#บทกวีเรื่อง...ศรีธนญชัย ตอนที่ 10# 10.1-10.4

ตอนอื่นๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

                                      
ตอนที่ 10. อวสานศรีธนญชัย

                                    
10.1  ดาวประกายพรึก

    
ศรีธนญชัย ผ่านล่วง เข้ากลางวัย        คิดอยากใคร่ บวชเรียน เวียนอีกครั้ง
จึงกราบทูล เหนือหัว เข้าในวัง                ได้สมหวัง ตรัสให้ลา  ราชการ
    ระหว่างบวช ประพฤติ เป็นสงฆ์ดี        จนเป็นที่ ชื่นชม ของชาวบ้าน
อีกคนใกล้ เณรชี  ท่านสมภาร                พาเล่าขาน ความดี ศรีธนญชัย
    แต่สันดาน ความล้น ไม่พ้นหนี        วันคืนดี โผล่พ้น ขึ้นจนได้
วันญาติโยม นิมนต์ สมภารไป                กำชับให้ ศรีธนญชัย ปลุกเร็วพลัน
    พรุ่งนี้ให้ ปลุกข้า แต่เช้าตรู่            สังเกตดู ดาวพรึก ขอบฟ้านั่น
ดาวส่องแสง เมื่อใด เรียกปลุกกัน            รับคำสั่ง แข็งขัน นั่งครึ่งคืน
    ทนง่วงนั่ง บนกุฎิ อยากหลับตา        รำพึงว่า เหตุไฉน ต้องทนฝืน
อดนอนรอ ดาวพรึก ดึกค่ำคืน                จึงลุกยืน  คิดคด ลดเวลา
    นำโคมไฟ ปีนแขวน ยอดไม้ไกล        เห็นแสงไฟ เรืองรอง ส่องเวหา
เรียกสมภาร ตื่นขอรับ ถึงเวลา                ปลุกดังมา ลุกงัวเงีย เพลียตกใจ
                                      
    ถอนใจนอน เพียงครู่ เช้าตรู่แล้ว        แสงดาวแวว ส่องอยู่ ดูสดใส
คว้าจีวร รีบห่ม จากวัดไป                กำชับสั่ง ศรีธนญชัย ให้ดูแล
    อย่านอนเพลิน ขโมยขึ้น กุฏิได้        รับคำไว้ หลับสบาย ไม่แยแส
สมภารถึง บ้านโยม เดินวนแล                ยืนรอแค่ หน้าประตู อยู่ใจเย็น

                            
…………………………………

    ข้อคิด –  เมื่อมอบหมายงานให้คนฉลาดและเจ้าเล่ห์ ต้องระมัดระวังให้มากและ
เมื่อสั่งกำชับให้ทำเรื่องใด ก็ต้องตรวจสอบใกล้ชิด เพราะคนจำพวกนี้ ไม่เคยรักษาคำพูด
หากแก้ปัญหาโดย ไม่ใช้งานเลย  กลับยิ่งเป็นประโยชน์กับเขาเสียอีก


                    
                  
10.2 ไล่ขโมย

    
ยังมืดนัก เกรงใจ ไม่กล้าเอ่ย            รอล่วงเลย เพียงครู่ มีผู้เห็น
เจ้าบ้านลุก จัดเตรียม ของจำเป็น            เงาคนเร้น  ไปมา หน้าประตู
จึงย่องปล่อย สุนัข ออกจากเสา        วิ่งไล่เห่า ขโมย โดยไม่รู้
สมภารหนี ซมซาน ผ่านหลุมคู                น่าหดหู่  วิ่งหนี จีวรปลิว  
                                  
    กลับถึงวัด ท้องฟ้า ยังไม่สาง            เหงื่อเป็นทาง ท่วมตัว ทั่วหน้าผิว
ฟ้ายังมืด ดำเร้น ไม่เห็นวิว                ทั้งเหนื่อยหิว นึกอาย เรื่องร้ายรุม
    ขึ้นบันได คลำทาง อย่างแผ่วเบา        เกรงทำเขา ลุกตื่น ในคืนกลุ้ม
คงถึงเคราะห์ กรรมซัด รัดโรมรุม            กระหนำสุม ถอยกลับ รับไล่ตี
    เพราะเสียงย่อง กุกกัก ทักให้ตื่น        สะดุ้งคืน น้ำค้างเปียก เรียกสงฆ์ศรี
ลุกคว้าไม้  ไล่ขโมย ดูไม่ดี                กระโดดหนี วิ่งวน จนหอบคลอน
    ตีทำไม นี่ข้า เจ้าอาวาส            ร้องตะหวาด แหบทรุด ให้หยุดก่อน
ศรีธนญชัย ชะงัก มองทักวอน                ตกใจร้อน ซวยแล้ว แจ้วแก้ตัว
    ปัดโธ่ผม ไม่รู้ ว่าสมภาร            ทำตามท่าน สั่งไว้ หมายตีหัว
คิดว่าเป็น ขโมย โรยแก้ตัว                หลักฐานชั่ว ก็ไม่มี คลี่ประจาน
    ศรีธนญชัย ชักกล่าว เล่าเหตุผล        มีมากล้น น่าเห็นใจ ในเกียจคร้าน
สมภารเชื่อ เห็นจริง ทุกประการ            พารอดผ่าน พ้นผิด ฤทธิ์ปัญญา

                                
………………………………..

    ข้อคิด –  คนเจ้าเล่ห์ กระล่อน มีคำพูดแก้ตัวสารพัน เพื่อให้ตนพ้นผิด  หากคิดแก้ไข
โดยให้เขายอมรับผิดนั้นเปล่าประโยชน์  ให้กลับมาแก้ที่ตัวเราเอง  คือ ใช้สติปัญญามากขึ้น
ระวังตัว  ระวังคำพูดมากขึ้น  ได้ผลกว่า



10.3 ต้มยำปลา    

    วันต่อมา ศรีธนญชัย ได้ปลาดี            จากแม่ชี ขอบิณ ฑบาตว่า
ปรุงอาหาร รสล้ำ ต้มยำปลา                เนื้อตักหา ฉันหมด ซดน้ำเพลิน
    ครั้นอิ่มคิด แผ่เผื่อ เหลือน้ำแกง        จัดตกแต่ง ชามใส่ ไม่ขัดเขิน
ยกถวาย สมภาร พาดุ่มเดิน                รับคำเยิน ยอรส ซดน้ำชิม
    เนื้อปลาอยู่ ไหนนี่ มีแต่น้ำ            สมภารถาม แปลกใจ ใคร่ลองลิ้ม
สงสัยพวก แมลงวัน ขโมยชิม                ยกพวกอิ่ม หมดปลา น่าเจ็บใจ
    ศรีธนญชัย อ้างยก ตลกแก้            สมภารจึง คว้าแส้ อันเล็กให้
พลางอมยิ้ม ส่ายหน้า แกล้งกล่าวไป            แมลงวัน เกาะที่ไหน ตีให้ตาย
    ศรีธนญชัย รับคำ นำแส้ถือ            แกว่งไกวมือ ทำที  ตีให้ได้
ไม่นานนัก แมลงวัน สั่งฆ่าไป                บินเกาะไว ศีรษะล้าน สมภารเอง
    ศรีธนญชัย มือไว ไม่รอรี            ลงแส้ตี  เจ้าแมลง แกล้งข่มเหง
ร้องนี่แน่ะ ปัดไล่ ไม่กลัวเกรง                ตีนักเลง ขโมยปลา ทำหน้าเป็น
    โอ๊ยนี่เจ้า ตีหัว ข้าทำไม            เถียงว่าไล่ แมลงอยู่ ก็รู้เห็น
เกาะที่ไหน สั่งให้ตี ชี้ประเด็น                มือตัวเย็น โกรธตรอง ต้องอภัย
    ได้แต่ลูบ คลำหัว กลั้วเจ็บปวด        นึกท่องสวด ทำจิต คิดจำไว้
จะไม่ให้ เสียที ศรีธนญชัย                คราต่อไป ต้องระวัง ไม่พลั้งคำ
    ศรีธนญชัย ไม่รู้ตัว ชั่วต่ำสูง            สนุกจูง เห็นทุกข์ เป็นสุขขำ
ใช้ปัญญา พรางตัว ไม่กลัวกรรม            บุญเก่านำ ฉ่ำชื่น  รื่นอุรา

                      
……………………………………..

ข้อคิด-บุญและกรรมเปรียบอักษรต่างสีที่เขียนบนกระดาษแผ่นเดียวซ้ำ จนอ่านไม่ได้ความ ไม่รู้ก่อนหลัง ไม่รู้กี่ปีกี่ชาติภพ คนเราเห็นกงจักรเป็นดอกบัวก็อาจด้วยกรรม  คนชั่วรูปงามก็อาจด้วยบุญ ไม่มีใครรู้ได้ สิ่งสำคัญคือเพียรทำกรรมดีเพื่อให้ปรากฏชัดขึ้นสักวัน อย่างน้อยกรรมก็เบาบาง และสุขใจที่ได้ทำดี

10.4 มุงหลังคา

    
ถึงวันหนึ่ง สมภาร ใช้ลูกวัด            ลงแรงจัด มุงจาก อย่ารอช้า
ศาลาสร้าง ขึ้นใหม่ ไร้หลังคา                ปลูกด้านหน้า กลางลาน ผ่านพักพิง
    พระลูกวัด ต่างช่วย ด้วยกายใจ        ศรีธนญชัย มองดู นั่งอยู่นิ่ง
เพียงไม่นาน หลับไป ไม่ไหวติง            ลมเย็นวิ่ง ผ่านกาย สบายกรน
    ครั้นลุกตื่น ไม่เห็นใคร ไปกันหมด         คิดแผนคด ในใจ  ให้ได้ผล
ด้วยรู้ว่า พระต้อง ฟ้องเรื่องตน                รีบลุกลน ปีนหลังคา ท่าจริงจัง
    ตอกเขาขัด บิดขวา คลายบิดซ้าย        กลับถ้วนไว้ ตอกตับ ไม่นับยั้ง
เป็นดังคิด ถูกสมภาร ตำหนิดัง            เรื่องเฉยนั่ง นอนหลับ ให้รับมา
    ศรีธนญชัย รีบแจง แถลงความ        ท่านโปรดตาม ดูด้วยตัว อย่ามัวช้า
ใครกันแน่ ลงแรง มุงหลังคา                สอบถามหา ความจริง ทุกสิ่งอัน
    ศรีธนญชัย ถามว่า คราบิดตอก        ท่านช่วยบอก ทิศทาง หางตอกนั้น
พระต่างตอบ บิดขวา ว่าเหมือนกัน            ส่วนตอกฉัน หันซ้าย ให้มองดู
    เจ้าอาวาส สั่งพระ ปีนหลังคา            กลับลงมา บอกกล่าว เล่ารับรู้
พระยืนงง ไม่เชื่อตา ครามองดู            ตอกเห็นอยู่ บิดซ้าย หลังคาบน
    หลักฐานมัด ทั้งหลังคา ว่าพูดจริง        ถูกทุกสิ่ง แผนเด็ด เสร็จได้ผล
พระอื่นถูก ตำหนิ ว่าเล่นซน                ใส่ร้ายคน ทำดี ศรีธนญชัย
    พระทุกรูป อกตรม ต่างก้มหน้า        ไร้ปัญญา ชี้แจง แถลงไข
ขาวกลายดำ น่าช้ำ ไม่เข้าใจ                ศรีธนญชัย ยิ้มรื่น ชื่นคำชม
    อันบุญกรรม มีจริง เพียงนิ่งอยู่        ชนผู้รู้  เพียรทำดี  มีสะสม
เปรียบผกา ต่างวัน พันธุ์รอชม                เงาไม้ร่ม สูงใหญ่ ได้ต่างกาล.


ข้อคิด -- ผลบุญเปรียบเช่นดอกผลของต้นไม้ ต้นไม้แต่ละประเภทแต่ละพันธุ์ล้วนมีระยะเวลาต่างกัน การทำบุญเหมือนปลุกต้นไม้ใหญ่ ต้องอาศัยเวลาและรอคอยเป็นธรรมดา ถึงเวลาย่อมออกดอกผลให้ชื่นใจ แม้ไม่มีดอกผลก็มีร่มเงาให้พักพิง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่