Tomorrowland - ดีแค่ครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังเหมือนโดนหลอกไปนั่งฟังขายตรง




(บอกเลยรีวิวนี้ไม่มีสปอยล์ ไม่มีการเล่าเรื่อง มีแต่การบรรยายความรู้สึกของหนังคร่าวๆ )

ผมคงต้องโทษตัวเองก่อนเลยที่คาดหวังเยอะ โดยที่ลืมไปว่าเพราะมันเป็นหนังแฟนตาซี จริตดิสนีย์ ภาพที่ออกมามันเลยเป็นหนังเด็ก ที่แบบเด็กจริงๆ เด็กมากๆ ดังนั้นการที่เราจะไปหวังเห็นฉากต่อสู้อะไรที่เร้าใจนั้นพูดเลยอย่าไปหวังที่จะเจอ ฉากแอ้คชั่นเรื่องนี้เบามากตามจริตดิสนีย์ แถมตอนจบก็ออกจะเงิบแบบเฮ้ยเราไม่ชอบตอนจบแบบนี้เลย

โปรเจ็ค Tomorrowland นี้เป็นโปรเจคที่ทางดิสนีย์ค่อนข้างจะอุบเป็นความลับ เปิดเผยเนื้อหาน้อยมาก แต่จากที่ไปดูมา ตัวหนังเหมือนพยายามจะคารวะกำเนิดดิสนีย์แลนด์ เพราะเมื่อปีที่แล้ว ดิสนีย์แลนด์เพิ่งจะฉลองเครื่องเล่น Small World ครบรอบ 50 ปีไปเอง และจุดกำเนิดของ Tomorrowland ในเรื่องก็เกิดขึ้นที่งานนิวยอร์คเวิลด์แฟร์ โดยเพลง It's a Small World' ของดิสนีย์แลนด์ ก็ได้เปิดตัวในงานนี้ด้วย

ตัวหนังพูดเลยว่าช่วงต้นเรื่อง ที่มาที่ไปของพระเอก จอร์จ คลูนี่ ตอนเด็กที่เข้ามาในงานนิวยอร์คเวิลด์แฟร์เพื่อสิ่งประดิษฐ์นั้นทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมาก จากนั้นก็เป็นที่มาของนางเอกก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น และอดที่จะชื่นชมหนังไม่ได้ว่า เฮ้ย ดิสนีย์นี่โคตรเจ๋งเลย ทำหนังสนุก ตื่นเต้น สร้างเสริมจินตนาการให้คนคิดไปไกลแบบไม่มีที่สิ้นสุด สมกับสโลแกนของไอน์สไตน์ที่ใส่ไว้ในโลกอนาคตในหนังที่บอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ซึ่งมันตอบโจทย์สุดๆ เพราะสารพัดสิ่งประดิษฐ์ วิทยาการ โลกอนาคตในหนัง มันตื่นตาตื่นใจ งานโปรดักชั่นงดงามไม่มีที่ติด คือจะบอกว่าไปดูช่วงต้นเรื่องประมาณ 1 ชมแรก กับฉากหอไอเฟลก็โคตรคุ้มแล้ว ฉากในโลกอนาคตคือดีมากกกกกกกก

ข้อดีอีกเรื่องของ Tomorrowland คือบทสนทนาและมุขตลกของหนังในช่วงต้นเรื่อง ผมว่ามันโอเค ลื่นไหล ฟังแล้วสนุก อีกทั้งการแสดงของสามดารา George Clooney กับ Britt Robertsonสองนักแสดงนำคือเข้าขากันดีมาก พระเอกจอร์จ คลูนี่ ดูจะแสดงอย่างชิวๆ ส่วนน้องนางเอกกับบทเด็กสาวที่ฉลาดและอยากรู้อยากเห็น คิดบวกและไม่กลัวใคร นางแสดงได้ดี แต่บางทีก็ล้นไปนิด ส่วน หนูน้อย Raffey Cassidy ซึ่งคนนี้พูดเลยว่าเด็กคนนี้แสดงเก่งมาก เป็นเด็กเล็กๆก็จริง แต่สวมบทและต้องใส่อินเนอร์แบบสาวใหญ่มีจริตจกร้าน นางทำได้เร่ิดมาก

แต่ในช่วงหลังของหนังเมื่อตัวละครทั้งสามตัวคือ พระเอก นางเอก และเด็กหญิงอธีนาในเรื่อง กลับไปสู้โลกอนาคน Tomorrow หนังพังพินาศแบบกู่ไม่กลับ

การเอาทฤษฎีวิทยาศาสตร์ใส่ปากตัวละครปาวๆไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกย่อยง่าย ตรงกันข้ามกลับทำให้รู้สึกว่าหนังอธิบายเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ฉากต่อสู้ท้ายเรื่อง ฉากระเบิด ฉากวินาศพังข้าวของตอนจบคือซอฟท์มาก ไม่สะใจเลย อาจจะเป็นเพราะมันคือหนังดิสนีย์มันเลยทำให้แรงกว่านี้ไม่ได้ นี่เลยเป็นที่มาที่ผมบอกว่า เพราะเป็นหนังดิสนีย์ผู้ใหญ่ดูเลยเจ็บปวด เอาจริงๆ อาจจะเพราะผมแก่ไปแล้วมั้ง ผมเลยรู้สึกว่าผมอยากดูอะไรที่มันส์กว่านี้ อันนี้มันซอฟท์ไปจริงๆ

หนังจับเอาประเด็นความกลัววันสิ้นโลก ขาดแคลนทรัพยากร ภัยธรรมชาติมาใส่ และสิ่งหนึ่งที่ดูแล้วก็ไม่เข้าใจ หนังเรื่อง Tomorrowland ก็โชว์เมือง Tomorrowland ให้เห็นเสียอลังการณ์ แต่เรากลับไม่รู้สึกว่า Tomorrowland ในเรื่องมันจะมีความสำคัญอะไรกับเรื่องเลย หรือจะมีภาคต่อ?

แต่ในส่วนตอนจบของหนังจริงๆคือส่วนที่เราขนลุกที่สุด ขนลุกในที่นี้คือรู้สึกไม่ชอบ นั่นคือ เหมือนกับว่าตลอดเวลาร่วมสองชั่วโมงชองหนังที่เราดูมาทั้งหมด คือการหลอกให้เรามานั่งฟังขายตรงตอนจบ ซึ่งในความคิดผมคือพังพินาศสุดๆ

แต่ถามว่าควรไปดูไหม โดยส่วนตัวก็ยังเชื่อนะว่า ผมเองไม่ชอบส่วนท้ายเลย แต่เอาจริงๆ หนังมันเหมาะกับเด็กมากนะ เพราะหนังดิสนีย์มันไม่มีพิษมีภัยและมันสอนเด็กจริงๆ อย่างเรื่องนี้ สอนให้เด็กรู้จักใฝ่รู้ คิดบวก ไม่ยอมแพ้ และไม่กลัวอุปสรรค อยบากทำอะไรก็พุ่งตรงไปเลย คือส่วนนี้ชมว่าดิสนีย์ก็คือดิสนีย์

ส่วนฝีไม้ลายมือของผู้กำกับ Brad Bird ในเรื่องนี้ก็ขอบอกตรงๆว่าชอบน้อยที่สุดแล้ว เพราะพลาดในช่วงท้ายที่ทำหนังออกมาอย่างไร้ชั้นเชิงไปนิด

แต่โดยสรุป ช่วง 1 ชม แรกของเรื่องคือดีมาก ดูสนุกตื่นตาตื่นใจ คาดว่าเด็กๆคงชอบ แต่ช่วงหลังของหนังคือไม่ไหวจริงๆและตอนจบก็ชวนขนลุกมากกกกกผมรังเกียจตอนจบของหนังเรื่องนี้มาก

7/10 คือจริงๆถ้าหนังประคองตัวได้แบบช่วงต้นๆผมจะให้ 9/10 แต่ตอนจบนี่เข้าขั้นพินาศเลย(ในความคิดผม) เลยได้แค่นี้แหละ


ปล.ผมโพสไว้ในเพจด้วย เผื่อแวะไปคุยกันได้
https://goo.gl/uIDvcy

ไม่ต้องไลค์เพจผมก็ได้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่