ว่าจะไม่พิมพ์แระ แต่เอาสักหน่อย ถือเป็นความเห็นส่วนตัวผมจากความรู้อันน้อยนิดก็แล้วกัน
ในสมัยก่อนแต่ละประเทศมีประชากรยังไม่มากนัก จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่เรารบกับพม่า พม่าจะกวาดต้อนผู้คนไปอยู่ด้วย เพื่อเอาไปใช้แรงงาน ไทยเองก็เช่นเดียวกัน
สิ่งหนึ่งที่คนในสมัยก่อนคิดคือ การจะเป็นประเทศมหาอำนาจได้ ต้องมีกำลังคนเป็นอันดับแรก
เราอย่าลืมว่า สมัยก่อนเราสู้กันด้วยกำลังคน สู้กันด้วยการประจัญหน้ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังคนจึงเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพมากที่สุด
สมัยจอมพล ป. เองก็เคยมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยแต่งงานกันเพื่อเพิ่มจำนวนประชากร เพราะในตอนนั้นเรามีประชากรอยู่เพียงประมาณ 14 ล้านคนเท่านั้นเอง จึงต้องสร้างจำนวนประชากรให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อความเป็นมหาอำนาจ
การที่คนจีนเดินทางมายังประเทศไทยนั้น มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยาแล้ว เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยพ่อขุนรามคำแหง โดย "ฮ่องเต้หงวนสีโจ๊ว" แห่งราชวงศ์หงวนส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี
ในระยะแรกๆ ชาวจีนส่วนใหญ่อพยพมาจาก "มณฑลฟูเกียน" หรือ "ฮกเกี้ยน" ส่วนในสมัยพระเจ้าตากสินจะมาจาก "แต้จิ๋ว"
คนจีนเมื่อเข้ามาอยู่เมืองไทยก็เริ่มทำมาหากินจนหลายคนได้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตในเวลาต่อมา เนื่องจากคนจีนเป็นผู้ที่มีนิสัยขยันขันแข็ง รักความก้าวหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับขนบธรรมเนียมประเพณีก็ไม่ได้ต่างไปจากคนไทยนัก จึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
และการอพยพมายังเมืองไทยของคนจีนก็มาทีละจำนวนไม่มาก ในขณะที่ไทยเองก็ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมากอยู่ด้วย จะสังเกตเห็นได้ว่ามีการเกณฑ์คนจีนมาสร้างถนนหนทางในครั้งอดีต
ทุกวันนี้ก็อยู่ร่วมกันจนกลมกลืนไปหมดแล้ว ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันมากนัก
ส่วนชาวโรฮีนจา เป็นการอพยพเพื่อย้ายถิ่นฐาน ไม่ได้เกิดจากสภาวะสงครามแต่อย่างใด เข้ามาในขณะที่บ้านเมืองเราก็กำลังประสบปัญหาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง จึงทำให้เราไม่พร้อมในการที่จะรับคนเหล่านี้เอาไว้ ในขณะที่คนไทยเองอีกเป็นจำนวนมากก็ยังอยู่อย่างอดอยาก
รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีของเราก็เขาก็ต่างกันมาก
การจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้พวกเขาวันละ 100 บาท ต่อวัน ต่อคน ตกเดือนละ 3,000 บาท
หากมีสัก 3000 คน ก็ตกเดือนละ 9,000,000 บาทแล้ว
ในขณะที่เบี้ยคนชรา คนไทยได้รับแค่เดือนละ 500 บาทเอง
เราคงได้แค่ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ แล้วส่งเขาไปยังประเทศที่สาม ตามที่เขาต้องการ
เพราะบ้านเราเองทุกวันนี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว
✿ ทำไม "คนจีน" ในสมัยก่อนถึงเข้ามาเมืองไทยได้ แต่ "ชาวโรฮีนจา" เรากลับไม่ต้องการ ✿
ในสมัยก่อนแต่ละประเทศมีประชากรยังไม่มากนัก จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่เรารบกับพม่า พม่าจะกวาดต้อนผู้คนไปอยู่ด้วย เพื่อเอาไปใช้แรงงาน ไทยเองก็เช่นเดียวกัน
สิ่งหนึ่งที่คนในสมัยก่อนคิดคือ การจะเป็นประเทศมหาอำนาจได้ ต้องมีกำลังคนเป็นอันดับแรก
เราอย่าลืมว่า สมัยก่อนเราสู้กันด้วยกำลังคน สู้กันด้วยการประจัญหน้ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังคนจึงเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพมากที่สุด
สมัยจอมพล ป. เองก็เคยมีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยแต่งงานกันเพื่อเพิ่มจำนวนประชากร เพราะในตอนนั้นเรามีประชากรอยู่เพียงประมาณ 14 ล้านคนเท่านั้นเอง จึงต้องสร้างจำนวนประชากรให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อความเป็นมหาอำนาจ
การที่คนจีนเดินทางมายังประเทศไทยนั้น มีมาตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยาแล้ว เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยพ่อขุนรามคำแหง โดย "ฮ่องเต้หงวนสีโจ๊ว" แห่งราชวงศ์หงวนส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี
ในระยะแรกๆ ชาวจีนส่วนใหญ่อพยพมาจาก "มณฑลฟูเกียน" หรือ "ฮกเกี้ยน" ส่วนในสมัยพระเจ้าตากสินจะมาจาก "แต้จิ๋ว"
คนจีนเมื่อเข้ามาอยู่เมืองไทยก็เริ่มทำมาหากินจนหลายคนได้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตในเวลาต่อมา เนื่องจากคนจีนเป็นผู้ที่มีนิสัยขยันขันแข็ง รักความก้าวหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับขนบธรรมเนียมประเพณีก็ไม่ได้ต่างไปจากคนไทยนัก จึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
และการอพยพมายังเมืองไทยของคนจีนก็มาทีละจำนวนไม่มาก ในขณะที่ไทยเองก็ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมากอยู่ด้วย จะสังเกตเห็นได้ว่ามีการเกณฑ์คนจีนมาสร้างถนนหนทางในครั้งอดีต
ทุกวันนี้ก็อยู่ร่วมกันจนกลมกลืนไปหมดแล้ว ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกันมากนัก
ส่วนชาวโรฮีนจา เป็นการอพยพเพื่อย้ายถิ่นฐาน ไม่ได้เกิดจากสภาวะสงครามแต่อย่างใด เข้ามาในขณะที่บ้านเมืองเราก็กำลังประสบปัญหาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง จึงทำให้เราไม่พร้อมในการที่จะรับคนเหล่านี้เอาไว้ ในขณะที่คนไทยเองอีกเป็นจำนวนมากก็ยังอยู่อย่างอดอยาก
รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีของเราก็เขาก็ต่างกันมาก
การจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้พวกเขาวันละ 100 บาท ต่อวัน ต่อคน ตกเดือนละ 3,000 บาท
หากมีสัก 3000 คน ก็ตกเดือนละ 9,000,000 บาทแล้ว
ในขณะที่เบี้ยคนชรา คนไทยได้รับแค่เดือนละ 500 บาทเอง
เราคงได้แค่ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ แล้วส่งเขาไปยังประเทศที่สาม ตามที่เขาต้องการ
เพราะบ้านเราเองทุกวันนี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว