แอบรู้สึกว่านักวิจารณ์หลายๆคนอาจจะใจร้ายกับหนังเรื่องนี้เกินไปนี๊ดดดดดดดดดดดดดนึง (50% บนเว็บมะเขือนั่นมันก็น้อยไปคุณ เอาสัก 60 หน่อยๆน่าจะเหมาะกว่า) เพราะไอ้สิ่งดีๆเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มันก็มี เพียงแต่หนังมันจะมาตกม้าตายเอาเพราะครึ่งหลังของมันนี่แหละ
ต้องขอชมก่อนเลยว่าครึ่งแรกของหนังมีฉากดีๆเยอะมาก ฉากที่นางเอกได้“ไป” Tomorrowland ครั้งแรกนั่นก็ดี ฉากแอ็คชั่นในบ้านของ George Clooney นั่นก็ดีมาก ส่วนฉากกระสวยอวกาศทะลุมิติที่ปารีสนั่นก็ดีอีกเหมือนกัน แต่ฉากที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้เห็นจะฉากเปิดของหนัง นั่นก็คือฉากแฟลชแบ็คที่เล่าถึงตอนที่ George Clooney ตอนเด็กไปงาน New York’s World Fair ซึ่งเป็นฉากเปิดเรื่องที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง ความตื่นตาตื่นใจ และกลิ่นอาย nostalgia ในแบบที่เราๆท่านๆที่เคยผ่านตาหนังเรื่องก่อนๆของ Brad Bird มาก่อนต่างก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ทีมนักแสดงของหนังก็ทำหน้าที่กันได้อย่างดี เราชอบพ่อหนุ่มน้อยคนที่เล่นเป็น George Clooney ตอนเด็ก (Thomas Robinson) และนางหนูคนที่เล่นเป็น Athena (Raffey Cassidy) มั่กๆ โดยเฉพาะนู๋ Cassidy คือทำไมหนูเป็นเด็กขี้ขโมยแบบนี้ล่ะลูก เล่นขโมยซีนคนอื่นเขาแบบไม่เกรงใจใครตลอดทั้งเรื่องเลย Britt Robertson ก็รับบทเป็นนางเอกของเรื่องได้อย่างมีเสน่ห์และมีอารมณ์ขัน ดูแล้วชวนให้นึกถึงความโก๊ะของ Jennifer Lawrence (จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้เขาเป็นญาติห่างๆกันห่างกันหรือเปล่าเนี่ย? หน้าตายิ่งคล้ายๆกันอยู่ด้วย) ส่วนป๋า Clooney แกก็เหมือนเปิดโหมดออโต้ไพล็อตน่ะ คือดีตามมาตรฐานของแก ที่น่าสนใจคือหลังจากพยายามหลีกเลี่ยงมานาน ในที่สุด George Clooney ก็ยอมเล่นเป็นคนแก่เสียที(ฮา)
และในขณะที่หนังที่ว่าด้วยโลกอนาคตส่วนใหญ่มักจะนำเสนอโลกอนาคตให้ออกมาเป็นโลกดิสโทเปียอันหม่นหมองและสิ้นหวัง[อาทิ Children of Men (ดิสโทเปียเรียลลิสติก), Dawn of the Planet of the Apes (ดิสโทเปียผสมลิง), Mad Max: Fury Road (ดิสโทเปียอัดสเตอรอยด์) ฯลฯ] Tomorrowland กลับเป็นหนึ่งในหนัง Sci-Fi เพียงไม่กี่เรื่องที่กล้าจะนำเสนอโลกอนาคตในแบบของมันให้ออกมาเป็นโลกยูโทเปีย โลกอนาคตที่หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นมาคือโลกอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยมันสมองของนักวิทยาศาสตร์อย่าง Einstein และจินตนาการของศิลปินอย่าง Walt Disney มันคือโลกอนาคตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวังของผู้คนยุคก่อนที่วาดฝันเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งอนาคตของมนุษยชาติจะเต็มไปด้วยตึกระฟ้า กระสวยอวกาศ และเจ็ตแพ็ค ความกล้าที่จะ“แหวกแนว”ของ Tomorrowland ในส่วนนี้จึงถือเป็นความทะเยอทะยานที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเราได้สาธยายความดีงามของหนังเรื่องไปจดหมดสิ้นแล้ว ก็ถึงคราวที่เราจะต้องพูดถึงความล้มเหลวอันใหญ่หลวงของหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็คือครึ่งหลังของหนัง... *ถอนหายใจดังๆ*
ถึงเราจะตื่นตาตื่นใจไปกับครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้มากแค่ไหนและถึงเราจะเป็นติ่งของ Brad Bird มากเพียงใด มันก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีแหละว่าครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้มันปวกเปียกมาก ฉากที่ตัวเอกทั้งสามของหนังได้เจอกับตัวละครของ Hugh Laurie ในครึ่งหลังของหนังมันนั้นมีสิทธิ์ที่จะออกมาเลอะเทอะพอๆกับฉากที่ Neo ไปเจอปู่ KFC ใน The Matrix Reloaded แต่ก็นับเป็นโชคดีของคนดูที่หนังยังไม่เละถึงขั้นนั้น
โดยส่วนตัวเราคิดว่าปัญหาของครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้หลักๆเลยเห็นจะเป็นเพราะว่าหนังมันไม่สามารถ convince คนดูให้คล้อยตามไปกับความ“โลกสวย”ของมันได้ พอๆกับที่หนังมันไม่สามารถ convince ให้เราเชื่อได้ว่าตัวนางเอกของหนังเรื่องนี้คือ“ผู้ถูกเลือก”ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติได้(คือตัว Britt Robertson เองน่ะเล่นดี แต่เป็นตัวบทของหนังต่างหากที่ยัง execute บทบาทของตัวละครที่เธอเล่นได้ไม่ดีพอ) พอครึ่งหลังของมันออกมาเป็นแบบนั้น แทนที่เราจะรู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวเอกทั้งสามของเรื่อง เรากลับรู้สึกเห็นด้วยกับจุดยืนของตัวละครของ Hugh Laurie มากกว่า เพราะว่าเรา“ไม่เชื่อ”ในทางออกโลกสวยที่หนังพยายามจะยัดเยียดให้กับคนดูอย่างเรา
สุดท้ายแล้วสิ่งที่หนังเรื่องนี้สอบตกอย่างรุนแรงจึงไม่ใช่ในส่วนของการกำกับ การแสดง หรือเทคนิคพิเศษ แต่เป็นในส่วนของบทที่ตัว Brad Bird เขียนร่วมกับ Damon Lindelof (ผู้เขียนซีรี่ส์ Lost, The Leftovers) ต่างหากที่ทำให้คอนเซ็ปต์ของหนังซึ่งควรจะออกมายอดเยี่ยมเสมอต้นเสมอปลายต้องล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในตอนท้าย
7.5/10
ป.ล. ขอฝากเพจคุยเรื่องหนัง/เพลง/เกม/การ์ตูน/ทีวีซีรี่ส์แบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมกันนะครับ
>>>
https://www.facebook.com/appleoneoone
[CR] [Review] Tomorrowland (2015) - ทะเยอทะยานได้อย่างน่าชื่นชมในครึ่งแรก...แต่กลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในครึ่งหลัง
แอบรู้สึกว่านักวิจารณ์หลายๆคนอาจจะใจร้ายกับหนังเรื่องนี้เกินไปนี๊ดดดดดดดดดดดดดนึง (50% บนเว็บมะเขือนั่นมันก็น้อยไปคุณ เอาสัก 60 หน่อยๆน่าจะเหมาะกว่า) เพราะไอ้สิ่งดีๆเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มันก็มี เพียงแต่หนังมันจะมาตกม้าตายเอาเพราะครึ่งหลังของมันนี่แหละ
ต้องขอชมก่อนเลยว่าครึ่งแรกของหนังมีฉากดีๆเยอะมาก ฉากที่นางเอกได้“ไป” Tomorrowland ครั้งแรกนั่นก็ดี ฉากแอ็คชั่นในบ้านของ George Clooney นั่นก็ดีมาก ส่วนฉากกระสวยอวกาศทะลุมิติที่ปารีสนั่นก็ดีอีกเหมือนกัน แต่ฉากที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้เห็นจะฉากเปิดของหนัง นั่นก็คือฉากแฟลชแบ็คที่เล่าถึงตอนที่ George Clooney ตอนเด็กไปงาน New York’s World Fair ซึ่งเป็นฉากเปิดเรื่องที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง ความตื่นตาตื่นใจ และกลิ่นอาย nostalgia ในแบบที่เราๆท่านๆที่เคยผ่านตาหนังเรื่องก่อนๆของ Brad Bird มาก่อนต่างก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ทีมนักแสดงของหนังก็ทำหน้าที่กันได้อย่างดี เราชอบพ่อหนุ่มน้อยคนที่เล่นเป็น George Clooney ตอนเด็ก (Thomas Robinson) และนางหนูคนที่เล่นเป็น Athena (Raffey Cassidy) มั่กๆ โดยเฉพาะนู๋ Cassidy คือทำไมหนูเป็นเด็กขี้ขโมยแบบนี้ล่ะลูก เล่นขโมยซีนคนอื่นเขาแบบไม่เกรงใจใครตลอดทั้งเรื่องเลย Britt Robertson ก็รับบทเป็นนางเอกของเรื่องได้อย่างมีเสน่ห์และมีอารมณ์ขัน ดูแล้วชวนให้นึกถึงความโก๊ะของ Jennifer Lawrence (จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้เขาเป็นญาติห่างๆกันห่างกันหรือเปล่าเนี่ย? หน้าตายิ่งคล้ายๆกันอยู่ด้วย) ส่วนป๋า Clooney แกก็เหมือนเปิดโหมดออโต้ไพล็อตน่ะ คือดีตามมาตรฐานของแก ที่น่าสนใจคือหลังจากพยายามหลีกเลี่ยงมานาน ในที่สุด George Clooney ก็ยอมเล่นเป็นคนแก่เสียที(ฮา)
และในขณะที่หนังที่ว่าด้วยโลกอนาคตส่วนใหญ่มักจะนำเสนอโลกอนาคตให้ออกมาเป็นโลกดิสโทเปียอันหม่นหมองและสิ้นหวัง[อาทิ Children of Men (ดิสโทเปียเรียลลิสติก), Dawn of the Planet of the Apes (ดิสโทเปียผสมลิง), Mad Max: Fury Road (ดิสโทเปียอัดสเตอรอยด์) ฯลฯ] Tomorrowland กลับเป็นหนึ่งในหนัง Sci-Fi เพียงไม่กี่เรื่องที่กล้าจะนำเสนอโลกอนาคตในแบบของมันให้ออกมาเป็นโลกยูโทเปีย โลกอนาคตที่หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นมาคือโลกอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยมันสมองของนักวิทยาศาสตร์อย่าง Einstein และจินตนาการของศิลปินอย่าง Walt Disney มันคือโลกอนาคตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวังของผู้คนยุคก่อนที่วาดฝันเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งอนาคตของมนุษยชาติจะเต็มไปด้วยตึกระฟ้า กระสวยอวกาศ และเจ็ตแพ็ค ความกล้าที่จะ“แหวกแนว”ของ Tomorrowland ในส่วนนี้จึงถือเป็นความทะเยอทะยานที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเราได้สาธยายความดีงามของหนังเรื่องไปจดหมดสิ้นแล้ว ก็ถึงคราวที่เราจะต้องพูดถึงความล้มเหลวอันใหญ่หลวงของหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็คือครึ่งหลังของหนัง... *ถอนหายใจดังๆ*
ถึงเราจะตื่นตาตื่นใจไปกับครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้มากแค่ไหนและถึงเราจะเป็นติ่งของ Brad Bird มากเพียงใด มันก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีแหละว่าครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้มันปวกเปียกมาก ฉากที่ตัวเอกทั้งสามของหนังได้เจอกับตัวละครของ Hugh Laurie ในครึ่งหลังของหนังมันนั้นมีสิทธิ์ที่จะออกมาเลอะเทอะพอๆกับฉากที่ Neo ไปเจอปู่ KFC ใน The Matrix Reloaded แต่ก็นับเป็นโชคดีของคนดูที่หนังยังไม่เละถึงขั้นนั้น
โดยส่วนตัวเราคิดว่าปัญหาของครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้หลักๆเลยเห็นจะเป็นเพราะว่าหนังมันไม่สามารถ convince คนดูให้คล้อยตามไปกับความ“โลกสวย”ของมันได้ พอๆกับที่หนังมันไม่สามารถ convince ให้เราเชื่อได้ว่าตัวนางเอกของหนังเรื่องนี้คือ“ผู้ถูกเลือก”ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติได้(คือตัว Britt Robertson เองน่ะเล่นดี แต่เป็นตัวบทของหนังต่างหากที่ยัง execute บทบาทของตัวละครที่เธอเล่นได้ไม่ดีพอ) พอครึ่งหลังของมันออกมาเป็นแบบนั้น แทนที่เราจะรู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวเอกทั้งสามของเรื่อง เรากลับรู้สึกเห็นด้วยกับจุดยืนของตัวละครของ Hugh Laurie มากกว่า เพราะว่าเรา“ไม่เชื่อ”ในทางออกโลกสวยที่หนังพยายามจะยัดเยียดให้กับคนดูอย่างเรา
สุดท้ายแล้วสิ่งที่หนังเรื่องนี้สอบตกอย่างรุนแรงจึงไม่ใช่ในส่วนของการกำกับ การแสดง หรือเทคนิคพิเศษ แต่เป็นในส่วนของบทที่ตัว Brad Bird เขียนร่วมกับ Damon Lindelof (ผู้เขียนซีรี่ส์ Lost, The Leftovers) ต่างหากที่ทำให้คอนเซ็ปต์ของหนังซึ่งควรจะออกมายอดเยี่ยมเสมอต้นเสมอปลายต้องล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในตอนท้าย
7.5/10
ป.ล. ขอฝากเพจคุยเรื่องหนัง/เพลง/เกม/การ์ตูน/ทีวีซีรี่ส์แบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมกันนะครับ >>> https://www.facebook.com/appleoneoone