Tomorrowland (2015) | ผลงานของ Brad Bird ทุกเรื่องไม่มีข้อสงสัยในความสามารถกำกับหนังของเขา แต่คราวหน้าทำหนังให้สตูดิโออื่นเถอะ
คอมเม้นสั้น ๆ ว่า "แอ็คชั่นดี ลองเทคเลิศ วิสัยทัศน์ดี คอนเซปงาม แต่มาตกม้าตายเพราะความเป็นหนังดิสนี่ย์บ้องแบ้วเนี่ยแหละจ้า" ซึ่งเท่าที่ดูความเห็นจากหลายคนที่บ่นดิสนี่ย์ เราก็แอบคิดในใจว่าแบรด เบิร์ดเป็นผู้กำกับที่เก่งนะ ที่พาหนังเด็กดูได้ทั้งครอบครัวแบบนี้มาไกลในระดับที่คนนึกเสียดายว่าไม่น่าถูกควบคุมโดยดิสนี่ย์
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก เกี่ยวข้องกับเข็มกลัดรักษ์โลกที่ 'เคซี่ย์' (Britt Robertson) แตะปุ๊บก็จะไปเห็นอนาคตได้ทันที ส่วนที่เหลือระหว่างทางขอเก็บให้ไปลุ้นในหนังนะครับ ผมจะพูดถึงองค์รวมกว้าง ๆ ไม่เปิดเผยเนื้อหามากนัก
1) หนังมาพร้อมคอนเซป 'รณรงค์รักโลก' ซึ่งเราชอบมาก ๆ ที่หนังครอบครัวจะมีการนำเสนอประเด็นที่มีสาระมากกว่าดูเอาเพลินทำมาขายของเล่นแล้วก็จบ เราชอบที่หนังกำลังตอกหน้าคนรุ่นปัจจุบันที่ถูกกระตุ้นเตือนเรื่องวิกฤติภัยธรรมชาติตั้งมากมาย แต่ก็ยังนิ่งดูดายไม่ได้รู้สึกตื่นตัวลุกขึ้นมาฟื้นฟูโลกแต่อย่างใด
2) แต่เราว่าหนังมีปัญหาในการสื่อประเด็นเริ่มต้นรักษ์โลก เพราะพี่เล่นยัดบทพูดยาว ๆ เป็นโฆษณาชวนเชื่อโต้ง ๆ ในระดับที่เราว่าเด็กที่จะดูรู้เรื่องน่าจะต้องอายุเกิน 13 ขวบ ซึ่งแอบคิดในใจว่าเด็กอาจจะงงสิ่งที่หนังนำเสนอด้วยซ้ำ เพราะระหว่างทางมันสอดแทรกจุดที่ทำให้ตระหนักถึงโลกอนาคตดิสโทเปียน้อยมาก แถมยังอ้อมโลกไปไกลเกินจำเป็นด้วยซ้ำ (ตัวอย่างที่ดีของหนังเด็กที่พูดถึงโลกอนาคตคงยกให้ Wall-E)
3) ฉากแอ็คชั่นของ 'แบรด เบิร์ด' ยังคงตื่นตาตื่นใจมีวิสัยทัศน์และสร้างสรรค์มากๆๆๆๆๆๆ ฉากเด็ดสุดก็คือฉากบุกบ้าน 'แฟรงค์' (George Clooney) ในตัวอย่างหนังน่ะแหละ เป็นฉากโชว์ศักยภาพไอเดียการทำหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ของผู้กำกับเลย นอกนั้นก็มีฉากแอ็คชั่นเล็ก ๆ ไม่กี่ฉาก ซึ่งเราชอบตอนสู้กันในร้าน tie-in Star Wars มากกกกกกกกกกก (เป็นฉาก tie-in ที่อดขำดิสนี่ย์ไม่ได้ เพราะพี่เล่นกันโต้ง ๆ ทั้งฉากขนมาหมดแทบทุกอย่างของแฟรนไชส์เลยมั้ง ฮ่าๆๆ)
4) long take ตอนถือเข็มกลัดเปิดโลก Tomorrowland เต็ม ๆ ครั้งแรกนี่ทำเรานั่งไม่ติดเลยนะ ชม 'แบรด เบิร์ด' เลยว่าใช้ประโยชน์จากการถ่ายยาว ๆ แบบไม่ตัดต่อมาสร้างความรู้สึกให้คนดูตื่นตาไปพร้อมกับตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม ยังไม่เห็นเบื้องหลังแต่ยังไงก็คงใช้ cgi ฉากหลังค่อนข้างเยอะแต่ไม่ใช่ปัญหาที่เราจะชื่นชม long take แบบนี้ เพราะยังไงเราก็ขอชมบล็อกกิ้งการวางตำแหน่งเดิน ซึ่งก็เป็นเรื่องยาก, การเคลื่อนกล้องเพื่อโชว์ความยิ่งใหญ่ของ Tomorrowland จังหวะการเดินไปนู่นมองไปนี่ของนางเอกสามารถโชว์ศักยภาพและวิสัยทัศน์การทำหนังของผู้กำกับได้อย่างดีเยี่ยม
5) ไอเดียหลายอย่างในหนังยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า 'แบรด เบิร์ด' มีจินตนาการที่บรรเจิดมาก และเขาเอามาใช้สร้างลูกเล่นในหนังคนแสดงได้ดีมาตั้งแต่ Mission: Impossible - Ghost Protocol ตัวอย่างที่เด่นชัดใน Tomorrowland ก็คือการมองเห็นอนาคตล่วงหน้า 2 วินาทีที่ถูกหยิบมาใช้อย่างสร้างสรรค์ นั่นรวมถึงการออกแบบฉากแอ็คชั่นที่ได้เขียนชมไปข้างต้น
6) นักแสดงทั้งสามคนเคมีเข้าขากันได้ดีมาก ทำให้เวลาอยู่ร่วมฉากกันจึงรู้สึกชวนติดตาม หนังมีอารมณ์ขันในระดับที่พอดี รับส่งมุกกันได้จังหวะ แถมป๋าจอร์จยังช่วยประคองน้อง ๆ สองสาวมือใหม่ให้ไปรอดจนจบหนัง
7) โดยสรุปแล้วแวบหนึ่งเราก็คิดว่าถ้า 'แบรด เบิร์ด' ทำหนังคอนเซปรักษ์โลกให้โตกว่านี้มันก็คงเป็นหนังสำหรับผู้ใหญ่ไปเลย ซึ่งเราก็คงเสียดายแทนเด็กที่อาจจะพลาดหนังผจญภัยแบบนี้ ความเป็นดิสนี่ย์มันก็คือคุณค่าของหนังดูได้ทั้งครอบครัว เราเองอาจจะไม่ถูกจริตกับมันเพราะเราก้าวผ่านวัยเด็กมานานแล้ว แต่สำหรับเด็ก ๆ มันคือการเปิดโลกการจินตนาการของพวกเขา
8) อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าเด็กที่ไปดูหนังเรื่องนี้น่าจะเข้าไม่ถึงประเด็นฟื้นฟูโลกที่เล่าเข้าใจยาก แต่อย่างน้อยเด็ก ๆ จะได้ตื่นตากับจินตนาการโลกอนาคตยูโทเปียสวยล้ำแน่นอนครับ
ป.ล. ไม่รู้จะมีใครสังเกตกันไหมว่าหนังพูดคำว่า 'อิมพอสซิเบิ้ล' บ่อยยิ่งกว่า Mission Impossible ที่แบรด เบิร์ดกำกับเสียอีก ฮ่าๆๆๆๆ ไม่รู้ว่าพี่แกเนียน tie-in แฟรนไชส์ที่เคยร่วมงานหรือเปล่า
Director: Brad Bird
story: Damon Lindelof, Brad Bird, Jeff Jensen
screenplay: Damon Lindelof, Brad Bird
Genre: sci-fi, action, adventure, mystery
7/10
หนังโปรดของข้าพเจ้า: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms/
Tomorrowland (2015) | แอ็คชั่นดี ลองเทคเลิศ วิสัยทัศน์ดี คอนเซปงาม แต่มาตกม้าตายเพราะความเป็นหนังดิสนี่ย์บ้องแบ้ว
คอมเม้นสั้น ๆ ว่า "แอ็คชั่นดี ลองเทคเลิศ วิสัยทัศน์ดี คอนเซปงาม แต่มาตกม้าตายเพราะความเป็นหนังดิสนี่ย์บ้องแบ้วเนี่ยแหละจ้า" ซึ่งเท่าที่ดูความเห็นจากหลายคนที่บ่นดิสนี่ย์ เราก็แอบคิดในใจว่าแบรด เบิร์ดเป็นผู้กำกับที่เก่งนะ ที่พาหนังเด็กดูได้ทั้งครอบครัวแบบนี้มาไกลในระดับที่คนนึกเสียดายว่าไม่น่าถูกควบคุมโดยดิสนี่ย์
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก เกี่ยวข้องกับเข็มกลัดรักษ์โลกที่ 'เคซี่ย์' (Britt Robertson) แตะปุ๊บก็จะไปเห็นอนาคตได้ทันที ส่วนที่เหลือระหว่างทางขอเก็บให้ไปลุ้นในหนังนะครับ ผมจะพูดถึงองค์รวมกว้าง ๆ ไม่เปิดเผยเนื้อหามากนัก
1) หนังมาพร้อมคอนเซป 'รณรงค์รักโลก' ซึ่งเราชอบมาก ๆ ที่หนังครอบครัวจะมีการนำเสนอประเด็นที่มีสาระมากกว่าดูเอาเพลินทำมาขายของเล่นแล้วก็จบ เราชอบที่หนังกำลังตอกหน้าคนรุ่นปัจจุบันที่ถูกกระตุ้นเตือนเรื่องวิกฤติภัยธรรมชาติตั้งมากมาย แต่ก็ยังนิ่งดูดายไม่ได้รู้สึกตื่นตัวลุกขึ้นมาฟื้นฟูโลกแต่อย่างใด
2) แต่เราว่าหนังมีปัญหาในการสื่อประเด็นเริ่มต้นรักษ์โลก เพราะพี่เล่นยัดบทพูดยาว ๆ เป็นโฆษณาชวนเชื่อโต้ง ๆ ในระดับที่เราว่าเด็กที่จะดูรู้เรื่องน่าจะต้องอายุเกิน 13 ขวบ ซึ่งแอบคิดในใจว่าเด็กอาจจะงงสิ่งที่หนังนำเสนอด้วยซ้ำ เพราะระหว่างทางมันสอดแทรกจุดที่ทำให้ตระหนักถึงโลกอนาคตดิสโทเปียน้อยมาก แถมยังอ้อมโลกไปไกลเกินจำเป็นด้วยซ้ำ (ตัวอย่างที่ดีของหนังเด็กที่พูดถึงโลกอนาคตคงยกให้ Wall-E)
3) ฉากแอ็คชั่นของ 'แบรด เบิร์ด' ยังคงตื่นตาตื่นใจมีวิสัยทัศน์และสร้างสรรค์มากๆๆๆๆๆๆ ฉากเด็ดสุดก็คือฉากบุกบ้าน 'แฟรงค์' (George Clooney) ในตัวอย่างหนังน่ะแหละ เป็นฉากโชว์ศักยภาพไอเดียการทำหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ของผู้กำกับเลย นอกนั้นก็มีฉากแอ็คชั่นเล็ก ๆ ไม่กี่ฉาก ซึ่งเราชอบตอนสู้กันในร้าน tie-in Star Wars มากกกกกกกกกกก (เป็นฉาก tie-in ที่อดขำดิสนี่ย์ไม่ได้ เพราะพี่เล่นกันโต้ง ๆ ทั้งฉากขนมาหมดแทบทุกอย่างของแฟรนไชส์เลยมั้ง ฮ่าๆๆ)
4) long take ตอนถือเข็มกลัดเปิดโลก Tomorrowland เต็ม ๆ ครั้งแรกนี่ทำเรานั่งไม่ติดเลยนะ ชม 'แบรด เบิร์ด' เลยว่าใช้ประโยชน์จากการถ่ายยาว ๆ แบบไม่ตัดต่อมาสร้างความรู้สึกให้คนดูตื่นตาไปพร้อมกับตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม ยังไม่เห็นเบื้องหลังแต่ยังไงก็คงใช้ cgi ฉากหลังค่อนข้างเยอะแต่ไม่ใช่ปัญหาที่เราจะชื่นชม long take แบบนี้ เพราะยังไงเราก็ขอชมบล็อกกิ้งการวางตำแหน่งเดิน ซึ่งก็เป็นเรื่องยาก, การเคลื่อนกล้องเพื่อโชว์ความยิ่งใหญ่ของ Tomorrowland จังหวะการเดินไปนู่นมองไปนี่ของนางเอกสามารถโชว์ศักยภาพและวิสัยทัศน์การทำหนังของผู้กำกับได้อย่างดีเยี่ยม
5) ไอเดียหลายอย่างในหนังยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า 'แบรด เบิร์ด' มีจินตนาการที่บรรเจิดมาก และเขาเอามาใช้สร้างลูกเล่นในหนังคนแสดงได้ดีมาตั้งแต่ Mission: Impossible - Ghost Protocol ตัวอย่างที่เด่นชัดใน Tomorrowland ก็คือการมองเห็นอนาคตล่วงหน้า 2 วินาทีที่ถูกหยิบมาใช้อย่างสร้างสรรค์ นั่นรวมถึงการออกแบบฉากแอ็คชั่นที่ได้เขียนชมไปข้างต้น
6) นักแสดงทั้งสามคนเคมีเข้าขากันได้ดีมาก ทำให้เวลาอยู่ร่วมฉากกันจึงรู้สึกชวนติดตาม หนังมีอารมณ์ขันในระดับที่พอดี รับส่งมุกกันได้จังหวะ แถมป๋าจอร์จยังช่วยประคองน้อง ๆ สองสาวมือใหม่ให้ไปรอดจนจบหนัง
7) โดยสรุปแล้วแวบหนึ่งเราก็คิดว่าถ้า 'แบรด เบิร์ด' ทำหนังคอนเซปรักษ์โลกให้โตกว่านี้มันก็คงเป็นหนังสำหรับผู้ใหญ่ไปเลย ซึ่งเราก็คงเสียดายแทนเด็กที่อาจจะพลาดหนังผจญภัยแบบนี้ ความเป็นดิสนี่ย์มันก็คือคุณค่าของหนังดูได้ทั้งครอบครัว เราเองอาจจะไม่ถูกจริตกับมันเพราะเราก้าวผ่านวัยเด็กมานานแล้ว แต่สำหรับเด็ก ๆ มันคือการเปิดโลกการจินตนาการของพวกเขา
8) อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าเด็กที่ไปดูหนังเรื่องนี้น่าจะเข้าไม่ถึงประเด็นฟื้นฟูโลกที่เล่าเข้าใจยาก แต่อย่างน้อยเด็ก ๆ จะได้ตื่นตากับจินตนาการโลกอนาคตยูโทเปียสวยล้ำแน่นอนครับ
ป.ล. ไม่รู้จะมีใครสังเกตกันไหมว่าหนังพูดคำว่า 'อิมพอสซิเบิ้ล' บ่อยยิ่งกว่า Mission Impossible ที่แบรด เบิร์ดกำกับเสียอีก ฮ่าๆๆๆๆ ไม่รู้ว่าพี่แกเนียน tie-in แฟรนไชส์ที่เคยร่วมงานหรือเปล่า
Director: Brad Bird
story: Damon Lindelof, Brad Bird, Jeff Jensen
screenplay: Damon Lindelof, Brad Bird
Genre: sci-fi, action, adventure, mystery
7/10
หนังโปรดของข้าพเจ้า: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms/