บทนำ
“คุณวิรงรอง นี่คือ หลักฐานการติดต่อของคุณกับผู้รับเหมารายนี้ ซึ่งส่อแววว่าเป็นการทุจริต เหตุการณ์นี้ทำให้ บริษัทเราเสียหายเป็นอย่างมาก ผมเสียใจจริงๆ ที่จำเป็นต้องเลิกจ้างคุณ แล้ว จำเป็นต้องดำเนินการฟ้องร้องเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงย่างกับพนักงานคนอื่น คำอธิบายของคุณเก็บไปใช้ในชั้นศาลก็แล้วกัน”
ประโยคฟ้าผ่า ที่เหมือนปลิดวิญญาณของเธอไปแล้ว ยังคงดังก้องอยู่ในใจ ภาพของแม่ ยาย และน้องชาย ลอยเด่นขึ้นมา วิรงรองคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะกลับไปบอกกับทุกคนยังไง ที่อยู่ๆ พนักงานดีเด่น โดนไล่ออกจากงาน เพราะข้อหาทุจริต และกำลังจะตกเป็นจำเลยในคดีฟ้องร้อง
คิดถึงภาระหนี้บ้านก้อนโต กับค่ารักษาพยาบาลของแม่และยาย น้องชายที่กำลังเรียนหมอชั้นปีที่สาม วิรงรองก็รู้สึกเหมือนกับมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ที่บ่าทั้งสองข้าง แต่ที่หนักหนากว่าหินก้อนโต คือ เธอไม่อาจทนรับสายตาผิดหวัง ระคนแคลงใจสงสัย จากเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ไหนจะความรู้สึกของทุกคนที่บ้านอีก จะเสียใจแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อคิดตรงนี้สองขาของวิรงรองก็หมดแรงที่จะก้าวเดินต่อ ร่างกายสั่นเทิ้มควบคุมไม่อยู่ ความหนาวเย็นแล่นจับเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ในสมองอึงอลสับสน จับต้นชนปลายความคิดไม่ถูก จนสุดท้ายต้องพาร่างของตัวเองมาทรุดนั่งตรงเก้าอี้ที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง
‘จะทำยังไงดี จะทำยังต่อไป ฉันจะทำยังไง’
สามประโยคที่วิ่งวนอยู่ในห้วงความคิด ตัดขาดวิรงรองจากการรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก
เสียงกรีดร้อง โกลาหล กลายเป็นแค่เสียงดังแว่วๆ ที่ไม่อาจดึงเธอขึ้นมาจากหล่มความคิดได้ สิ่งสุดท้ายที่วิรงรองรับรู้ คือ แสงไฟจ้า และแรงกระแทก บีบอัด ความเจ็บปวด รวดร้าวทั่วสรรพางค์ และทุกอย่างก็ดับวูบลง
--------------------------------------------------------------------------
Return...สายน้ำที่ไหลกลับ (บทนำ)
“คุณวิรงรอง นี่คือ หลักฐานการติดต่อของคุณกับผู้รับเหมารายนี้ ซึ่งส่อแววว่าเป็นการทุจริต เหตุการณ์นี้ทำให้ บริษัทเราเสียหายเป็นอย่างมาก ผมเสียใจจริงๆ ที่จำเป็นต้องเลิกจ้างคุณ แล้ว จำเป็นต้องดำเนินการฟ้องร้องเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงย่างกับพนักงานคนอื่น คำอธิบายของคุณเก็บไปใช้ในชั้นศาลก็แล้วกัน”
ประโยคฟ้าผ่า ที่เหมือนปลิดวิญญาณของเธอไปแล้ว ยังคงดังก้องอยู่ในใจ ภาพของแม่ ยาย และน้องชาย ลอยเด่นขึ้นมา วิรงรองคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะกลับไปบอกกับทุกคนยังไง ที่อยู่ๆ พนักงานดีเด่น โดนไล่ออกจากงาน เพราะข้อหาทุจริต และกำลังจะตกเป็นจำเลยในคดีฟ้องร้อง
คิดถึงภาระหนี้บ้านก้อนโต กับค่ารักษาพยาบาลของแม่และยาย น้องชายที่กำลังเรียนหมอชั้นปีที่สาม วิรงรองก็รู้สึกเหมือนกับมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ที่บ่าทั้งสองข้าง แต่ที่หนักหนากว่าหินก้อนโต คือ เธอไม่อาจทนรับสายตาผิดหวัง ระคนแคลงใจสงสัย จากเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ไหนจะความรู้สึกของทุกคนที่บ้านอีก จะเสียใจแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อคิดตรงนี้สองขาของวิรงรองก็หมดแรงที่จะก้าวเดินต่อ ร่างกายสั่นเทิ้มควบคุมไม่อยู่ ความหนาวเย็นแล่นจับเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ในสมองอึงอลสับสน จับต้นชนปลายความคิดไม่ถูก จนสุดท้ายต้องพาร่างของตัวเองมาทรุดนั่งตรงเก้าอี้ที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง
‘จะทำยังไงดี จะทำยังต่อไป ฉันจะทำยังไง’
สามประโยคที่วิ่งวนอยู่ในห้วงความคิด ตัดขาดวิรงรองจากการรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก
เสียงกรีดร้อง โกลาหล กลายเป็นแค่เสียงดังแว่วๆ ที่ไม่อาจดึงเธอขึ้นมาจากหล่มความคิดได้ สิ่งสุดท้ายที่วิรงรองรับรู้ คือ แสงไฟจ้า และแรงกระแทก บีบอัด ความเจ็บปวด รวดร้าวทั่วสรรพางค์ และทุกอย่างก็ดับวูบลง
--------------------------------------------------------------------------