เล่าสู่กันฟัง สถานปฏิบัติธรรม เกาะกลางน้ำ บุญญพลัง

วันนี้ผมมีสถานที่แห่งหนึ่งอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกัน สถานที่แห่งนี้ไม่เสียค่าที่พัก ค่าอาหาร หรือค่าเดินทางเข้าไป ที่นี้เป็นเกาะที่ไม่ใช่มีน้ำทะเลแต่เป็นเขื่อน สถานที่นี้เป็นเกาะกลางน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นสถานที่เที่ยวขึ้นชื่ออีกที่นึงในจังหวัดที่เหมาะจะพักแรม ตกปลาและเล่นน้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สถานที่ที่ผมจะพูดถึงมันมีอะไรที่พิเศษยิ่งกว่านั้น เพราะการที่จะมาพักผ่อนที่นี่ถ้ามาเที่ยวด้วยแพลากก็ดูจะน่าเบื่อไปหน่อย เพราะทริปที่ผมกำลังจะมาเล่าเป็นทริปของการทำบุญ
    
    อย่าพึ่งเบื่อผมเข้าใจว่าพอพูดถึงคำว่าทำบุญ เราจะนึกถึงการไปทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยหรือบลาๆ จะยังไงก็แล้วแต่การทำบุญที่นี่ไม่ใช่ขี้ๆ แบบนั้นน่ะซีครับ ที่อื่นๆ เค้าอาจจะทำบุญ ถวายสังฆทานหรือจะอะไรก็ช่าง แต่ที่นี่เราทำบุญด้วยการสร้างองค์พระ องค์พระที่มีขนาดหน้าตัก 30 เมตรและสูงเสียดฟ้าถึง 44 เมตรเพื่อถวายให้กับแผ่นดินและพุทธศาสนิกชนรุ่นลูกรุ่นหลานสืบไป ฟังดูดีใช่ไหมในเมื่อเราทำอะไรสักอย่างให้กับแผ่นดินมันย่อมต้องเป็นสิ่งที่คงอยู่สืบไปนานเท่านานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่สถานที่แห่งนี้มีสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า แรงงานที่นี่ไม่ได้มาจากการจ้างด้วยเงินทอง แต่พวกเค้ามาด้วยศรัทธาที่มีต่อคำสอนของ
พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง ลูกศิษย์ที่นี่เสียส่วนใหญ่มาจาคำเชิญชวนของเหล่าเพื่อนๆ สายธรรมหรือต้องการมาฟังเทศน์ของพระอาจารย์ธรรมกะ เพราะพระอาจารย์ท่านสอนธรรมมะ ด้วยหลักของเหตุและผลสอนให้เราเข้าใจว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาไม่ใช่เรื่องของการงมงาย การที่เรามาสร้างองค์พระแห่งนี้ท่านก็สอนให้เราเข้าใจแก่นและเปลือกของพุทธศาสนา การสร้างองค์พระเป็นการสร้างเปลือกเพื่อรักษาเนื้อเยื่อของศาสนาเพื่อให้ดำรงอยู่และสืบไป

    ส่วนในเรื่องเนื้อหาของคำสอนหากใครสนใจเดี๋ยวผมจะเขียนทิ้งท้ายไว้ให้
อ้อ! และอีกอย่าง ท่านจะเทศน์ผ่านไลน์ให้เหล่าลูกศิษย์ฟังกันอย่างสดๆ แล้วเหล่าลูกศิษย์จะนำบทธรรมเทศนามาเรียบเรียงเพื่อเอามาเผยแพร่ทางเฟสบุ๊ค ถ้าใครชอบอ่านธรรมลองมาอ่านกันได้นะครับธรรมของท่านค่อนข้างกระแทกใจกันเลยทีเดียว และถ้าคิดว่าบทธรรมของท่านจะเป็นแบบเน้นภาษาบาลี อันนี้ไม่ต้องห่วงเช่นกันครับ เพราะการเทศน์ของท่านท่านใช้ภาษาชาวบ้าน ที่ไม่จำเป็นจะต้องเรียนบาลีมาจะไม่เข้าใจ ผมสอบตกพุทธศาสนาผมยังอ่านและยังเข้าใจได้เช่นกัน 5555+



พระอาจารย์สมฤทธิ์ รัตนญาโณ (ธรรมกะ  บุญญพลัง)

    แหมพาออกทะเลไปหน่อย ตั้งใจจะเขียนเชิญชวนเที่ยวซะหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นวัตถุประสงค์ของผู้คนที่มาร่วมกันสร้างองค์พระที่นี่ก็มาจากคำสอนของพระอาจารย์ธรรมกะ ส่วนตัวผมเองมาได้ยังไงนั้นบอกได้เลยว่าผมไม่มีหรอกครับไอเพื่อนทางธรรม หรือเพจที่จะเผยแพร่พุทธศาสนา การมาเยือนครั้งแรกของผมผมมาในรูปแบบคำสั่งของงานนอก หรืองานบำเพ็ญประโยชน์ให้สาธารณะหรือเพื่อแผ่นดิน ใช่แล้วครับผมเป็นนักโทษ (ถุ้ย!) เป็นพลทหาร โดยภารกิจแรกสุดคือการรื้อเศียรพระ (ฟังดูเหมือนพวกเราเป็นมารศาสนาเลยเนอะ-*-) แต่เรื่องมันมีอยู่ว่าพระอาจารย์ท่านถักเศียรด้วยเหล็กขึ้นมาจนสำเร็จ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นเศียรที่ถักก็ถูกลมพายุพัดจนเหล็กงอโค้งคว่ำลงมา สร้างความปวดใจให้เหล่าลูกศิษย์เป็นอย่างมาก แต่ทำยังไงได้นะในเมื่อล้มลงมาแล้วก็ต้องรื้อออก พอดีลูกศิษย์ของพระอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นนายทหารของกรมที่ผมประจำการอยู่ ท่านเลยขอกำลังพลให้เกณฑ์พลทหารหน้าตาดี มาช่วยกันรื้อเหล็กออกมา

    การเดินทางพวกเราก็จำได้ไม่ค่อยมากนัก เพราะวันศุกร์พวกเราฮาร์ดคอร์กันไปหน่อยวันเสาร์รถตู้เลยค่อนข้างเงียบ (ยิ้มตายกันยกคัน - -””) แต่พอมารู้สึกตัวอีกทีก็มาถึงราดหญ้าและมุ่งตรงไปทางเขื่อนศรีนครินทร์ขึ้นเขาหลายลูกอยู่และมาเจอทางสามแยกที่มีป้ายเขียนทางไปน้ำตกเอราวัณ แต่พี่คนขับเลี้ยวไปอีก (แอบเสียใจอยู่ลึกๆ เหมือนกัน) แต่รถก็ยังคงแล่นต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็มาถึงแพขนานยนต์เป็นแพข้ามฝากบรรทุกรถข้ามไปยังอีกฝั่งได้ พวกเราก็ดี๊ด้าเลยกันเลยงานนอกที่ไหนจะเหมือนได้มาเที่ยวนี่หายากนะ!


(แพขนานยนต์)


    จัดการถ่ายรูปเซลฟี่หมู่และนอนรอจนกว่าแพจะถึงอีกฝั่ง ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีแพมาถึงอีกฝั่งรถตู้วิ่งไปอีกไม่ถึงสิบโลก็พามาลงท่าที่มีแต่ทราย (ภายหลังราบมาว่าเค้าเรียกว่าท่าทราย) ระหว่างที่กำลังรอพวกเราก็เจอเหล่าลูกศิษย์พระอาจารย์ที่ให้การต้อนรับเราอย่างดี (ดีจริงๆ นะ) กับข้าว ขนม ผลไม้ น้ำโดนพวกผมเริ่มจัดการกันก่อนแต่พี่ๆ เค้าไม่ว่าเลยแถมยังดูแลเราดีมากทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยเจอพวกแกมาก่อน (จะบอกว่าทหารนี่เป็นขวัญใจมหาชนนี่ท่าจะจริงแห่ะ อิอิ) แต่ไม่นานเกินรอก็มีเรือมารับพวกเราโดยมีพระอาจารย์ขับมารับด้วยตัวท่านเอง

    การได้นั่งเรือชมวิวของเขื่อนศรีนครินทร์เป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆ วิวที่นี่สวยอย่างน่าเหลือเชื่อ พอได้เหลียวกลับไปมองที่ตอนนี้ท่าทรายกลายเป็นแค่ท่าเล็กๆ ที่มีภูเขาเป็นฉากหลังมันเหมือนกับว่า เราได้ทิ้งปัญหาต่างๆ เอาไว้ตรงท่าทรายนั้นแล้วมาโลกอีกแห่งหนึ่งที่เราเองก็ยังไม่รู้ว่าโลกที่เราจะไปเจอมันมีลักษณะยังไง

    


(เศียรพระที่ล้มลงมาเพราะลมพายุ)

    


(Welcome to my new world!!!)



ผมเริ่มมองเห็นเกาะกลางน้ำที่ที่พวกเราจะต้องลงมือปฏิบัติการกันแล้ว มันเป็นเกาะที่ตั้งเด่นเป็นสง่า ในวันนั้นที่น่าจะร้อนได้สักประมาณ 35 องศาเซลเซียสน่าจะได้ ทางขึ้นเกาะที่เป็นทางลูกรังและแสนลาดชันทำให้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากในการขนย้ายสัมภาระที่เหล่าลูกศิษย์ตั้งใจนำมาถวายให้พระอาจารย์ พวกเราเสนอที่จะเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มใจ แต่ถึงของจะหนักมากถึงหนักโคตรแต่เราก็ไม่ปริปากบ่น เพราะผมเองก็เดาไม่ออกว่าก่อนหน้าที่พวกเรามาพวกเค้าเอาขึ้นกันมากันได้ยังไง แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องประทับใจในการมาที่นิอีกสิ่งนึงก็ปรากฏขึ้น เหล่าพนักงานต้อนรับเข้ามาทักทายเราอย่างเป็นกันเองมาก มีคู่แม่ลูกที่ชื่อน้านวลกับไอ้มอมเข้ามาทักทายพวกเราเหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน และนายแป๊ดก็เดินมากางปีกร้องเสียงหลงอย่างดีใจ

    เพื่อนๆ อาจจะเริ่มสงสัยทำไมนายแป๊ดมีปีก เพราะนายแป๊ดเค้าไม่ใช่คนครับ เค้าเป็นห่านอินเดีย ที่ลูกศิษย์ซื้อมาถวายให้พระอาจารย์ ส่วนน้านวลกับแม่มอมก็เป็นสุนัขวัดที่ควบตำแหน่งสุนัขเกาะและเจ้าหน้าที่ต้อนรับด้วยเช่นกัน เจ้ามอมกับเจ้านวลวิ่งหยอกตามภาษาแม่ลูกกลับขึ้นเกาะอย่างเร็วไวในขณะที่พวกเราต้องแบกสัมภาระขึ้นบนทางที่แสนจะลาดชัน แต่พอขึ้นถึงเกือบปลายพวกผมก็ต้องถึงกับหยุดชะงักและยืนมองเจ้าสัตว์เลี้ยงของเกาะอีกสามตัว ซึ่งคราวนี้เป็นนกกระจอกเทศ!?

    “มีนกกระจอกเทศด้วยแหะ” โอเคห่านกับหมาผมพอเข้าใจ แต่นกกระจอกเทศนี่ยังไงกัน แล้วมันเลี้ยงได้เหรอ เจ้านกกระจอกเทศทั้งสามมันกำลังจ้องมาทางผมก่อนจะเริ่มร้องเสียงแหบใส่ (ถ้าให้เดาคงกำลังขู่กูซีนะ) โลกอีกโลก ณ ที่แห่งสร้างความประหลาดใจได้ไม่น้อย แค่เพียงเท้าได้ลงไปแตะกับพื้นเกาะ ผมแบกสัมภาระที่ผมจะต้องข้างแรมและของเหล่าพี่ๆ ที่เป็นลูกศิษย์จนหมดก็ชื่นชมโลกใหม่ที่ผมได้มาอยู่ มีสถานที่อีกที่นึงที่ผมสนใจไม่น้อยพี่ๆ ที่มากันเป็นประจำเรียกที่นี่ว่า “ศาลาร้อยก้อน”



(นกกระจอกเทศ)


เป็นศาลาขนาดใหญ่ที่มีพระพุทธรูปตั้งวางไว้ในด้านในสุด โดยที่มีหินขนาดใหญ่เรียงยาวลงมาอย่างเป็นระเบียบ ถ้าจะถามว่าหินใหญ่มากแต่ไหน ก็คงประมาณสักครึ่งตัวที่เรานอนน่าจะได้ ตามพื้นร่องที่มีหินขนาดใหญ่วางไว้อยู่มีก่อนหินเท่ากำปั้นโรยเป็นทางไปทั่วโดยที่ได้แบ่งสีออกอย่างชัดเจนคือสีขาวและดำ
พี่บอกให้พวกเรากราบไหว้พระที่นี่เพื่อเป็นการทำความเคารพต่อสถานที่ หลังจากที่ฝากตัวและสัมภาระไว้ที่ศาลาร้อยก้อนแล้ว พวกเราก็เริ่มงานในทันที




(ทางเข้าหน้าศาลาร้อยก้อน)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่