ในวันว่างอย่างคิดมากนะคะ
ป.ล หาก Tag ผิดห้องอย่างไร ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
##########################################
Chapter I – สายลมแห่งโชคชะตา
เช้าตรู่ของวันทำงานของเดือนธันวาคม
หลังจากวันหยุดยาว ของมนุษย์เงินเดือน
ฉันเตรียมตัวออกเดินทางออกจากที่พักในมหานคร
จุดประสงค์แรก ๆ คือ เพื่อหลีกหนีจากปัญหา
ทิ้งมันไว้ที่ กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร
เพื่อจะไปอิงอกอ้อมกอดแห่งความเงียบสงบ ของหมู่บ้านเล็ก ๆ
ติดแม่น้ำโขง
ที่ที่คงไม่มีใครรู้จักฉัน
ฉันไปถึงตอนรุ่งเช้าพอดี อากาศเย็นเริ่มลาจากดินแดนแห่งนี้ไปแล้วทำให้อากาศหนาวก็ไม่หนาวมาก มีเพียงหมอกที่หนาตา อย่างน่าเศร้าใจ
มันทำให้ฉันไม่เห็นอะไรได้ชัดเจนนัก
ก็คงเหมือนความรู้สึกของฉันในเวลานี้
แม้ฉันจะอยู่กับตัวฉันเองมานานหลายสิบปี
แต่ฉันกลับรู้สึกว่า....ฉันไม่รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วฉันต้องการสิ่งใด
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันต้องวิ่งหนี หนีมาไกลถึงที่นี่
จากความเจ็บปวด การแก่งแย่ง แข่งขันของคนในเมืองใหญ่
การดูถูกเหยียดหยามค่าแห่งความเป็นมนุษย์ เพียงแค่เราไม่มีวัตถุเหมือนคนอื่น การถูกแทงข้างหลัง
และ การโกหก หลอกลวง
ซึ่งดูเหมือนเป็น กิจนิสัย ของชนชาวเมืองฟ้าอมร ไปเสียหมดแล้ว
----------------- // ---------------------
ฉันเดินช้า ๆ
มองสิ่งรอบ ๆ ตัว ราวกับว่า ลมหายใจของฉันค่อย ๆ แผ่วเบาลง เรื่อย ๆ
บางครั้งฉันอยากให้โลกหยุดหมุน บางครั้งฉันอยากให้มันเดินให้เร็ว ๆ
แต่น่าแปลกสำหรับที่นี่ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าโล่งสมองเช่นนี้มาก่อน
ฉันออกเดินไปเรื่อย ๆ
ไป เพื่อนค้นหาที่พักเล็ก ๆ ที่ฉันได้จองไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน
เพียงหวังว่า จะพักสายตา และ ร่างกายที่เหนื่อยอ่อน
จากการเดินทางทั้งคืน
รวมถึงหัวใจร้าวล้า
จากการตรากตรำและทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนรอบ ๆ ตัวมานานหลายปี
อย่างไม่มีการหยุดพัก
ฉันเองก็ไม่เข้าใจ
ว่าทำไม ฉันจึงหยุดอยู่นิ่ง ๆ อยู่ตรงนี้
ทั้ง ๆ ที่ฉันเองก็มีทางแยกที่ให้เลือกเดินต่อไปรออยู่ข้างหน้า
ทำไมฉันจึงหยุดอยู่ ณ ถนนที่เงียบเหงา แห่งนี้
หรือฉันจะแอบรอคอยอะไรบางอย่างที่ไม่มีวันจะมาถึง
ฉันได้ตัดสินใจที่จะเลิกถามหา
เลิกไขว่คว้าหาคำตอบจากสายหมอกที่ฉันเห็นว่ามันตั้งเค้าอยู่ตรงหน้าแล้ว
ฉันมักจะท่องไว้ในใจเสมอว่า....
"แล้วเวลา จะเป็นคำตอบ"
แต่ทำอย่างไรดี ตอนนี้ฉันสับสนเหลือเกิน
ฉันตบแก้มอูม ๆ ของฉันสองที
ก่อนจะออกเดินต่อไป
แสงแดดอุ่น ๆ อ่อน ๆ ไล่มา
ทำให้หมอกสลัวเริ่มจางหายไป
เดินไปตามทางเลาะเลียบริมแม่น้ำ
แต่ทำไมฉันยังรู้สึกว่าสายตาฉันยังมองอะไรไม่ชัดอยู่ดี
นานเท่าใดแล้วนะที่ฉันรู้สึกว่าโลกของฉันมันมัวหม่น
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันมองดูโลกได้สดใสมากขึ้น
และเป็นผู้ช่วยบันทึกเรื่องราวที่ฉันได้ผ่านมาก็คือเจ้ากล้องถ่ายรูปนี่เอง
ฉันจึงพกมันติดตัวเสมอเวลาไปไหนมาไหน
ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าฉันรักที่จะแบกเจ้ากล้องถ่ายรูปไปไหนมาไหนตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้ตัวอีกทีก็คือ มีคนมักจะบอกกับฉันว่า
"ฉันหลงรักการถ่ายภาพไปเสียแล้ว"
เพราะการบันทึกภาพแห่งความทรงจำที่งดงาม บางครั้งมันมีเวลาน้อยนิด
ไม่ว่าจะเป็นแสงสุดท้าย ก่อนตะวันตกดิน
น้ำค้างบนยอดหญ้าในยามเช้า ที่กำลังจะระเหย หายไป หลังจากดวงอาทิตย์โผล่หน้ามา
แต่ฉันสามารถหยุดเวลาเหล่านั้นไว้หลังเสียงชัตเตอร์ที่ดังกังวาลอย่างน่าหลงไหล
------------------------------ // ------------------------------
เดี๋ยวว่างแล้วจะมาต่อนะคะ ^^"
๋Journey of a little heart
แต่ยังไม่เคยได้มีโอกาสได้มาลง
ก่อนหน้านี้เคยลง blog ค่ายหนึ่งซื่งปิดตัวไปแล้ว
ขออนุญาตนำมาลงที่นี่อีกครั้งค่ะ อ่านกันเล่น ๆ ในวันว่างอย่างคิดมากนะคะ
ป.ล หาก Tag ผิดห้องอย่างไร ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
##########################################
Chapter I – สายลมแห่งโชคชะตา
เช้าตรู่ของวันทำงานของเดือนธันวาคม
หลังจากวันหยุดยาว ของมนุษย์เงินเดือน
ฉันเตรียมตัวออกเดินทางออกจากที่พักในมหานคร
จุดประสงค์แรก ๆ คือ เพื่อหลีกหนีจากปัญหา
ทิ้งมันไว้ที่ กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร
เพื่อจะไปอิงอกอ้อมกอดแห่งความเงียบสงบ ของหมู่บ้านเล็ก ๆ
ติดแม่น้ำโขง
ที่ที่คงไม่มีใครรู้จักฉัน
ฉันไปถึงตอนรุ่งเช้าพอดี อากาศเย็นเริ่มลาจากดินแดนแห่งนี้ไปแล้วทำให้อากาศหนาวก็ไม่หนาวมาก มีเพียงหมอกที่หนาตา อย่างน่าเศร้าใจ
มันทำให้ฉันไม่เห็นอะไรได้ชัดเจนนัก
ก็คงเหมือนความรู้สึกของฉันในเวลานี้
แม้ฉันจะอยู่กับตัวฉันเองมานานหลายสิบปี
แต่ฉันกลับรู้สึกว่า....ฉันไม่รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วฉันต้องการสิ่งใด
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันต้องวิ่งหนี หนีมาไกลถึงที่นี่
จากความเจ็บปวด การแก่งแย่ง แข่งขันของคนในเมืองใหญ่
การดูถูกเหยียดหยามค่าแห่งความเป็นมนุษย์ เพียงแค่เราไม่มีวัตถุเหมือนคนอื่น การถูกแทงข้างหลัง
และ การโกหก หลอกลวง
ซึ่งดูเหมือนเป็น กิจนิสัย ของชนชาวเมืองฟ้าอมร ไปเสียหมดแล้ว
----------------- // ---------------------
ฉันเดินช้า ๆ
มองสิ่งรอบ ๆ ตัว ราวกับว่า ลมหายใจของฉันค่อย ๆ แผ่วเบาลง เรื่อย ๆ
บางครั้งฉันอยากให้โลกหยุดหมุน บางครั้งฉันอยากให้มันเดินให้เร็ว ๆ
แต่น่าแปลกสำหรับที่นี่ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าโล่งสมองเช่นนี้มาก่อน
ฉันออกเดินไปเรื่อย ๆ
ไป เพื่อนค้นหาที่พักเล็ก ๆ ที่ฉันได้จองไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน
เพียงหวังว่า จะพักสายตา และ ร่างกายที่เหนื่อยอ่อน
จากการเดินทางทั้งคืน
รวมถึงหัวใจร้าวล้า
จากการตรากตรำและทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนรอบ ๆ ตัวมานานหลายปี
อย่างไม่มีการหยุดพัก
ฉันเองก็ไม่เข้าใจ
ว่าทำไม ฉันจึงหยุดอยู่นิ่ง ๆ อยู่ตรงนี้
ทั้ง ๆ ที่ฉันเองก็มีทางแยกที่ให้เลือกเดินต่อไปรออยู่ข้างหน้า
ทำไมฉันจึงหยุดอยู่ ณ ถนนที่เงียบเหงา แห่งนี้
หรือฉันจะแอบรอคอยอะไรบางอย่างที่ไม่มีวันจะมาถึง
ฉันได้ตัดสินใจที่จะเลิกถามหา
เลิกไขว่คว้าหาคำตอบจากสายหมอกที่ฉันเห็นว่ามันตั้งเค้าอยู่ตรงหน้าแล้ว
ฉันมักจะท่องไว้ในใจเสมอว่า....
"แล้วเวลา จะเป็นคำตอบ"
แต่ทำอย่างไรดี ตอนนี้ฉันสับสนเหลือเกิน
ฉันตบแก้มอูม ๆ ของฉันสองที
ก่อนจะออกเดินต่อไป
แสงแดดอุ่น ๆ อ่อน ๆ ไล่มา
ทำให้หมอกสลัวเริ่มจางหายไป
เดินไปตามทางเลาะเลียบริมแม่น้ำ
แต่ทำไมฉันยังรู้สึกว่าสายตาฉันยังมองอะไรไม่ชัดอยู่ดี
นานเท่าใดแล้วนะที่ฉันรู้สึกว่าโลกของฉันมันมัวหม่น
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันมองดูโลกได้สดใสมากขึ้น
และเป็นผู้ช่วยบันทึกเรื่องราวที่ฉันได้ผ่านมาก็คือเจ้ากล้องถ่ายรูปนี่เอง
ฉันจึงพกมันติดตัวเสมอเวลาไปไหนมาไหน
ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าฉันรักที่จะแบกเจ้ากล้องถ่ายรูปไปไหนมาไหนตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้ตัวอีกทีก็คือ มีคนมักจะบอกกับฉันว่า
"ฉันหลงรักการถ่ายภาพไปเสียแล้ว"
เพราะการบันทึกภาพแห่งความทรงจำที่งดงาม บางครั้งมันมีเวลาน้อยนิด
ไม่ว่าจะเป็นแสงสุดท้าย ก่อนตะวันตกดิน
น้ำค้างบนยอดหญ้าในยามเช้า ที่กำลังจะระเหย หายไป หลังจากดวงอาทิตย์โผล่หน้ามา
แต่ฉันสามารถหยุดเวลาเหล่านั้นไว้หลังเสียงชัตเตอร์ที่ดังกังวาลอย่างน่าหลงไหล
------------------------------ // ------------------------------
เดี๋ยวว่างแล้วจะมาต่อนะคะ ^^"