เป็นรีวิวแบบเบาๆนะครับ
บางครั้งระหว่างการเที่ยวก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ระหว่างที่ผมและเพื่อนร่วมทริปอีกสองคนกำลังนั่งชินกังเซ็นจากโอซาก้าเข้าโตเกียว เพื่อนผมคนหนึ่งลุกเข้าลุกออกห้องน้ำอยู่บ่อยครั้งแต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรเนื่องจากขณะนั้นผมกำลังเมาชินกังเซ็นอยู่และผมคิดว่าเพื่อนผมอาจจะดื่มน้ำเข้าไปเยอะเพราะเขาพกของมากินบนรถไฟด้วยจึงต้องเข้าห้องน้ำบ่อย กว่าจะมารู้ว่าเพื่อนผมมีอาการไม่สบายก็ตอนที่ลงรถไฟที่สถานีชินนางาวะ เพื่อนผมเอ่ยปากบอกว่าอยากไปโรงพยาบาลเนื่องจากว่าเธอรู้สึกว่ามีอาการแพ้ยาขึ้น !? เธอเล่าอาการคร่าวๆให้ผมฟังว่าหลังจากที่เธอกินยาตัวหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองไทย เป็นยาแก้ปวดท้องประจำเดือนแต่ไม่ใช่ยาที่เธอกินประจำเนื่องจากยาชนิดที่เธอกินประจำนั้นที่ร้านขายยาที่เธอซื้อนั้นไม่มีและเธอได้รับคำแนะนำจากคนขายว่าให้กินยาตัวนี้แทนโดยไม่คาดคิดว่าเธอจะแพ้ยาตัวนี้ (ความจริงตอนที่เพื่อนผมไปซื้อยานั้นก็ได้บอกประวัติเรื่องการแพ้ยาไปคร่าวๆแล้ว)
เพื่อนผมมีอาการหูแดงหน้าแดง คันตามคอและแขน ท้องเสียและรู้สึกว่าจะวูบเป็นบางครั้งซึ่งหากว่าอาการไม่หนักจริงคงไม่เอ่ยปากบอกว่าต้องการไปโรงพยาบาลในระหว่างนี้แน่ๆ อาการแพ้ยาขอบเขตของมันกว้างเพราะมันอาจจะแค่คันธรรมดาหรืออาจจะถึงขนาดหัวใจรวนได้จึงคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆดังนั้นพวกผมอีกสองคนจึงรีบเปิดกูเกิ้ลหาโรงพยาบาลทันทีซึ่งเพื่อนผมบอกว่าจะทนจนไปถึงสถานีอิเคะบุคุโร่ซึ่งเป็นสถานีที่พวกเราจองโรงแรมกันไว้ การเดินทางจากสถานีชินนางาวะไปสถานีอิเคะบุคุโร่ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง อาการของเพื่อนผมก็ขึ้นๆลงๆเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางช่วงพวกเราก็คิดจะลงที่ชิบูย่าเหมือนกันเพราะคิดว่ามันเป็นสถานีใหญ่น่าจะมีโรงพยาบาลแน่ๆแต่สุดท้ายพวกเราก็มาถึงที่สถานีอิเคะบุคุโร่จนได้ จากกูเกิ้ลทำให้พวกเราหาโรงพยาบาลใกล้ๆได้โรงพยาบาลหนึ่งชื่อว่า 長汐病院 นากาชิโอะเบียวอิน โรงพยาบาลนากาชิโอะ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมโทโยโกะอิน คิตะคุจิที่พวกเราจองไว้พวกเราจึงเลือกที่จะไปโรงพยาบาลนี้ (ความจริงมีอีกหนึ่งโรงพยาบาลคือโรงพยาบาลอิเคะบุคุโร่แต่อยู่อีกคนละฟากก็เลยไม่ได้ไป)
พูดถึงความสามารถในการสื่อสาร ผมพูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อย (ระดับสามสมัยที่ยังแบ่งการสอบออกเป็นสี่ระดับซึ่งนานมากแล้ว) ขณะที่เพื่อนผมอีกสองคนพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นแต่พูดภาษาอังกฤษได้ (ดีกว่าผม) แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้นพวกผมไม่มีทางเลือกจึงต้องลองวัดดวงเข้าไปดู
เมื่อเข้าไปก็ได้พบว่าปัญหาของพวกผมก็คือเจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้เลยและผมเองก็ไม่เก่งพอที่จะอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นได้อย่างที่ต้องการ (ทำได้แค่เพียงบอกว่ากินยาแล้วหน้าแดงหูแดงเท่านั้น ศัพท์เฉพาะอย่างแพ้ยาผมก็ไม่รู้ บางครั้งก็ต้องใช้ภาษามือ + พึ่งพาดิกออนไลน์ไปเรื่อยๆ) แต่ก็ต้องขอบคุณเหล่าเจ้าหน้าที่ที่นี่ที่พยายามช่วยเหลือพวกเราอย่างเต็มที่แม้ว่าจะสื่อสารกับพวกเราไม่รู้เรื่องก็ตาม จากที่หน้าเคาน์เตอร์มีเพียงคนเดียวตอนหลังมีถึงสี่คนที่มาช่วยรุมเพื่อช่วยเหลือพวกเรา คือพวกเขาไม่ทิ้งเรา (มีแต่พวกผมที่จะทิ้งเขา อาจเป็นเพราะเจอสถานการณ์แบบนี้เพื่อนผมเลยเกิดฮึดอาการเริ่มดีขึ้นมาทำท่าจะขอตัวกลับก่อนแต่ด้วยเห็นความพยายามและความเอาใจใส่ของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่นี่ก็ทำเอาพวกผมไม่กล้าตัดสินใจตัดบทจากไปเหมือนกัน) พวกเขาบอกพวกผมว่าติดต่อหมอที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ไว้ให้แล้ว แต่พวกเขาก็ถามพวกผมก่อนเหมือนกันว่า "สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย....ไหวมั๊ย ??" เขาถามแบบเกรงใจล่ะนะ (หรือเพราะตัวคำพูดมันบังคับก็ไม่รู้ล่ะนะ) ซึ่งพวกผมก็ตอบว่าไหว (ทั้งที่ใจก็หวั่นกลัวว่างบมันจะบานปลายเพราะญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าค่าครองชีพสูง) ในที่สุดก็ได้เวลาเข้าไปพบหมอ
โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเล็กๆให้ความรู้สึกว่ามันเหมือนคลีนิคมากกว่า (ถ้าเทียบกับพวกศิริราช รามาฯ) ห้องตรวจแบ่งออกเป็นห้องๆ หมอที่ตรวจเพื่อนผมอายุน่าจะราวๆสี่สิบห้าสิบ เขาใจดีมากพูดจาอย่างใจเย็นช้าๆ ภาษาอังกฤษของเขาด้วยสำเนียงฉบับคนญี่ปุ่นก็ถือว่าฟังยากแต่เขาก็พยายามสื่อสารจนกว่าพวกเราจะเข้าใจ เขาถามถึงอาการของเพื่อนผมว่าเป็นยังไงมีอาการอะไรบ้าง พอรู้ว่าแพ้ยา (จากการอ่านดิกออนไลน์ที่ผมเปิดไอแพดให้ดูศัพท์คำนี้) เขาก็ขอดูยา ดูชนิดตัวยา ดูไปก็หยิบมือถือมาเปิดว่าตัวยานี้มันคือยาอะไร (ชื่ออาจไม่เหมือนกันแต่ชนิดของตัวยามันมีไม่กี่ตัวหรอก) บรรยากาศการตรวจถือว่าผ่อนคลายอย่างที่บอกว่าคุณหมอเขาใจดีมากทั้งที่เราอาจจะสื่อสารกันลำบากแต่สุดท้ายเราก็สามารถเข้าใจถึงสาเหตุปัญหาได้และหมอก็จัดยามาให้เพื่อนผมสองตัว
หลังจากตรวจเสร็จพวกผมก็มารอกันข้างหน้าเคาน์เตอร์เหมือนตอนแรกที่มา ความหวั่นใจต่อมาคือ "ค่าตรวจจะราคาเท่าไหร่ !?" เพราะนี่คือการหาหมอที่ญี่ปุ่นครั้งแรกของทุกคนแถมเป็นในเมืองหลวงโตเกียวซะด้วย ผมทายไว้ว่า 2000 บาท อีกคนทายว่า 6000 บาทซึ่งก็คือแพงนั่นแหล่ะ และไม่นานบิลค่าตรวจก็ออกมาในราคา 3500 เยนหรือก็คือราวๆ 1000 บาท พอได้ยินราคานี้ทุกคนก็โล่งอกเพราะทีแรกต่างกลัวว่าจะแพงกว่านี้แต่ราคานี้ยังไม่รวมค่ายานะครับอันนี้เป็นค่าหมออย่างเดียว ยาจะต้องไปซื้อที่ร้านขายยาซึ่งร้านขายยาก็อยู่ไม่ห่างไปจากโรงพยาบาลเพราะมันอยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ตามปกติคงจะต้องเดินไปเองแต่พนักงานที่เคาน์เตอร์คงจะเห็นว่าพวกเราเป็นคนต่างถิ่นจึงพาเดินไปจนถึงที่
การซื้อยาที่นี่นอกจากจะให้ใบสั่งยาแล้วยังต้องกรอกประวัติด้วยว่าแพ้ยาชนิดไหนบ้าง ขึ้นตอนการซื้อยาค่อนข้างละเอียด หลังจากได้ยามาเขาก็จะอธิบายให้พวกเราฟังว่ายานี้ใช้สำหรับอาการนี้ๆกินเวลานี้ๆ เขากางหนังสือภาพที่มีคำบรรยายอาการภาษาอังกฤษให้พวกผมดูด้วย (มีภาพประกอบพร้อมทุกอย่างสำหรับคนที่มาซื้อยา เอื้ออำนวยมากๆ) ค่ายาสองชุด 1500 เยนหรือประมาณ 400 บาทจะว่าไปก็ถือว่าไม่แพงเท่าไหร่เพราะราคาพอๆกับการตรวจคลีนิกบ้านเรานั่นแหล่ะ เมื่อได้รับยาก็เป็นอันเสร็จพิธีและพวกเราก็เดินทางไปที่โรงแรม
จากเรื่องนี้ทำให้ได้เรียนรู้ว่า
๑.คนญี่ปุ่น gen ก่อนไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้เลย หมอบางท่านก็พูดไม่ได้
๒.แต่ไม่ต้องกลัวว่าคุณจะโดนทิ้งเพราะเขาจะหาทางช่วยคุณอย่างสุดความสามารถ
๓.ขอบคุณพ็อคเกต wifi เห็นประโยชน์จากมันก็ตอนนี้เพราะไม่อย่างนั้นพวกผมคงตามหาโรงพยาบาลไม่เจอง่ายๆ ค่าเช่าวันละไม่กี่ร้อยแต่มีค่ามหาศาลดังนั้นหากไปเที่ยวอย่าเสียดายมีติดไว้ไม่เสียหาย
๔.แต่ทางที่ดีอย่าป่วยจะดีที่สุด
รีวิวการหาหมอที่ญี่ปุ่นครับ
บางครั้งระหว่างการเที่ยวก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ระหว่างที่ผมและเพื่อนร่วมทริปอีกสองคนกำลังนั่งชินกังเซ็นจากโอซาก้าเข้าโตเกียว เพื่อนผมคนหนึ่งลุกเข้าลุกออกห้องน้ำอยู่บ่อยครั้งแต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรเนื่องจากขณะนั้นผมกำลังเมาชินกังเซ็นอยู่และผมคิดว่าเพื่อนผมอาจจะดื่มน้ำเข้าไปเยอะเพราะเขาพกของมากินบนรถไฟด้วยจึงต้องเข้าห้องน้ำบ่อย กว่าจะมารู้ว่าเพื่อนผมมีอาการไม่สบายก็ตอนที่ลงรถไฟที่สถานีชินนางาวะ เพื่อนผมเอ่ยปากบอกว่าอยากไปโรงพยาบาลเนื่องจากว่าเธอรู้สึกว่ามีอาการแพ้ยาขึ้น !? เธอเล่าอาการคร่าวๆให้ผมฟังว่าหลังจากที่เธอกินยาตัวหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองไทย เป็นยาแก้ปวดท้องประจำเดือนแต่ไม่ใช่ยาที่เธอกินประจำเนื่องจากยาชนิดที่เธอกินประจำนั้นที่ร้านขายยาที่เธอซื้อนั้นไม่มีและเธอได้รับคำแนะนำจากคนขายว่าให้กินยาตัวนี้แทนโดยไม่คาดคิดว่าเธอจะแพ้ยาตัวนี้ (ความจริงตอนที่เพื่อนผมไปซื้อยานั้นก็ได้บอกประวัติเรื่องการแพ้ยาไปคร่าวๆแล้ว)
เพื่อนผมมีอาการหูแดงหน้าแดง คันตามคอและแขน ท้องเสียและรู้สึกว่าจะวูบเป็นบางครั้งซึ่งหากว่าอาการไม่หนักจริงคงไม่เอ่ยปากบอกว่าต้องการไปโรงพยาบาลในระหว่างนี้แน่ๆ อาการแพ้ยาขอบเขตของมันกว้างเพราะมันอาจจะแค่คันธรรมดาหรืออาจจะถึงขนาดหัวใจรวนได้จึงคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆดังนั้นพวกผมอีกสองคนจึงรีบเปิดกูเกิ้ลหาโรงพยาบาลทันทีซึ่งเพื่อนผมบอกว่าจะทนจนไปถึงสถานีอิเคะบุคุโร่ซึ่งเป็นสถานีที่พวกเราจองโรงแรมกันไว้ การเดินทางจากสถานีชินนางาวะไปสถานีอิเคะบุคุโร่ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง อาการของเพื่อนผมก็ขึ้นๆลงๆเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางช่วงพวกเราก็คิดจะลงที่ชิบูย่าเหมือนกันเพราะคิดว่ามันเป็นสถานีใหญ่น่าจะมีโรงพยาบาลแน่ๆแต่สุดท้ายพวกเราก็มาถึงที่สถานีอิเคะบุคุโร่จนได้ จากกูเกิ้ลทำให้พวกเราหาโรงพยาบาลใกล้ๆได้โรงพยาบาลหนึ่งชื่อว่า 長汐病院 นากาชิโอะเบียวอิน โรงพยาบาลนากาชิโอะ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมโทโยโกะอิน คิตะคุจิที่พวกเราจองไว้พวกเราจึงเลือกที่จะไปโรงพยาบาลนี้ (ความจริงมีอีกหนึ่งโรงพยาบาลคือโรงพยาบาลอิเคะบุคุโร่แต่อยู่อีกคนละฟากก็เลยไม่ได้ไป)
พูดถึงความสามารถในการสื่อสาร ผมพูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อย (ระดับสามสมัยที่ยังแบ่งการสอบออกเป็นสี่ระดับซึ่งนานมากแล้ว) ขณะที่เพื่อนผมอีกสองคนพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นแต่พูดภาษาอังกฤษได้ (ดีกว่าผม) แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้นพวกผมไม่มีทางเลือกจึงต้องลองวัดดวงเข้าไปดู
เมื่อเข้าไปก็ได้พบว่าปัญหาของพวกผมก็คือเจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้เลยและผมเองก็ไม่เก่งพอที่จะอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นได้อย่างที่ต้องการ (ทำได้แค่เพียงบอกว่ากินยาแล้วหน้าแดงหูแดงเท่านั้น ศัพท์เฉพาะอย่างแพ้ยาผมก็ไม่รู้ บางครั้งก็ต้องใช้ภาษามือ + พึ่งพาดิกออนไลน์ไปเรื่อยๆ) แต่ก็ต้องขอบคุณเหล่าเจ้าหน้าที่ที่นี่ที่พยายามช่วยเหลือพวกเราอย่างเต็มที่แม้ว่าจะสื่อสารกับพวกเราไม่รู้เรื่องก็ตาม จากที่หน้าเคาน์เตอร์มีเพียงคนเดียวตอนหลังมีถึงสี่คนที่มาช่วยรุมเพื่อช่วยเหลือพวกเรา คือพวกเขาไม่ทิ้งเรา (มีแต่พวกผมที่จะทิ้งเขา อาจเป็นเพราะเจอสถานการณ์แบบนี้เพื่อนผมเลยเกิดฮึดอาการเริ่มดีขึ้นมาทำท่าจะขอตัวกลับก่อนแต่ด้วยเห็นความพยายามและความเอาใจใส่ของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่นี่ก็ทำเอาพวกผมไม่กล้าตัดสินใจตัดบทจากไปเหมือนกัน) พวกเขาบอกพวกผมว่าติดต่อหมอที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ไว้ให้แล้ว แต่พวกเขาก็ถามพวกผมก่อนเหมือนกันว่า "สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย....ไหวมั๊ย ??" เขาถามแบบเกรงใจล่ะนะ (หรือเพราะตัวคำพูดมันบังคับก็ไม่รู้ล่ะนะ) ซึ่งพวกผมก็ตอบว่าไหว (ทั้งที่ใจก็หวั่นกลัวว่างบมันจะบานปลายเพราะญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าค่าครองชีพสูง) ในที่สุดก็ได้เวลาเข้าไปพบหมอ
โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลเล็กๆให้ความรู้สึกว่ามันเหมือนคลีนิคมากกว่า (ถ้าเทียบกับพวกศิริราช รามาฯ) ห้องตรวจแบ่งออกเป็นห้องๆ หมอที่ตรวจเพื่อนผมอายุน่าจะราวๆสี่สิบห้าสิบ เขาใจดีมากพูดจาอย่างใจเย็นช้าๆ ภาษาอังกฤษของเขาด้วยสำเนียงฉบับคนญี่ปุ่นก็ถือว่าฟังยากแต่เขาก็พยายามสื่อสารจนกว่าพวกเราจะเข้าใจ เขาถามถึงอาการของเพื่อนผมว่าเป็นยังไงมีอาการอะไรบ้าง พอรู้ว่าแพ้ยา (จากการอ่านดิกออนไลน์ที่ผมเปิดไอแพดให้ดูศัพท์คำนี้) เขาก็ขอดูยา ดูชนิดตัวยา ดูไปก็หยิบมือถือมาเปิดว่าตัวยานี้มันคือยาอะไร (ชื่ออาจไม่เหมือนกันแต่ชนิดของตัวยามันมีไม่กี่ตัวหรอก) บรรยากาศการตรวจถือว่าผ่อนคลายอย่างที่บอกว่าคุณหมอเขาใจดีมากทั้งที่เราอาจจะสื่อสารกันลำบากแต่สุดท้ายเราก็สามารถเข้าใจถึงสาเหตุปัญหาได้และหมอก็จัดยามาให้เพื่อนผมสองตัว
หลังจากตรวจเสร็จพวกผมก็มารอกันข้างหน้าเคาน์เตอร์เหมือนตอนแรกที่มา ความหวั่นใจต่อมาคือ "ค่าตรวจจะราคาเท่าไหร่ !?" เพราะนี่คือการหาหมอที่ญี่ปุ่นครั้งแรกของทุกคนแถมเป็นในเมืองหลวงโตเกียวซะด้วย ผมทายไว้ว่า 2000 บาท อีกคนทายว่า 6000 บาทซึ่งก็คือแพงนั่นแหล่ะ และไม่นานบิลค่าตรวจก็ออกมาในราคา 3500 เยนหรือก็คือราวๆ 1000 บาท พอได้ยินราคานี้ทุกคนก็โล่งอกเพราะทีแรกต่างกลัวว่าจะแพงกว่านี้แต่ราคานี้ยังไม่รวมค่ายานะครับอันนี้เป็นค่าหมออย่างเดียว ยาจะต้องไปซื้อที่ร้านขายยาซึ่งร้านขายยาก็อยู่ไม่ห่างไปจากโรงพยาบาลเพราะมันอยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ตามปกติคงจะต้องเดินไปเองแต่พนักงานที่เคาน์เตอร์คงจะเห็นว่าพวกเราเป็นคนต่างถิ่นจึงพาเดินไปจนถึงที่
การซื้อยาที่นี่นอกจากจะให้ใบสั่งยาแล้วยังต้องกรอกประวัติด้วยว่าแพ้ยาชนิดไหนบ้าง ขึ้นตอนการซื้อยาค่อนข้างละเอียด หลังจากได้ยามาเขาก็จะอธิบายให้พวกเราฟังว่ายานี้ใช้สำหรับอาการนี้ๆกินเวลานี้ๆ เขากางหนังสือภาพที่มีคำบรรยายอาการภาษาอังกฤษให้พวกผมดูด้วย (มีภาพประกอบพร้อมทุกอย่างสำหรับคนที่มาซื้อยา เอื้ออำนวยมากๆ) ค่ายาสองชุด 1500 เยนหรือประมาณ 400 บาทจะว่าไปก็ถือว่าไม่แพงเท่าไหร่เพราะราคาพอๆกับการตรวจคลีนิกบ้านเรานั่นแหล่ะ เมื่อได้รับยาก็เป็นอันเสร็จพิธีและพวกเราก็เดินทางไปที่โรงแรม
จากเรื่องนี้ทำให้ได้เรียนรู้ว่า
๑.คนญี่ปุ่น gen ก่อนไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้เลย หมอบางท่านก็พูดไม่ได้
๒.แต่ไม่ต้องกลัวว่าคุณจะโดนทิ้งเพราะเขาจะหาทางช่วยคุณอย่างสุดความสามารถ
๓.ขอบคุณพ็อคเกต wifi เห็นประโยชน์จากมันก็ตอนนี้เพราะไม่อย่างนั้นพวกผมคงตามหาโรงพยาบาลไม่เจอง่ายๆ ค่าเช่าวันละไม่กี่ร้อยแต่มีค่ามหาศาลดังนั้นหากไปเที่ยวอย่าเสียดายมีติดไว้ไม่เสียหาย
๔.แต่ทางที่ดีอย่าป่วยจะดีที่สุด