บทสวด "พาหุง" มีความหมายที่หลายคนไม่รู้....

ตามหัวข้อกระทู้เลยนะครับ
  
  บทสวดพาหุง หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" เป็นบทสวดสรรเสริญชัยชนะครั้งสำคัญ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และอมนุษย์  มีทั้งหมด ๘  บท ซึ่งพระสงฆ์มักใช้สวดต่อท้ายทำวัตรเช้า-เย็น และมักจะตามด้วยบทมหาการุณิโก หรือ "ชัยปริตร"  นิยมเรียกว่าการสวด "พาหุงมหากา"

(บทความในกระทู้นี้ผมเอามาจากหนังสือ "พาหุง ชัยชนะแห่งพุทธะ" โดยได้แจกเป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ ศ.ดร.ทวี ญาณสุคนธ์ )

                                              


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




บทที่๑  มหาบุรุษผู้มีชัยชนะเหนือกองทัพพญามาร

    พุทธชัยมงคลคาถาบทนี้ เป็นคาถาบทที่๑ กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อกองทัพพญามารในคืนตรัสรู้เป็นการต่อสู้ระหว่างพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่มีต่อศัตรูหมู่มารผู้มีอิทธิฤทธิ์ และมีจำนวนมากมายเป็นกองทัพ แต่ในที่สุดพระองค์ก็ทรงเอาขนะหมู่มารนั้นได้  คาถาบทนี้จึงนิยมใช้สำหรับการเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ใช้ในการออกรบ เป็นต้น

   ที่มาของชัยชนะนี้ มีดังนี้

   เมื่อครั้งที่เข้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชานั้น พระองค์ทรงม้ากัณฑกะเสด็จออกจากรุงกบิลพัสดุ์ในยามราตรี โดยมีนายฉันทะเป็นผู้ตามเสด็จ  พระองค์ทรงเสด็จไปตลอดราตรี เมื่อเดินทางได้ระยะทาง ๓๐ โยชน์ พระองค์ก็ทรงข้ามแม่น้ำอโนมานที และทรงบรรพชา ณ ริมฝั่งน้ำนั้น โดยใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลีออก และเปลี่ยนชุดทรงเป็นนักบวช จากนั้นก็ให้นายฉันทะกราบไปทูลพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา ให้ทรงทราบ
  
   ตามธรรมเนียมการอุบัติของพระพุธเจ้านั้น ในช่วงต้นกัปเมื่อเริ่มเกิดง้วนดินขึ้น บริเวณศูนย์กลางแผ่นดินที่เรียกว่าสะดือดิน อันเป็นตำแหน่งที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะมีดอกบัวที่ภายในบรรจุชุดนักบวชและเครื่องอัฐบริขารดอกละ 1 ชุด ผุดขึ้นมา โดยจำนวนดอกบัวเท่ากับจำนวนพระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติในกัปนั้น  จากนั้นพระพรหมจากพรหมโลก ก็จะมาอัญเชิญชุด และเครื่องอัฐบริขารไปประดิษฐานในทุสเจดีย์ ในพรหมโลกชั้นที่๑๑ เพื่อรอพระโพธิสัตว์มาตรัสร็เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป

  วันที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช ฆฏิการพรหม ผู้เคยเป็นสหายของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อครั้งเกิดเป็นโชติปาลมาณพ ในพุทธกาลของพระกัสสปะ
พระพุทเจ้าพระองค์ก่อน ก็ได้นำชุดและเครื่องอัฐบริขารมาถวายและได้รับเอาชุดทรงเก่าไปประดิษฐานไว้ในทุสเจดีย์ ส่วนพระเมาลีเจ้าชายสิทธัตถะในนภากาศ อธิษฐานว่าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก้ขออย่าให้พระเมาลีนี้ตกลงบนพื้นดิน ซึ่งท้าวสักกเทวราชก็เสด็จเอาผอบแก้ว มารองรับพระเมาลีนั้น แล้วนำไปประดิษฐานอยู่ในจุฬามณีเจดีย์ในดาวดึงส์สวรรค์

   หลังจากบรรพชาแล้วเจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงพักอยู่บริเวณนั้น ซึ่งเป็นสวนมะม่วงอนุปิยะอัมพวันเป็ยเวลา๗วัน จากนั้นจึงเสด็จต่อไปจนถึงกรุงราชคฤห์ และเข้าไปบิณฑบาตรในพระนคร พระเจ้าพิมพิสารทรงเลื่อมใส กราบทูลว่า เมื่อใดที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วขอเชิญเสด็จมาสั่งสอนธรรมที่กรุงราชคฤห์เป็นแห่งแรกด้วย  จากนั้นเจ้าสายสิทธัตถะทรงเสด็จดำเนินต่อไป  ทรงไปสู๋สำนักของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคือ อาฬารดาบสกาลามโครต และอุทกดาบสรามบุตร ทรงเล่าเรียนปฏิบัติพรต จนสำเร็จอภิญญาและฌานสมาบัติได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่พระองค์ทรงดำริว่า นี้ไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู้ พระองค์จึงเสด็จดำเนินต่อไปยังอุรุเวลาประเทศ และตั้งปณิธานค้นหาหนทางเพื่อบรรลุพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง  เวลาเดียวกันนั้น โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้เคยทำนายเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งประสูติว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อทราบข่าวว่าพระองค์ทรงเสด็จออกบรรพชาแล้ว จึงไปชวนบุตรของพราหมณ์โหราจารย์อื่นๆออกบวชตาม รวมเป็น ๕ พราหมณ์ เรียกว่า ปัญจวัคคีย์ และตามปรนนิบัติเจ้าชายสิทธัตถะถึงอุรุเวลาประเทศ

     เจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างยิ่งยวด ทั้งอดข้าว อดน้ำ กลั้นลมหายใจ จนพระวรกายผอมโซ ไม่มีเรี่ยวแรง ถึงขั้นสิ้นสติเกือบสิ้นพระชนม์หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหาวิธีพ้นทุกข์ได้ จึงทรงดำริว่าไม่ใช่หนทางที่ถูก  เจ้าชายสิทธัตถะจึงหันมาปฏิบัติทางสายกลาง คือ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป กลับมาฉันอาหารตามปกติจนมีพระวรกายสมบูรณ์ มีพระสติแจ่มใส แต่เมื่อบรรดาปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์ทรงกลับมาฉันอาหารตามปกติ จึงคิดว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงละความพยายามเสียแล้ว จึงพากันหลบพระองค์ไปอยู่ป่าอิสิปตนะ ระยะทางห่างออกไป ๑๘ โยชน์  

     หลังจากออกบรรพชาได้ ๖ ปี เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ในเดือนวิสาขะ นางสุชาดา ชาวอุรุเวลาเสนานิคม ได้เตรียมข้าวมธุปายาสเพื่อทำพลีกรรมที่ต้นไทร เนื่องจากนางได้บุตรชายตามที่บนบานไว้ ระหว่างที่เตรียมข้าวมธุปายาสอยู่ นางก็ได้ใช้ให้นางปุณณาทาสีมาทำความสะอาดโคนต้นไม้รอไว้ เมื่อนางปุณณาทาสีมาพบเจ้าชายสิทธัตถะประทับนั่งอยู่โคนต้นไทร เห็นบริเวณนั้นสว่างไสวด้วยรัศมีจากพระองค์ เข้าใจว่าเป็นเทวดามารอรับพลีกรรม จึงรีบกลับไปบอกนางสุชาดา  นางสุชาดาเกิดปิติและศรัทธา จึงได้ใช้ถาดทองราคาถึงแสนหนึ่งใส่ข้าวปายาสจนเต็มถาด แล้วทูนถาดนั้นขึ้นศีระษะไปยังต้นไทร นำไปถวายเจ้าชายสิทธัตถะเพราะคิดว่าเป็นเทวดา ขณะนั้นเจ้าชายสิทธัตถะไม่มีบาตรรับอาหารไม่รู้จะรับทานนั้นอย่างไร นางสุชาดารุ้อาการจึงถวายข้าวปายาสพร้อมถาดโดยไม่เสียดายแล้วกลับไป

     เจ้าชายสิทธัตถะทรงปั้นข้าวมยุปายาสเหมือนจาวตาลได้ ๔๙ ปั้น และประทับเสวยที่ริมฝั่งน้ำ ครั้นเสวยแล้วจึงทรงถือถาดทองตรัสว่า "ถ้าเราจะได้บรรลุโพธิญาณในวันนี้ ขอถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป แต่ถ้าไม่ได้ ขอถาดนี้จงลอยไปตามกระแสน้ำปกติเถิด"  ตรัสแล้วก็ทรงลอยถาดลงไปในกระแสน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอก แล้วจมลงกลางน้ำวนจนไปถึงภพของพญากาฬนาคราชกระทบซ้อนถาดของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ก่อนหน้าอเสียงถาดทองกระทบกันปลุกให้พญากาฬนาคราชลืมตาตื่นขึ้นกล่าวว่า "เมื่อวานนี้พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วองค์หนึ่ง วันนี้ก็จะบังเกิดขึ้นอีกองค์หนึ่ง"  

     ฝ่ายเจ้าชายสิทธัตถะทรงผักผ่อนอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำจนถึงเวลาเย็น จึงเสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางต้นโพธิ์ ผ่านคนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะที่หาบหญ้าเดินสวนทางมา เขาจึงได้ถวายหญ้า ๘ กำมือ เจ้าชายสิทธัตถะก็รับหญ้านั้นมาปูลาดเป็นอาสนะใต้ต้นโพธิ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับนั่งแล้วทรงอธิษฐานว่า "แม้เนื้อและเลือดในสรีระจะแห้งจนหมดสิ้น แม้ร่างจะเหลือเพียงหนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที ถ้าเรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณ เราจักไม่ลุกจากบรรลังนี้" อธิฐานแล้ว ก็ทรงประทับนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์นั้น  ครั้งนั้นเทวดาจากหมื่นจักรวาลก็มาห้อมล้อมและยืนกล่าวสดุดีพระโพธิสัตว์ ท้าวสักกเทวราชมายืนเป่าสังข์วิชยุตรสรรเสริญ  พญากาฬนาคราชมายืนกล่าวพรรณาคุณ และท้าวมหาพรหมมายืนกั้นเศวตฉัตรให้

     กล่าวฝ่ายพญาามาราธิราช จอมมารผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เกิดมิจฉาทิฏฐิ เนื่องด้วยตนเองก็ปรารถนาพระโพธิญาณเช่นเดียวกัน เกรงว่าหากเจ้าชายสิทธัตถะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก่อน พระองค์จะทรงรื้อขนสัตว์ข้ามวัฏฏสงสารไปหมด เมื่อถึงเวลาที่ตนเองเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จะไม่มีสรรพสัตว์ให้สั่งสอน  ดำริดังนั้นแล้วพญามารต้องการขัดขวางไม่ให้เจ้าชายวิทธัตถะบรรลุพระโพธิญาณ จึงระดมทัพ ประกอบด้วยเทวดาฝ่ายมาร จัดเป็นทัพหน้ายาว ๑๒ โยชน์ ทัพซ้ายและทัพขวาข้างละ ๑๒ โยชน์  ทัพหลังยาวจรดชายขอบจักรวาล แต่ละทัพสูงขึ้นไปสู่ ๙ โยชน์ส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องปานประหนึ่งจะทำให้แผ่นดินทรุดลงได้  ตัวพญามาราธิราชเองทรงประทับนั่งบนช้างคิริเมขล์ที่สูงถึง ๑๕๐โยชน์ เนรมิตองค์ให้มีแขนหนึ่งพัน ถืออาวุธนานาชนิด นำขบวนพลมารเข้าจู่โจมพระโพธิสัตว์จากทุกทิศ  เทวดาในหมื่นจักรวาลและท้าว มารใหญ่โตยกมาก็ตกใจ เกิดอาการขนพองสยองเกล้า ต่างพากันหนีไปหลบอยู่จนถึงขอบจักรวาล พญากาฬนาคราชก็รีบดำหนีไปหลบยังนาคพิภพปิดหน้าด้วยความตกใจ แม้ท้าวมหาพรหมก็ยังต้องหลบไปยังพรหมโลกทันที คงเหลือเพียงพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวที่ประทับนั่งอยู่

     พระโพธิสัตว์ครั้ยถูกทอดทิ้งอยู่พระองค์เดียว มองไม่เห็นใครจะมาเป็นที่พึ่งได้ จึงทรงรำพึงว่า ในที่นี้เราไม่มีบิดามารดาหรือพี่น้อง ที่นี้มีเพียงแต่เราผู้เดียว กับบารมี ๓๐ ทัศ ที่บำเพ็ญสร้างมาเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราจะใช้บารมี ๓๐ ทัศนี้แหละเป็นอาวุธ ดำริแล้วพระองค์ก็ทรงรำลึกถึงบารมี อุปมารมี และปรมัตถบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรสร้างไว้ มิได้หวาดหวั่นต่ออำนาจของพญามาร   บรรดามารทั้งหลายก็แสดงฤทธิ์หลอกล่อและข่มขู่ให้หวาดกลัวแต่พระโพธิสัตว์ก็มิได้หวั่นไหว  
      พญามาราธิราชจึงบรรดามหาลมที่รุนแรง เกรี้ยวกราด สามารถทำลายภูเขาสูงกึ่งโยชน์ให้เป็นจุลได้ในพริบตา เพื่อขับไล่พระโพธิสัตว์ลุกจากโพธิ์บรรลังก์แต่ลมนั้นก็ไม่อาจ แม้เพียงแค่ทำปลายจีวรพระโพธิสัตว์ให้สั่นไหวได้  
      พญามาราธิราชจึงบรรดาลฝนห่าใหญ่ตกกระทบกระแทกจนแผ่นดินแยกเป็นช่องลึก แต่ฝนนั้นก็ไม่อาจแม้เพียงแค่ทำให้จีวรเปียก  
      พญามาราธิราชจึงบรรดาลห่าฝนหินก้อนใหญ่หินแต่ละก้อนตกกระทบยอดภูเขาใหญ่ก็คุกกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง แต่ฝนหินนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา  
      พญามาราธิราชจึงบรรดาลห่าฝนอาวุธ มีทั้งหอกดาบ และลูกศรคุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลงออกมาทางอากาศ แต่ฝนอาวุธนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
      พญามาราธิราชจึงบรรดาลฝนห่าฝนเพลิงร้อนแรงปราศจากควัน แต่ฝนเพลิงนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชาลงแทบบาทมูล          
      พญารามาธิราชจึงบันดาลห่าฝนเถ้ารึง อันแดงร้อนแรงยิ่งนัก แต่ฝนเถ้ารึงนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
      พญารามาธิราชจึงบันดาลห่าฝนทรายกรด คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ แต่ฝนทรายนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
      พญารามาธิราชจึงบันดาลห่าฝนเปือกตม คุเป็นควันไฟลุกโพลง แต่ฝนเปือกตมนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
      พญารามาธิราชจึงบันดาลความมืดหวังให้พระโพธิสัตว์เกรงกลัวแล้วหนีไป แต่ความมืดนั้นเมื่อเข้ามาใกล้ กลับอันตรธานหายไปเหมือนความมืดถูกกำจัดด้วยแสงอทิตย์
    
      พญามารไม่สามารถทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝนถ่านเพลิง ห่านเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนคือความมืด ทั้ง ๙ ประการนี้ ก็โกรธกริ้วยิ่งนัก สั่งให้ไพร่พลเข้าไปจับพระโพธิสัตว์ไว้ให้ได้ ส่วนตัวพญามารเองก็ไสช้างคิริเมขล์เข้าใกล้ กวัดแกว่งจักราวุธแล้วตวาดว่า " สิทธัตถะ ท่านจงลุกจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้เป็นของเรา "
      พระโพธิสัตว์ตรัสว่า "ดูก่อนมารท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ อันประกอบด้วย ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขาบารมีอย่างเรา เพราะฉะนั้นบัลลังก์นี้จึงไม่เกิดแก่ท่าน บัลลังก์นี้เกิดแก่เราเท่านั้น".....พญามารโกรธ ขว้างจักราวุธใส่เจ้าชายสิทธัตถะ แต่จักราวุธได้กลายเป็นเพดานดอกไม้กั้นอยู่เบื้องบน บรรดาพลมารขว้างอาวุธน้อยใหญ่ตามเข้าไป อาวุธเหล่านั้นก็กลายเป็นบุปผชาติตกลลงยังพื้นดินทั้งสิ้น
      พระโพธิสัตว์ทรงตรัสต่อไปว่า "บัลลังก์นี้เป็นที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีพร้อมแล้ว เราบำเพ็ญทานบารมี โพธิบัลลังก์นี้จึงเกิดแก่เรา หากท่านกล่าวว่าบัลลังก์นี้เป็นของท่านใครเล่าเป็นสักขีพยานให้"  พญารามาธิราชก็เหยียดมือไปตรงหน้าพลมารของตน บอกว่า "คนเหล่านี้ไงเป็นสักขีพยาน" กล่าวจบพลมารก็โห่ร้องขึ้นว่า "เราเป็นพยาน!! เราเป็นพยาน!!"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่