มีความเป็นไปได้ ที่โรฮิงญาในไทยช่วงปี 2556-2558 เป็นเหยื่อค้ามนุษย์เกือบทั้งหมด

จากข้อมูลล่าสุดเราเข้าใจตรงกันว่า การแสวงที่พักพิงของเชาวโรฮิงญา
ไม่ได้ต้องการเข้าประเทศไทย และไม่มีแผนเข้าประเทศไทย
ซ้ำการมีทัศนคติที่เป็นลบต่อผู้นับถือศาสนาพุทธในพม่า(ปัญหาทางสังคม)  เนื่องจากถูกคนเหล่านี้บังคับให้ออกจากประเทศ
เป็นเครื่องยืนยันว่าโรฮิงญาไม่ได้มีแผนจะเข้าไทยตั้งแต่แรก ดังคำให้สัมภาษณ์นี้

“We went on the boat to look for a Muslim country, either Malaysia or Indonesia,”
Asranal Ali from Burma told The Associated Press. “But it doesn’t matter what country as long it’s a Muslim country.”

Another Rohingya Muslim from Burma, Hasan Ali, says they were forced to leave by Buddhists.
“We could not reject. Otherwise, we were beaten.”



แล้วโรฮิงญาเหล่านี้มาไทยได้อย่างไร?
ตามเอกสารอ้างอิงของทางสหรัฐ ส่วนรายงานการค้ามนุษย์ ปี 2557 ระบุชัดเจนว่า

"....  เจ้าหน้าที่กองทัพเรือและถูกกล่าวหาว่า ผลักดันเรือบรรทุกผู้แสวงที่พักพิงชาวโรฮิงญาซึ่งมุ่งหน้าไปมาเลเซียให้เข้าเขตไทยแทนและให้ความสะดวกในการส่งตัวผู้แสวงที่พักพิงบางคนไปให้นักค้ามนุษย์หรือนายหน้าเพื่อขายไปเป็นแรงงานบังคับใช้บนเรือประมง... "

การขาดแคลนแรงงานบนเรือประมง นั้นถูกระบุไว้ตั้งแต่ปี 2556 ตามเอกสารรายงานดังนี้

" ...เหยื่อการค้ามนุษย์เพื่อการบังคับใช้แรงงานในไทยจำนวนมากมักถูกแสวงประโยชน์ในอุตสาหกรรมประมง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการประมง การผลิตเสื้อผ้าราคาถูก โรงงานต่างๆ และงานรับใช้ตามบ้าน  และบางคนถูกบังคับให้ขอทานตามถนน..."



สอดคล้องกับเอกสารของ  Dhaka Tribune เมื่อมีนาคม 2014 (2557)

*****"ส่วนใหญ่ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อประกอบด้วยที่ต้องการแรงงานข้ามชาติจากหัวเมืองต่างๆของประเทศที่ได้รับการหลอกล่อชักจูงจากพ่อค้าคนกลางที่Unscrupulous ว่าจะมีงานทำในประเทศมาเลเซีย" (Most of the victims consist of aspiring migrant workers from different districts of the country, who had been lured by unscrupulous middlemen promising them employment in Malaysia.)

*****"รายงานหน่วยสืบราชการลับของทหารรักษาการณ์ชายแดนบังคลาเทศ พ่อค้ามนุษย์คนกลางจะใช้เรือประมงขนาดเล็กลำเลียงผู้คนจากพื้นที่ชายฝั่งKutubdia, Katabunia และ Hariakhali ของTeknaf ในเมือง Cox’s Bazarและส่งมอบให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเรือที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ใกล้เกาะSt Martin เรือเหล่านี้ส่วนมากจะมาจากพม่าและไทย"ร้องไห้According to an intelligence report of Border Guard Bangladesh, these middlemen use small fishing boats to carry the Malaysia-bound passengers from the coastal areas Kutubdia, Katabunia and Hariakhali of Teknaf under Cox’s Bazar and hand them over to another group with large engine-run boats near St Martin Island. These boats usually come from Myanmar and Thailand.)

*****"แก๊งค้ามนุษย์ยังได้วางแผนการใหม่จากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อโดยสัญญาว่าจะมีงานในประเทศมาเลเซีย จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินล่วงหน้าไปประเทศมาเลเซีย แก๊งค้ามนุษย์ได้ตัวผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออยู่ในประเทศไทยเพื่อRealiseจากครอบครัวผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรายละ 1.8 - 2 ตากา" ((But, instead of sending the victims to Malaysia, the traffickers take them hostage in Thailand. Then, they realise Tk1.8 lakh to Tk2 lakh from each of the victims’ families)


ภาพรวมการเคลื่อนย้ายแรงงานนี้สอดคล้องกับฝ่ายความมั่งคงไทยเช่นกัน
ฝ่ายความมั่นคงของไทยทำเอกสารระบุว่า แรงงานที่ไหลเข้ามาเป็นแรงงานผสมระหว่างบังคลาเทศและโรฮิงญา เข้ามาเพื่อหางานทำ
แต่ฝ่ายความมั่นคงไม่ยอมรับว่าเป็นเรื่องการค้ามนุษย์และพยายามชี้ว่าเป็นเรื่องความสมัครใจลักลอบเข้าเมือง
ประเด็นการลักลอบเข้าเมือง - ค้ามนุษย์นี้ เป็นการหน่วงกันระหว่างสหรัฐ และหน่วยงานในไทย เพราะจะมีผลอย่างมากต่อความรับผิดชอบต่อกลุ่มโรฮิงญาดังกล่าว เนื่องจากตามหลักสากลรัฐ มีหน้าที่ต้องดูแลสวัสดิภาพทุกด้านของเหยื่อค้ามนุษย์ ทำให้ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ
อื่นๆเกี่ยวกับประเด็นนี้ตามมา เช่นการให้ไทยตั้งศูนย์รองรับโรฮิงญาเป็นต้น

เมื่อพิจารณาต่อไปในประเด็นค้ามนุษย์จากช่างภาพและนักวิชาการชาวไทย "สุเทพ กฤษณาวารินทร์"ช่างภาพที่หาข้อมูลเกี่ยวกับโรฮิงญาโดยการลงพื้นที่จริงตลอด 6 ปีได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นโรฮิงญาไว้อย่างน่าสนใจว่า สำหรับโรฮิงญา มาเลย์เซีย ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ เป็นประเทศที่ต้องมาให้ได้แต่ในความเป็นจริง มีค่ายกักกันในมาเลย์เช่นกัน เนื้อความบางส่วน ได้เล่าในประเด็นนี้ไว้

"...อาจมีการละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ด้วยในนั้น  หลังจากอยู่ในค่ายกักกันสัก 2-3 เดือน ก็จะเอาไปปล่อย แต่ไม่ใช่ในประเทศต้นทางที่โรฮีนจามา กลับถูกเอาไปปล่อยที่ชายแดนประเทศที่ใกล้ที่สุดก็คือ ไทย ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา หรือ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส จากนั้นพ่อค้ามนุษย์ก็จะไปรอที่ชายแดน กักตัวไปไว้ในค่ายแถบนั้น จากนั้นก็โทร.หาญาติพี่น้องเหยื่อให้ส่งเงินมาไถ่ตัว ใครไม่มีเงินก็จบชีวิตอยู่ในค่ายกักกันที่ชายแดน จากนั้นวงจรอุบาทว์ในเรื่องการค้ามนุษย์ก็วนเวียนเป็นลูปอยู่เช่นนั้น..."


ถึงแม้รัฐไทยจะปฏิเสธเรื่องค้ามนุษย์อย่างหนักแน่น
อย่างไรก็ดี ส่วนตัวผมเห็นว่า ประเด็นการค้ามนุษย์มีน้ำหนักกว่ามาก เนื่องจากพบว่า โรฮิงญาโดยส่วนใหญ่ระบุชัดเจนว่าไม่ต้องการมาไทย
มีรายงานว่าถูกผลักดันเข้ามาในไทย และ มีการกักขัง ข่มขู่ ฆาตกรรม เรียกค่าไถ่ เกิดขึ้นที่ด่านนอก ประเทศไทย จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ในนั้นร่วมผู้หญิงรวมอยู่ด้วย หรือการจับและยึดทรัยพ์ขบวนการค้ามนุษย์โดยรัฐไทย สภาพดังกล่วยืนยัน ภาพของการค้ามนุษย์ได้อย่างชัดเจนที่สุด

สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ ประเด็นโรฮิงญาในประเทศไทยนี้ ทำให้เกิดการกล่าวหากันไปมาระหว่างพุทธและมุสลิมไทย
โดยสังคมไทยส่วนใหญ่ โจมตีว่าการช่วยเหลือของมุสลิมไทยทำให้เกิดการหลั่งไหลเข้ามาของชาวโรฮิงญา
เมื่อพิจารณาในประเด็นนี้ จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีเอกสารที่เป็นทางการระบุว่า การลักลอบเข้าเมืองขอโรฮิงญา
เป็นการสนับสนุนโดยมุสลิมไทย หรือมีหลักฐานอะไรที่ชี้ว่าโรฮิงญาต้องการเข้ามาอยู่ในประเทศไทย  ดังคำกล่าวอ้างดังกล่าว
แม้แต่จากฝ่ายความมั่นคงของรัฐก็ยืนยันเพียงการลักลอบเข้าเมืองร่วมกันระหว่างบังคลาเทศและโรฮิงญาเพื่อแสวงหางานทำ
ถึงแม้จะไม่สอดคล้องกับทางสหรัฐก็ตาม   เมื่อพิจารณาตามความเป็ฯจริง การช่วยเหลือ ตั้งแต่ปี 2556-2558 ส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้าของมุสลิมต่อโรฮิงญาที่ลอยคอเท่านั้น เพราะจุดที่โรฮิงญาเข้าเมืองไม่ว่าจะในสถานะเหยื่อหรือลักลอบเข้าเมืองนั้นเป็ฯบริเวณที่มีมุสลิมอยู่อาศัยเกิน 80% อีกทั้งพบว่ามีมุสลิมไทยส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโรฮิงญานั้นมีส่วนพัวพันในดคีค้ามนุษย์ในฐานะผู้กักกัน-ควบคุมแรงงาน สุดท้ายการให้สัมภาษณ์ที่ยืนยันว่าไม่ต้องการมาไทยยิ่งทำให้ภาพมายาคติของการเข้าเมืองของโรฮิงญากับมุสลิมไทยเพื่อให้ชาวโรฮิงญาตั้งรกรากนั้นจึงไม่มีน้ำหนัก ถึงแม้จะเจอแนวความคิดนี้ในมุสลิมระดับปัจเจกชนหรือกลุ่มบุคคล แต่ไม่มีความเป็นไปได้เลยในทางปฏิบัติ
หรือชี้ชัดว่าเป็นต้นตอของปัญหา

ด้วยเอกสารทั้งหมด ประเด็นการเข้าเมืองของโรฮิงญา จึงเหลือเพียงการลักลอบเข้าเมืองเพื่อหางานทำ หรือ การค้ามนุษย์
และ เจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ตามที่สหรัฐอ้างเท่านั้น

อย่างไรก็ดี การสร้างกระแสความเกลียดชังระหว่างพุทธและมุสลิมก็ถูกสร้างอย่างต่อเนื่องผ่านการใชชาติพันธ์โรฮิงญาเป็นเหยื่อ
เช่นข่าวล่าสุด จากชาวโรฮิงญาที่ถึงอินโดนีเซีย พูดถึง การช่วยเหลือและผลักดันออกของทหารไทยตามปกติ กลับกัน
สื่อไทยต่างนำเสนอในเชิงสร้างความเกลียดชังทั้งสิ้น เช่นพาดหัวข่าวว่า "โรฮิงญาเล่าว่าทหารไทยขู่" หรือตัดลดส่วนที่โรฮิงญาเล่าออกว่าทหารไทยช่วย
เหลือเพียงทหารไทยข่มขุ่ และตีไข่ใส่ความให้เกิดความเกลียดชังอย่างรุนแรงแม้แต่เพจ อย่างดราม่าแอดดิกก็ยังร่วมเล่นในประเด็นนี้


เนื้อข่าวจริงๆ
Sirajul Islam, a Rohingya Muslim who was among several hundred starving and dehydrated migrants brought to shore in Aceh province today, says their ship was the same one sent away May 14 after being found dead in the water off Koh Lipe. The Thai navy repaired the engine and provided food and drinks.
But Mr Islam said that the navy, after giving them provisions, pushed the boat away "within 10 minutes, otherwise they would shoot our ship."The Thai navy said earlier it has been providing help to the migrants, but that most of them did not want to land in Thailand and insisted on going to Malaysia.


เนื้อข่าวที่แปลเป็นภาษาไทยของสำนักข่าวในประเทศ นำมาพาดหัวข่าว
-Thai navy threatened migrants with gunfire, survivor says
-โรฮีนจาตลบหลังทหารไทย ฟ้องสื่อนอกเอาปืนจ่อไล่ตะเพิด
-หรือ อีกสำนักข่าวหนึ่ง โรฮิงญาถึงอินโดให้สัมภาษณ์ด่าไทย "บอกว่าทหารไทยเอาปืนขู่ไล่ ไม่ไปกูยิงแน่"


นี่คือตัวอย่างต้นเหตุการสร้างกระแสความเกลียดชังหนึ่งที่สังคมไทยควรเรียนรู้และตระหนัก

ในภาพรวมของความเป็นจริงโรฮิงญาในไทยช่วงปี 2556-2558 นั้นมาจากไหนเราอาจยังไม่สามารถระบุได้ทั้งหมด
แต่เอกสารให้น้ำหนัก ว่าเป็นการค้ามนุษย์ ถึงแม้จะทางฝ่ายความมั่นคงจะพยายามยืนยันว่าเป็นสมัครใจลักลอบเข้าเมือง
แต่ด้วยความสัตย์จริง คำอ้างดังกล่าวยังขาดแรงสนับสนุนอีกมาก เมื่อเทียบว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องค้ามนุษย์


โรฮิงญาไม่ได้อยากมาไทย -
คนไทยไม่ต้องการโรฮิงญา -
แล้วใครต้องการโรฮฺงญาในไทย -? ถ้าไม่ใช่ขบวนการค้ามนุษย์
และนั่นเอาจเป็ฯต้นตอทั้งหมดของโรฮิงญาในพื้นทีป่ระเทศไทยช่วงปี 2556-2558


ผลสรุปของเรื่องนี้ การดำเนินการจับกุมการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่
อาจเป็นทางออกเดียวที่จะแก้ปัญหาการไหลเข้ามาของโรฮิงญา
อย่างน้อย ถึงแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่เราก็ได้กำจัดขบวนการเหล่านี้ออกไปจากประเทศ
มันเป็ฯเรื่องดีที่เราคนไทยทุกคนควรให้ความสำคัญและสนับสนุน
บางครั้งการช่วยชีวิตโรฮิงญาจากขบวนการค้ามนุษย์ในไทย อาจจะหมายถึงความมั่นคงที่แท้จริงของชาติก็ได้

ไม่มีชาติไหนมั่นคงอยู่ได้ ด้วยการ มีขบวนการค้ามนุษย์ มีอิทธิพลเหนือเส้นพรมแดน
ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องเอาจริงกับเรื่องนี้เสียที


อ้างอิง
[1]  http://asiancorrespondent.com/133030/rohingya-migrant-we-went-on-the-boat-to-look-for-a-muslim-country
[2]  http://thai.bangkok.usembassy.gov/tipthaireport14-t.html
[3]   http://thai.bangkok.usembassy.gov/tipthaireport13-t.html
[4]   http://www.dhakatribune.com/crime/2014/mar/27/human-trafficking-alarming-cox%E2%80%99s-bazar-sea-route
[5]   http://hilight.kapook.com/view/120699
[6]   http://goo.gl/FUKtAu
[7]   http://www.bangkokpost.com/news/security/567515/thai-navy-threatened-migrants-with-gunfire-survivor-says
[8]   http://www.thairath.co.th/content/496753
[9]  http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000052687
[10]  http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNVEUzTURVMU9BPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE5TMHdOUzB4Tnc9PQ==
[11]http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1432192108
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่