หลังการถือกำเนิดของธรรมยุตินิกาย โครงสร้างของคณะสงฆ์ไทยที่พึ่งจะเริ่มตั้งหลักได้หลังการสถาปนากรุงเทพฯ ก็เริ่มสั่นคลอน การถือกำเนิดของธรรมยุตินิกายก็ด้วยจากเหตุผลหลักของผู้ที่ตั้งว่า พระสงฆ์หย่อนยานพระวินัย การสวดมนต์ไม่ถูกต้องตามอักขระโบราณ ความจริงแล้ว....การแตกแยกของคณะสงฆ์ก็เคยมีมาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัยที่พ่อขุนรามคำแหงทรงนิมนต์พระภิกษุจากเมืองนครศรีธรรมราชเข้ามาประดิษฐานในแคว้นสุโขทัย จึงทำให้เกิดสงฆ์ขึ้นสองกลุ่มคือกลุ่มเดิม กับกลุ่มใหม่ ที่เรียก”อรัญวาสี” กับ “คามวาสี” หรือในรัชสมัยของสมเด็จพระอินทราชา(อยุธยา)ก็ทรงนิมนต์พระจากลังกาเข้ามาฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และจัดตั้งเป็นคณะสงฆ์นิกายใหม่เรียกว่า “คณะป่าแก้ว” อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ทั้งสองนั้น ไม่ได้มีการแตกแยก ร่วมกันลงพระอุโบสถ ไม่มีการตำหนิวัตรและพระวินัยของกันและกัน และไม่ได้แตกแยกเป็นนิกายอย่างชัดเจนเหมือนกรณี ธรรมยุติ กับ มหานิกายในปัจจุบันนี้
การกำเนิดธรรมยุตินิกายนอกจากจะทำให้พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อย ด้วยว่า ทางราชสำนักให้ความสำคัญและสนับสนุนคณะสงฆ์ธรรมยุติจนเห็นได้ชัด และด้วยคณะสงฆ์มหานิกายเป็นนิกายอันดั้งเดิมและถูกฟื้นฟูหลังจากการเสียกรุงครั้งที่สองและเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พระองค์ทรงทำนุบำรุงฟื้นฟูด้านศาสนาจนกลายเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในภาคพื้นอาคเนย์ หลังจากคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกายถือกำเนิดได้ไม่นาน พระราชบัญญัติสงฆ์ก็ถือกำเนิดตามเรียกว่า พรบ.สงฆ์ ร.ศ ๑๒๑ ตำแหน่งพระราชาคณะชั้นสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งสังฆราชก็ตกไปอยู่ที่ฝ่ายคณะสงฆ์ธรรมยุติแทบทั้งสิ้น พระอารามหลวงหลายแห่งก็ขอเปลี่ยนสถานะจากวัดมหานิกายเป็นวัดฝ่ายธรรมยุติ แต่ก็มีอีกหลายวัดที่ยังคงสถานะเดิม เช่นวัดโพธิ์ วัดมหาธาตุ วัดสุทัศน์ วัดเบญฯ วัตรต่างๆ ของพระได้ถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อที่ให้เห็นความแตกต่างของสองนิกาย เช่นการห่มผ้าจีวร(หรือแม้แต่สีของผ้าจีวร) สำเนียงการสวดมนต์ รวมไปถึงการลงพระอุโบสถ
มีการเพียรพยายามที่จะรวมพระสงฆ์ทั้งหมดให้เป็นนิกายเกียวกันเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยว่าพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติไม่ต้องการ หรือถ้าจะรวมกันได้สงฆ์ฝ่ายมหานิกายก็ต้องอยู่ในนามธรรมยุติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕ ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้มีการรวมพระสงฆ์สองนิกาย แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส(สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)ด้วยมีพระราชหัตเลขาถึง ร.๕ว่า “.....การจะคิดคุมธรรมยุตินิกายกับหานิกายให้กลมเกลี่ยวได้นั้นได้เพียงเคอตเตอสิ(curtesy ผมแปลว่าโดยมารยาท:วัชรานนท์) จะให้ถูกอัธยาศัยกันนั้นเห็นไม่ได้....................และตนเอง(สมเด็นมหาสมณเจ้าฯ)เป็นธรรมยุติกา ไม่สามารถจะตั้งเป็นศูนย์กลางสรรพการที่เป็นหน้าที่หรือเกี่ยวกับมหานิกาย อาตมาภาพจะรับฉลองพระเดชพระคุรได้แต่เพียงใต้เปรซิเดนซ์(การปกครอง)ของธรรยุติกา...)
ลายราชหัตเลขาสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ถึง ร.๕ ๑๕ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๘
ในวันถัดมา ในระหว่างที่การสร้างวัดเบญจมบิตร พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีราชหัตถเลขาถึงเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัตติวงศ์ในเชิงระบายพระทัยต่อกรณีพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติและมหานิกายความว่า “....เรื่องสร้างวัดฉันไปเกิดมีทิษฐิเสียแล้ว แรกที่คิดจะสร้างได้เล่าให้กรมหมื่นวชิรญาณ(พระมหาสมณเจ้าฯ)ฟัง ดูท่านเข้ามาพลอยกุลีกุจอด้วย ท่านออกสบัดๆ ไปเหมือนกับจะระแวงว่าเป็นพลอยช่วยเกื้อกูลความรุ่งเรืองของมหานิกาย.....”
พระราชหัตเลขาของร.๕ถึงเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานิวัติวงศ์ ๑๖ พฤศจิกายน ร.ศ๑๑๘
ปัญหาระหว่างธรรมยุติกับมหานิกายยังขยายวงกว้างข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศลาว เมื่อพระสงฆ์ในลาวได้รับเอาธรรมยุติจากทางภาคอีสาน การเมืองสงฆ์ระหว่างธรรมยุติและมหานิกายในประเทศลาวเองก็ละเอียดอ่อนและจู้จี้จุกจิกเหมือนไทย สุดท้ายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบสังคมนิยม รัฐบาลได้ใช้ไม้แข็งรวมคณะสงฆ์สองนิกายเข้าด้วยกัน หั่นตำแหน่งพระราชาคณะสมณะศักดิ์ต่างๆ ของพระสงฆ์ ลงให้เหลือไม่กี่ตำแหน่ง หลักๆ ก็คือ ๑.พระยอดแก้ว(เทียงสังฆราช) ๒.พระลูกแก้ว ๓. พระหลักคำ ๔.พระครู ๕.พระชา ๖.สมเด็จ
ในช่วงระยะ๒๕ ปีที่ผ่านมา ไม่มีการแต่งตำแหน่งพระสังฆราชสองครั้ง และเป็นที่น่าสังเกตุว่าทั้งสองครั้งนั้น พระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุดเป็นฝ่ายมหานิกายทั้งสองกรณี
๑. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ)วัดมหาธาตุ ถูกแต่งตั้งให้เป็นรักษาการแทนสังฆราช
๒. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) วัดปากน้ำ ถูกแต่งตั้งให้รักษาการฯ
ย้อนกลับไปร้อยกว่าปีก็เช่นกัน ตำแหน่งสังฆราชถูกปล่อยให้ว่างลงหลายปี ทั้งๆ ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์( โต พรมรังสี) ก็เป็นพระเถระที่อาวุโสควรต่อตำแหน่ง
หรือเพียงเพราะว่าท่านเป็นพระฝ่ายมหานิกาย??
.....การเมืองในดงขมิ้น ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ หรือไม่??........
การกำเนิดธรรมยุตินิกายนอกจากจะทำให้พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อย ด้วยว่า ทางราชสำนักให้ความสำคัญและสนับสนุนคณะสงฆ์ธรรมยุติจนเห็นได้ชัด และด้วยคณะสงฆ์มหานิกายเป็นนิกายอันดั้งเดิมและถูกฟื้นฟูหลังจากการเสียกรุงครั้งที่สองและเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พระองค์ทรงทำนุบำรุงฟื้นฟูด้านศาสนาจนกลายเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในภาคพื้นอาคเนย์ หลังจากคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกายถือกำเนิดได้ไม่นาน พระราชบัญญัติสงฆ์ก็ถือกำเนิดตามเรียกว่า พรบ.สงฆ์ ร.ศ ๑๒๑ ตำแหน่งพระราชาคณะชั้นสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งสังฆราชก็ตกไปอยู่ที่ฝ่ายคณะสงฆ์ธรรมยุติแทบทั้งสิ้น พระอารามหลวงหลายแห่งก็ขอเปลี่ยนสถานะจากวัดมหานิกายเป็นวัดฝ่ายธรรมยุติ แต่ก็มีอีกหลายวัดที่ยังคงสถานะเดิม เช่นวัดโพธิ์ วัดมหาธาตุ วัดสุทัศน์ วัดเบญฯ วัตรต่างๆ ของพระได้ถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อที่ให้เห็นความแตกต่างของสองนิกาย เช่นการห่มผ้าจีวร(หรือแม้แต่สีของผ้าจีวร) สำเนียงการสวดมนต์ รวมไปถึงการลงพระอุโบสถ
มีการเพียรพยายามที่จะรวมพระสงฆ์ทั้งหมดให้เป็นนิกายเกียวกันเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยว่าพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติไม่ต้องการ หรือถ้าจะรวมกันได้สงฆ์ฝ่ายมหานิกายก็ต้องอยู่ในนามธรรมยุติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕ ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้มีการรวมพระสงฆ์สองนิกาย แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส(สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)ด้วยมีพระราชหัตเลขาถึง ร.๕ว่า “.....การจะคิดคุมธรรมยุตินิกายกับหานิกายให้กลมเกลี่ยวได้นั้นได้เพียงเคอตเตอสิ(curtesy ผมแปลว่าโดยมารยาท:วัชรานนท์) จะให้ถูกอัธยาศัยกันนั้นเห็นไม่ได้....................และตนเอง(สมเด็นมหาสมณเจ้าฯ)เป็นธรรมยุติกา ไม่สามารถจะตั้งเป็นศูนย์กลางสรรพการที่เป็นหน้าที่หรือเกี่ยวกับมหานิกาย อาตมาภาพจะรับฉลองพระเดชพระคุรได้แต่เพียงใต้เปรซิเดนซ์(การปกครอง)ของธรรยุติกา...) ลายราชหัตเลขาสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ถึง ร.๕ ๑๕ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๘
ในวันถัดมา ในระหว่างที่การสร้างวัดเบญจมบิตร พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีราชหัตถเลขาถึงเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัตติวงศ์ในเชิงระบายพระทัยต่อกรณีพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติและมหานิกายความว่า “....เรื่องสร้างวัดฉันไปเกิดมีทิษฐิเสียแล้ว แรกที่คิดจะสร้างได้เล่าให้กรมหมื่นวชิรญาณ(พระมหาสมณเจ้าฯ)ฟัง ดูท่านเข้ามาพลอยกุลีกุจอด้วย ท่านออกสบัดๆ ไปเหมือนกับจะระแวงว่าเป็นพลอยช่วยเกื้อกูลความรุ่งเรืองของมหานิกาย.....” พระราชหัตเลขาของร.๕ถึงเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานิวัติวงศ์ ๑๖ พฤศจิกายน ร.ศ๑๑๘
ปัญหาระหว่างธรรมยุติกับมหานิกายยังขยายวงกว้างข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศลาว เมื่อพระสงฆ์ในลาวได้รับเอาธรรมยุติจากทางภาคอีสาน การเมืองสงฆ์ระหว่างธรรมยุติและมหานิกายในประเทศลาวเองก็ละเอียดอ่อนและจู้จี้จุกจิกเหมือนไทย สุดท้ายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบสังคมนิยม รัฐบาลได้ใช้ไม้แข็งรวมคณะสงฆ์สองนิกายเข้าด้วยกัน หั่นตำแหน่งพระราชาคณะสมณะศักดิ์ต่างๆ ของพระสงฆ์ ลงให้เหลือไม่กี่ตำแหน่ง หลักๆ ก็คือ ๑.พระยอดแก้ว(เทียงสังฆราช) ๒.พระลูกแก้ว ๓. พระหลักคำ ๔.พระครู ๕.พระชา ๖.สมเด็จ
ในช่วงระยะ๒๕ ปีที่ผ่านมา ไม่มีการแต่งตำแหน่งพระสังฆราชสองครั้ง และเป็นที่น่าสังเกตุว่าทั้งสองครั้งนั้น พระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุดเป็นฝ่ายมหานิกายทั้งสองกรณี
๑. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ)วัดมหาธาตุ ถูกแต่งตั้งให้เป็นรักษาการแทนสังฆราช
๒. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง) วัดปากน้ำ ถูกแต่งตั้งให้รักษาการฯ
ย้อนกลับไปร้อยกว่าปีก็เช่นกัน ตำแหน่งสังฆราชถูกปล่อยให้ว่างลงหลายปี ทั้งๆ ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์( โต พรมรังสี) ก็เป็นพระเถระที่อาวุโสควรต่อตำแหน่ง หรือเพียงเพราะว่าท่านเป็นพระฝ่ายมหานิกาย??