ความเดิม 2 ตอนที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/33681988
http://ppantip.com/topic/33691425
Part นี้ว่าด้วยเรื่องการใช้ อ.ที่ 2 (ออกกำลังกาย) ในการลดน้ำหนัก สำหรับดิฉันนะคะ
เมื่อก่อนตอนอ้วน ไม่เคยได้ออกกำลังกายเลยค่ะ แค่เดินขึ้นสะพานลอย ก็เหนื่อยหอบใจแทบขาดแล้ว
ตอนแรกที่ตัดสินใจออกกำลังกาย เป้าหมายคือต้องการลดน้ำหนักอย่างเดียวเลยค่ะ
แต่พอออกไปออกมา ชักจะติด ตอนนี้การออกกำลัง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว
ก็เพราะได้สัมผัสถึงผลลัพธ์ ที่สุดแสนจะมหัศจรรย์ ของการออกกำลังกาย
อย่างที่เล่าใน part 1 ว่าการออกกำลังช่วงแรกๆ ของฉัน ทำตามความรู้ที่มีแค่หางอึ่ง คืออยากทำอะไรก็ทำ จึงเริ่มด้วยการซื้อจักรยานมา 1 คัน แล้วก็ขี่ไปทำงาน ในระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร สิ่งที่ได้จากการเริ่มปั่นจักรยานในครั้งนี้คือ หัวใจแข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้น และเจ็บตรูด..(มาก...) น้ำหนักลดลงนิดหน่อย
ช่วงแรกนี้ ปั่นจักรยานอย่างเดียวเลย ไปทำงาน เช้า-เย็น ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ก็จะรอบเดียวตอนเช้า ประมาณ 4 กิโลเหมือนกัน
พี่สาวเคยชวนให้ไปออกกำลังในศูนย์กีฬาของ กทม. ท้ายซอยหลายครั้งละ แต่ก็ยังไม่ไปสักที เพราะคิดว่า เราก็ปั่นจักรยานอยู่แล้ว และเราก็วิ่งไม่ได้ เราเจ็บหัวเข่า ก็เลยปฏิเสธตลอดมา เค้าก็ไปของเค้าในวันหยุด แล้วก็ยังพยายามชวนอยู่เรื่อยๆ
ผ่านมาสักพัก เป็นช่วงหน้าหนาว อากาศตอนเช้าๆ เย็นสบายมาก ก็เลยเริ่มออกไปเดินวนแถวบ้านรอบใหญ่ 1 รอบ ระยะทางก็ประมาณ 8 กิโลเมตร ผ่านร่องสวน วิวสวย ต้นไม้ใบหญ้าเยอะแยะไปหมด ผ่านตลาด ก็จะได้ของกินติดไม้ติดมือมาเป็นมื้อเช้าอยู่เสมอ
เดินไปได้สักพัก เริ่มอยากลองของละ อยากลองดูซิว่า ถ้าเราวิ่ง มันจะเป็นยังไง
ด้วยน้ำหนักที่ลดลงมาพอสมควร และได้เปลี่ยนความคิดในหัวใหม่ ไม่ยึดติดละว่า อาการเจ็บหัวเข่าจะทำให้เราวิ่งไม่ได้ ก็เลยลองเลยจ้า...
ช่วงแรกก็เดินเป็นหลักก่อน แล้วก็วิ่งบ้างนิดหน่อย เอาแค่พอหอบ แล้วก็กลับมาเดินอีกจนครบรอบ
คนเรามีพัฒนาการเสมอ จากหยุดวิ่งเมื่อเริ่มหอบ กลายเป็นเริ่มจับเวลา เริ่มยืดระยะทางออกไปเรื่อยๆ จนสามารถวิ่งได้ประมาณ 4 กิโลเมตรต่อเนื่อง
มันเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นนะ ทุกครั้งที่เราทำลายสถิติเก่าลงได้ มันรู้สึก เยส!!!...ฉันทำได้ แล้วก็จะฮึกเหิม พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
พอเริ่มวิ่งได้ วิ่งตอนเช้าอย่างเดียว ชักจะไม่พอซะแล้วสิ อยากออกกำลังให้มากกว่านี้ อยากแข็งแรงกว่านี้ ก็เลยลองเข้าไปที่ศูนย์กีฬาท้ายซอย ที่พี่สาวเคยชวนไว้ แล้วก็ตัดสินใจสมัครสมาชิก (ค่าสมาชิกรายปี 40 บาท ยังจะคิดอะไรมากมายอีกล่ะ) จากนั้น ก็ออกกำลัง เช้า 1 รอบ (พยายามออกไปทุกวัน) บ่ายอีก 1 รอบ (ช่วงนี้ออกมาทำงานอิสระ เลยพอมีเวลาออกกำลังมากหน่อย)
ในศูนย์กีฬา มีอุปกรณ์ เครื่องออกกำลังมากมาย แต่ฉันใช้ลู่วิ่งเป็นหลักอย่างเดียว (ตอนนี้ยังไม่มีความรู้เรื่องเวทเทรนนิ่ง)
วิ่งแรกๆ ก็หอบเอาการอยู่ แต่อย่างที่บอก.. คนเรามีพัฒนาการ เริ่มจากความเร็วช้าๆ ก่อน เวลา 10 นาที ขยับความเร็วขึ้นมาอีกนิด เวลาเป็น 15 นาที แล้วก็พยายามวิ่งให้ได้ต่อเนื่องครึ่ง ช.ม. ในความเร็วที่ไม่เร็วมากนะ
หลังจากนั้น มีเหตุให้ต้องย้ายที่อยู่ รอบๆ บริเวณที่อยู่ใหม่ ไม่เหมาะที่จะปั่นจักรยานได้ ก็เลยไปสมัครฟิตเนส
สิ่งที่ได้เพิ่มจากการเข้าฟิตเนสคือ การได้ลองเล่นโยคะ เข้าคลาสเต้น และเวทเทรนนิ่ง
โยคะ เป็นอะไรที่สุดยอดมาก อยากเล่นมานานแล้วล่ะ แต่ไม่รู้จักเริ่มยังไง
พอได้เริ่ม โอ้!!! แม่เจ้า.. เพิ่งค้นพบว่า ตัวอีช้านแข็งเป็นหิน เส้นตึงยิ่งกว่าสายสลิง จะยืด.. จะเหยียด..แต่ละท่า ช่างทรมานยิ่งนัก หน้าตานี่..เหยเกดูไม่ได้เลยทีเดียว
ส่วนคลาสเต้น เข้าไปแรกๆ ก็แข็งเป็นหินเหมือนกัน เกิดมาไม่เคยเต้น อายก็อาย สายเอว สายหัวก็ซะสุดเหวี่ยว เต้นไปเต้นมา ตอนนี้อีช้านก็เท้าไฟอยู่เหมือนกันนะฮะ
การเล่นโยคะ เป็นการได้ฝึกสมาธิ และได้คุยกับร่างกายตัวเอง จะสังเกตุรู้ได้เลยว่า ร่างกายเรามีจุดบกพร่องตรงส่วนไหน บาลานซ์ร่างกาย 2 ข้างเท่ากันไหม สำหรับฉัน ค้นพบว่า ไหล่ติด เอวแข็ง เส้นตึง บลา..บลา..บลา..
ตอนแรกเข้าแต่โยคะธรรมดาในห้องแอร์เย็นๆ ไม่กล้าเข้าโยคะร้อน เพราะเมื่อก่อน เคยเข้าห้องอบซาวหน้า แล้วมีความรู้สึกว่า เวลาอยู่ในห้องร้อนๆ จะหายใจไม่ออก แค่นั่งเฉยๆ ก็จะตายละ ถ้าให้เข้าไปโยคะในห้องร้อนๆ ฉันคงตายคาห้องแน่ๆ
แต่แล้วความท้าทายตัวเองก็เกิดขึ้น เมื่อเล่นโยคะธรรมดาไปได้สักระยะนึง เริ่มอยากลอง อยากรู้ว่าฉันจะตายคาห้องโยคะร้อยไหม ฉันก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรนะ ทุกคนออกจากห้องมาก็ปกติดี ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะลอง ฉันบอกเพื่อนว่า.. ถ้ามันจะตายละก็ เก็บศพอีช้านออกมาด้วยละกันนะฮะ 555
วันแรกผ่านไปด้วยดี เริ่มติดใจจ้า...เอ!!! ก็ไม่ตายนี่หว่า เอ!!! ก็หายใจได้นี่หว่า
ตอนนี้ ฉันเล่นแต่โยคะร้อนอย่างเดียวเลย โยคะธรรมดาไม่ได้เข้าอีกแล้ว
หลังจากเข้าฟิตเนสไปได้สักพักนึง บวกกับควบคุมอาหาร น้ำหนักก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มาถึงช่วงวัดใจอีกแล้ว
คือช่วงที่น้ำหนักจะนิ่ง ไม่ลง ช่วงนี้คนที่เคยพยายามลดน้ำหนักจะรู้ว่า ถ้าท้อละก็...หมดกัน ทุกอย่างที่ตั้งใจทำมา จะล้มเลิกได้ง่ายๆ
แต่สำหรับฉันไม่ค่ะ ฉันคิดแต่ว่า มันต้องทำอะไรเพิ่มน๊า.. ที่จะช่วยให้น้ำหนักเริ่มลดลงอีก ก็เลยทำการศึกษาในเรื่องการออกกำลังเพิ่มเติม
ได้ความรู้ใหม่ว่า.. การออกกำลังกาย นอกจากการเบิร์นด้วยการเข้าคลาสต่างๆ การวิ่ง ปั่นจักรยาน ฯลฯ แล้ว ควรจะเล่นเวทเทรนนิ่ง เพื่อสร้างกล้ามเนื้อด้วย
เวทเทรนนิ่งสำคัญอย่างไร
การเล่นเวทเทรนนิ่ง เป็นการสร้างกล้ามเนื้อให้กับร่างกายส่วนต่างๆ กล้ามเนื้อนั้นต้องใช้พลังงานตลอดเวลา แม้กระทั้งเราหยุดพัก หรือตอนเราหลับ ระบบการเผาผลาญก็ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง
แต่การเล่นเวทเทรนนิ่งอย่างเดียว ไม่สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้นะคะ ต้องทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และออกกำลังแบบคาร์ดิโอด้วย
เล่นเวทเทรนนิ่งไปเรื่อยๆ ร่างกายส่วนต่างๆ เริ่มแข็งแรงขึ้น จากที่หัวไหล่ไม่ค่อยมีแรง เวลาเล่นโยคะ หลายท่าที่ต้องใช้กำลังแขน กำลังไหล่ แขนจะสั่นดิ๊กๆ ตอนนี้ก็ดีขึ้น กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว และหน้าท้องแข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรงขึ้น จนอาการเจ็บเอ็นหัวเข่าก็ดีขึ้นเช่นกัน ตอนนี้วิ่งได้ เป็นระยะทางไกลขึ้น ความเร็วดีขึ้น จนสามารถวิ่งมินิมาราธอนได้แล้ว
ตอนนี้กลับมาทำงานประจำค่ะ แต่ก็ยังออกกำลังเป็นประจำ ทุกวันหลังเลิกงาน จะมีพักบ้างบางวันที่ติดประชุมช่วงเย็นนาน หรือวันที่รู้สึกล้า ส่วนวันหยุด ถ้าไม่ได้ติดธุระอะไรก็จัดเต็มค่ะ เช้าไปเดินๆ วิ่งๆ ในสวนก่อน แล้วค่อยไปฟิตเนส เรียกได้ว่า ฟิตเนสเป็นบ้านที่ 2 เลยทีเดียว สนุก มีความสุข และสดชื่นหลังได้ออกกำลัง เป็นการผ่อนคลายที่ดีเยี่ยมเลยสำหรับฉัน
การออกกำลังสำคัญสำหรับคนที่ลดความอ้วนนะคะ ไม่ใช่แค่ทำให้น้ำหนักลง และแข็งแรง แต่ยังทำให้สัดส่วนกระชับ ไม่ย้วย ไม่ยานด้วย
แข็งแรง ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ กระฉับกระเฉง สัดส่วนกระชับ เฟิร์ม ร่างกายแข็งแรง และก็ทำให้จิตใจแข็งแรงไปด้วย
ร่างกายเรานี้ก็แปลกเนอะ แทนที่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ใช้ร่างกายมาก จะทำให้แข็งแรง แต่เปล่าเลย
ยิ่งออกกำลังให้เหนื่อยมาก เมื่อยมาก ยิ่งแข็งแรง
ออกกำลังแล้วปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วค่ะ ปวดตรงไหน ได้ตรงนั้นนะคะ
ปล. อีช้านไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการออกกำลังอีกเช่นกัน แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา การออกกำลัง เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการลดความอ้วนที่ประความสำเร็จของฉัน จึงอย่างแบ่งปันค่ะ
ปล.2 หลายคนมีข้ออ้างกับการออกกำลังมากมาย อย่างไม่ค่อยมีเวลาว่างจะทำยังไง สำหรับฉัน ฉันจัดสรรเวลาเพื่อออกกำลังค่ะ ไม่ได้รอว่างถึงทำ เพราะถ้ารอว่าง มันก็คงไม่ได้เริ่มสักที (ถ้าเรามีเวลาดูทีวี หรือดูละคร เวลานั้น ก็สามารถเป็นเวลาว่างในการออกกำลังได้เหมือนกันนะตัวเธอ..)
ปล.3 ยังคงยืนยัง "ไม่มีผลลัพธ์ใหม่ๆ ในพฤติกรรมเดิมๆ"
แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย
ตัดสินใจลดน้ำหนัก 20 กว่ากิโล ในวัย 35 ปี part 3
http://ppantip.com/topic/33681988
http://ppantip.com/topic/33691425
Part นี้ว่าด้วยเรื่องการใช้ อ.ที่ 2 (ออกกำลังกาย) ในการลดน้ำหนัก สำหรับดิฉันนะคะ
เมื่อก่อนตอนอ้วน ไม่เคยได้ออกกำลังกายเลยค่ะ แค่เดินขึ้นสะพานลอย ก็เหนื่อยหอบใจแทบขาดแล้ว
ตอนแรกที่ตัดสินใจออกกำลังกาย เป้าหมายคือต้องการลดน้ำหนักอย่างเดียวเลยค่ะ
แต่พอออกไปออกมา ชักจะติด ตอนนี้การออกกำลัง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว
ก็เพราะได้สัมผัสถึงผลลัพธ์ ที่สุดแสนจะมหัศจรรย์ ของการออกกำลังกาย
อย่างที่เล่าใน part 1 ว่าการออกกำลังช่วงแรกๆ ของฉัน ทำตามความรู้ที่มีแค่หางอึ่ง คืออยากทำอะไรก็ทำ จึงเริ่มด้วยการซื้อจักรยานมา 1 คัน แล้วก็ขี่ไปทำงาน ในระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร สิ่งที่ได้จากการเริ่มปั่นจักรยานในครั้งนี้คือ หัวใจแข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้น และเจ็บตรูด..(มาก...) น้ำหนักลดลงนิดหน่อย
ช่วงแรกนี้ ปั่นจักรยานอย่างเดียวเลย ไปทำงาน เช้า-เย็น ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ก็จะรอบเดียวตอนเช้า ประมาณ 4 กิโลเหมือนกัน
พี่สาวเคยชวนให้ไปออกกำลังในศูนย์กีฬาของ กทม. ท้ายซอยหลายครั้งละ แต่ก็ยังไม่ไปสักที เพราะคิดว่า เราก็ปั่นจักรยานอยู่แล้ว และเราก็วิ่งไม่ได้ เราเจ็บหัวเข่า ก็เลยปฏิเสธตลอดมา เค้าก็ไปของเค้าในวันหยุด แล้วก็ยังพยายามชวนอยู่เรื่อยๆ
ผ่านมาสักพัก เป็นช่วงหน้าหนาว อากาศตอนเช้าๆ เย็นสบายมาก ก็เลยเริ่มออกไปเดินวนแถวบ้านรอบใหญ่ 1 รอบ ระยะทางก็ประมาณ 8 กิโลเมตร ผ่านร่องสวน วิวสวย ต้นไม้ใบหญ้าเยอะแยะไปหมด ผ่านตลาด ก็จะได้ของกินติดไม้ติดมือมาเป็นมื้อเช้าอยู่เสมอ
เดินไปได้สักพัก เริ่มอยากลองของละ อยากลองดูซิว่า ถ้าเราวิ่ง มันจะเป็นยังไง
ด้วยน้ำหนักที่ลดลงมาพอสมควร และได้เปลี่ยนความคิดในหัวใหม่ ไม่ยึดติดละว่า อาการเจ็บหัวเข่าจะทำให้เราวิ่งไม่ได้ ก็เลยลองเลยจ้า...
ช่วงแรกก็เดินเป็นหลักก่อน แล้วก็วิ่งบ้างนิดหน่อย เอาแค่พอหอบ แล้วก็กลับมาเดินอีกจนครบรอบ
คนเรามีพัฒนาการเสมอ จากหยุดวิ่งเมื่อเริ่มหอบ กลายเป็นเริ่มจับเวลา เริ่มยืดระยะทางออกไปเรื่อยๆ จนสามารถวิ่งได้ประมาณ 4 กิโลเมตรต่อเนื่อง
มันเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นนะ ทุกครั้งที่เราทำลายสถิติเก่าลงได้ มันรู้สึก เยส!!!...ฉันทำได้ แล้วก็จะฮึกเหิม พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
พอเริ่มวิ่งได้ วิ่งตอนเช้าอย่างเดียว ชักจะไม่พอซะแล้วสิ อยากออกกำลังให้มากกว่านี้ อยากแข็งแรงกว่านี้ ก็เลยลองเข้าไปที่ศูนย์กีฬาท้ายซอย ที่พี่สาวเคยชวนไว้ แล้วก็ตัดสินใจสมัครสมาชิก (ค่าสมาชิกรายปี 40 บาท ยังจะคิดอะไรมากมายอีกล่ะ) จากนั้น ก็ออกกำลัง เช้า 1 รอบ (พยายามออกไปทุกวัน) บ่ายอีก 1 รอบ (ช่วงนี้ออกมาทำงานอิสระ เลยพอมีเวลาออกกำลังมากหน่อย)
ในศูนย์กีฬา มีอุปกรณ์ เครื่องออกกำลังมากมาย แต่ฉันใช้ลู่วิ่งเป็นหลักอย่างเดียว (ตอนนี้ยังไม่มีความรู้เรื่องเวทเทรนนิ่ง)
วิ่งแรกๆ ก็หอบเอาการอยู่ แต่อย่างที่บอก.. คนเรามีพัฒนาการ เริ่มจากความเร็วช้าๆ ก่อน เวลา 10 นาที ขยับความเร็วขึ้นมาอีกนิด เวลาเป็น 15 นาที แล้วก็พยายามวิ่งให้ได้ต่อเนื่องครึ่ง ช.ม. ในความเร็วที่ไม่เร็วมากนะ
หลังจากนั้น มีเหตุให้ต้องย้ายที่อยู่ รอบๆ บริเวณที่อยู่ใหม่ ไม่เหมาะที่จะปั่นจักรยานได้ ก็เลยไปสมัครฟิตเนส
สิ่งที่ได้เพิ่มจากการเข้าฟิตเนสคือ การได้ลองเล่นโยคะ เข้าคลาสเต้น และเวทเทรนนิ่ง
โยคะ เป็นอะไรที่สุดยอดมาก อยากเล่นมานานแล้วล่ะ แต่ไม่รู้จักเริ่มยังไง
พอได้เริ่ม โอ้!!! แม่เจ้า.. เพิ่งค้นพบว่า ตัวอีช้านแข็งเป็นหิน เส้นตึงยิ่งกว่าสายสลิง จะยืด.. จะเหยียด..แต่ละท่า ช่างทรมานยิ่งนัก หน้าตานี่..เหยเกดูไม่ได้เลยทีเดียว
ส่วนคลาสเต้น เข้าไปแรกๆ ก็แข็งเป็นหินเหมือนกัน เกิดมาไม่เคยเต้น อายก็อาย สายเอว สายหัวก็ซะสุดเหวี่ยว เต้นไปเต้นมา ตอนนี้อีช้านก็เท้าไฟอยู่เหมือนกันนะฮะ
การเล่นโยคะ เป็นการได้ฝึกสมาธิ และได้คุยกับร่างกายตัวเอง จะสังเกตุรู้ได้เลยว่า ร่างกายเรามีจุดบกพร่องตรงส่วนไหน บาลานซ์ร่างกาย 2 ข้างเท่ากันไหม สำหรับฉัน ค้นพบว่า ไหล่ติด เอวแข็ง เส้นตึง บลา..บลา..บลา..
ตอนแรกเข้าแต่โยคะธรรมดาในห้องแอร์เย็นๆ ไม่กล้าเข้าโยคะร้อน เพราะเมื่อก่อน เคยเข้าห้องอบซาวหน้า แล้วมีความรู้สึกว่า เวลาอยู่ในห้องร้อนๆ จะหายใจไม่ออก แค่นั่งเฉยๆ ก็จะตายละ ถ้าให้เข้าไปโยคะในห้องร้อนๆ ฉันคงตายคาห้องแน่ๆ
แต่แล้วความท้าทายตัวเองก็เกิดขึ้น เมื่อเล่นโยคะธรรมดาไปได้สักระยะนึง เริ่มอยากลอง อยากรู้ว่าฉันจะตายคาห้องโยคะร้อยไหม ฉันก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรนะ ทุกคนออกจากห้องมาก็ปกติดี ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะลอง ฉันบอกเพื่อนว่า.. ถ้ามันจะตายละก็ เก็บศพอีช้านออกมาด้วยละกันนะฮะ 555
วันแรกผ่านไปด้วยดี เริ่มติดใจจ้า...เอ!!! ก็ไม่ตายนี่หว่า เอ!!! ก็หายใจได้นี่หว่า
ตอนนี้ ฉันเล่นแต่โยคะร้อนอย่างเดียวเลย โยคะธรรมดาไม่ได้เข้าอีกแล้ว
หลังจากเข้าฟิตเนสไปได้สักพักนึง บวกกับควบคุมอาหาร น้ำหนักก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มาถึงช่วงวัดใจอีกแล้ว
คือช่วงที่น้ำหนักจะนิ่ง ไม่ลง ช่วงนี้คนที่เคยพยายามลดน้ำหนักจะรู้ว่า ถ้าท้อละก็...หมดกัน ทุกอย่างที่ตั้งใจทำมา จะล้มเลิกได้ง่ายๆ
แต่สำหรับฉันไม่ค่ะ ฉันคิดแต่ว่า มันต้องทำอะไรเพิ่มน๊า.. ที่จะช่วยให้น้ำหนักเริ่มลดลงอีก ก็เลยทำการศึกษาในเรื่องการออกกำลังเพิ่มเติม
ได้ความรู้ใหม่ว่า.. การออกกำลังกาย นอกจากการเบิร์นด้วยการเข้าคลาสต่างๆ การวิ่ง ปั่นจักรยาน ฯลฯ แล้ว ควรจะเล่นเวทเทรนนิ่ง เพื่อสร้างกล้ามเนื้อด้วย
เวทเทรนนิ่งสำคัญอย่างไร
การเล่นเวทเทรนนิ่ง เป็นการสร้างกล้ามเนื้อให้กับร่างกายส่วนต่างๆ กล้ามเนื้อนั้นต้องใช้พลังงานตลอดเวลา แม้กระทั้งเราหยุดพัก หรือตอนเราหลับ ระบบการเผาผลาญก็ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง
แต่การเล่นเวทเทรนนิ่งอย่างเดียว ไม่สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้นะคะ ต้องทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และออกกำลังแบบคาร์ดิโอด้วย
เล่นเวทเทรนนิ่งไปเรื่อยๆ ร่างกายส่วนต่างๆ เริ่มแข็งแรงขึ้น จากที่หัวไหล่ไม่ค่อยมีแรง เวลาเล่นโยคะ หลายท่าที่ต้องใช้กำลังแขน กำลังไหล่ แขนจะสั่นดิ๊กๆ ตอนนี้ก็ดีขึ้น กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว และหน้าท้องแข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรงขึ้น จนอาการเจ็บเอ็นหัวเข่าก็ดีขึ้นเช่นกัน ตอนนี้วิ่งได้ เป็นระยะทางไกลขึ้น ความเร็วดีขึ้น จนสามารถวิ่งมินิมาราธอนได้แล้ว
ตอนนี้กลับมาทำงานประจำค่ะ แต่ก็ยังออกกำลังเป็นประจำ ทุกวันหลังเลิกงาน จะมีพักบ้างบางวันที่ติดประชุมช่วงเย็นนาน หรือวันที่รู้สึกล้า ส่วนวันหยุด ถ้าไม่ได้ติดธุระอะไรก็จัดเต็มค่ะ เช้าไปเดินๆ วิ่งๆ ในสวนก่อน แล้วค่อยไปฟิตเนส เรียกได้ว่า ฟิตเนสเป็นบ้านที่ 2 เลยทีเดียว สนุก มีความสุข และสดชื่นหลังได้ออกกำลัง เป็นการผ่อนคลายที่ดีเยี่ยมเลยสำหรับฉัน
การออกกำลังสำคัญสำหรับคนที่ลดความอ้วนนะคะ ไม่ใช่แค่ทำให้น้ำหนักลง และแข็งแรง แต่ยังทำให้สัดส่วนกระชับ ไม่ย้วย ไม่ยานด้วย
แข็งแรง ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ กระฉับกระเฉง สัดส่วนกระชับ เฟิร์ม ร่างกายแข็งแรง และก็ทำให้จิตใจแข็งแรงไปด้วย
ร่างกายเรานี้ก็แปลกเนอะ แทนที่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ใช้ร่างกายมาก จะทำให้แข็งแรง แต่เปล่าเลย
ยิ่งออกกำลังให้เหนื่อยมาก เมื่อยมาก ยิ่งแข็งแรง
ออกกำลังแล้วปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วค่ะ ปวดตรงไหน ได้ตรงนั้นนะคะ
ปล. อีช้านไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการออกกำลังอีกเช่นกัน แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา การออกกำลัง เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการลดความอ้วนที่ประความสำเร็จของฉัน จึงอย่างแบ่งปันค่ะ
ปล.2 หลายคนมีข้ออ้างกับการออกกำลังมากมาย อย่างไม่ค่อยมีเวลาว่างจะทำยังไง สำหรับฉัน ฉันจัดสรรเวลาเพื่อออกกำลังค่ะ ไม่ได้รอว่างถึงทำ เพราะถ้ารอว่าง มันก็คงไม่ได้เริ่มสักที (ถ้าเรามีเวลาดูทีวี หรือดูละคร เวลานั้น ก็สามารถเป็นเวลาว่างในการออกกำลังได้เหมือนกันนะตัวเธอ..)
ปล.3 ยังคงยืนยัง "ไม่มีผลลัพธ์ใหม่ๆ ในพฤติกรรมเดิมๆ"
แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย