คราที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน - จารีตการสวดพระอภิธรรม - และวาทะของสำนักหนึ่ง

ความนำ


ที่มา http://www.thepathofpurity.comพระอภ-ธรรม/หล-กส-ตรอ-นเตอร-เนต/ตอนท-๑/




ขออนุญาตเพิ่มอีกข้อคือ
เป็นการสวดให้คนที่มาร่วมงานฟัง เพื่อให้มีสติระลึกถึงอยู่เสมอว่า ความตายสามารถมาเยือนได้ทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิตแต่ควรเร่งประกอ­บคุณงามความดี ทำบุญทำกุศลให้มาก เพื่อที่จะได้เป็นเสบียงเดินทางไปสู่ภพหน้­าที่ดี ๆ
ยิ่งขึ้น และมีบารมีที่จะบรรลุธรรมในอนาคตก­าลเบื้องหน้าด้วย





บทสวด พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
https://www.youtube.com/watch?t=34&v=T4paz3nSwdk








ความเกี่ยวข้องในพระไตรปิฎก
เมื่อพระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน ก็ยังมีการกล่าวพระอภิธรรมให้ผู้ที่เศร้าโศกได้คลายความเศร้าโศก ให้คิดได้ ให้เกิดธรรมสังเวช
ความตอนหนึ่งจากมหาปรินิพพานสูตร :
                       
             [๑๕๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลาย
นั้น ภิกษุเหล่าใด ยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว ภิกษุเหล่านั้น บางพวกประคอง
แขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า
พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธานเสียเร็วนัก ส่วนภิกษุเหล่าใดที่มีราคะไป
ปราศแล้วภิกษุเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะอดกลั้นโดยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยงหนอ เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน ฯ

             [๑๕๑] ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลย
อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย เรื่องนี้พระผู้มีพระภาค
ตรัสบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็น
อย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของ
ชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้วมีแล้วปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็น
ธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=1888&Z=3915&pagebreak=0






พระวินัย และ จารีต
นี่เป็นตัวอย่างของเรื่องพระวินัยและจารีต

เช่น เรื่องพระไทยโกนคิ้ว

๑ ในพระวินัยปิฎก เมื่อกล่าวถึงผู้ที่จะบวชเป็นภิกษุ ก็บอกว่า “ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ” ไม่ได้บอกว่าต้อง “โกนคิ้ว” ด้วย
จึงทำให้มีผู้สงสัยว่าแล้วทำไมพระไทยจึงต้องโกนคิ้ว (อ้างว่าพระชาติอื่นไม่โกนคิ้ว) เป็นที่มาของการให้ความเห็นกันไปต่างๆ นานา

๒ โปรดทราบว่า การโกนคิ้วท่านว่าไม่ได้เป็น “วินัย” แต่เป็น “จารีต” ของพระไทย คือเป็นสิ่งที่ท่านถือปฏิบัติกันมาช้านาน
มีเหตุผลอย่างไร ใครอยากรู้ก็ค้นคว้าศึกษากันไป แต่ไม่ว่าจะมีเหตุผลอย่างไร ถ้าจะเป็นพระไทยก็ต้องปฏิบัติตามจารีตนี้

การปฏิบัติบางอย่างแม้ไม่มีข้อบังคับในพระธรรมวินัยว่าต้องทำหรือห้ามทำ แต่เมื่อไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย จะทำก็ไม่เป็นเครื่องขัดข้องแต่ประการใด
(บางเรื่องท่าน “ห้ามทำ” ไว้ชัดเจน เช่น “ห้ามนำออกซึ่งขนในที่แคบ” กรณีอย่างนี้ถ้าทำเข้าก็ผิด แต่กรณีโกนคิ้ว ไม่พบว่ามีข้อห้ามไว้) ขึ้นอยู่กับ “จารีต” ของสังคมนั้นๆ เป็นสำคัญ

๔ ในที่หลายๆ แห่งในคัมภีร์ พรรณนาถึงความงามในร่างกายว่า “คิ้วงาม” การโกนคิ้วก็เข้าหลักของบรรพชิตที่ว่าควรตัดความกังวลผูกพันอยู่กับความสวยงามอันเป็นภาระทางโลก
(ข้อมูลจากบทความของ นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย)





ประเด็นกระทู้

เจ้าสำนักวัดนา ก็โกนคิ้ว ทำตามจารีต เช่นกัน ด้วยเหตุผลว่า (ซึ่งสอดคล้องกับข้อ 3 ข้างบน)
พระองค์ไม่ได้ทรงห้าม ลอยไว้เป็นกลางๆ การโกนขนคิ้วจึงทำได้ ถ้าทรงห้ามก็ทำไม่ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


แต่เจ้าสำนักกลับเพ่งโทษ จารีตประเพณีการสวดพระอภิธรรมในงานศพ ว่า



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ที่มา http://ppantip.com/topic/32865523 มาฟังพระนั่งหอน ง้องแง้ว ง้องแง้ว อะไรก็ไม่รู้



ตรรกะท่านเจ้าสำนักคือ
ถ้าพระรูปอื่นทำตามจารีต ถือว่าผิด   ------- (บางครั้ง ถึงกับกล่าวหาว่า นั่นเป็นคนละศาสดา เลยทีเดียว)
แต่ถ้าตัวท่านทำตามจารีตบ้าง จึงจะถือว่าถูก!!






สรุป : ความเห็น จขกท

คำสอน (อัตโนมติ) ของสำนักนี้ ก่อให้เกิดความแตกแยก / ความเกลียดชัง ในหมู่พุทธศาสนิกชน
เพราะอาศัยการบิดเบือน / แอบอ้างว่าเป็นหรือไม่เป็น พุทธวจนะ ---- โปรดระวัง!!!!!!




แนะนำ : ควรศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์โดยตรงในพระไตรปิฎก
            อ่านฟรี ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ http://www.84000.org/




.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่