ขอมาแชร์ประสบการณ์ค่ะ เผื่อว่าจะมีประโยชน์ เป็นกระทู้แรกนะคะ ผิดถูกยังไงขออภัยไว้ด้วยค่ะ
เมื่อสักประมาณปี 2561 ช่วงเดือนมีนาคม เราและคอบครัวไปเที่ยวที่ฮอกไกโดกันค่ะ ตอนนั้นลูกชายอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง
เราเริ่มการเดินทางจากเมืองฮาโกดาเตะ แผนการเดินทางคือเช่ารถขับ ไปหลายๆ เมืองบนเกาะฮอกไกโด ประมาณ 9 วันค่ะ
เริ่มเรื่องคือ คืนที่ป่วยคืออยู่ที่เมืองฮาโกดาเตะวันแรกๆ ของการเดินทางเลย อาการเริ่มแรกของลูกคือ เริ่มมีน้ำมูก เราก็มียาของลูกติดไปด้วยอยู่แล้ว ก็ให้กินยาตามอาการกันไป พอช่วงดึก สักประมาณตี 2 ตี 3 ลูกเริ่มงอแง นอนไม่ได้ หายใจหอบ (คือแกเคยเป็นแบบนี้มาสัก 2-3 ครั้งแล้ว) เราก็เริ่มจิตตกแล้วค่ะ เพราะรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้คือต้องพ่นยา ก็ระหว่างนั้นทำอะไรไม่ได้มาก ก็ดูอาการกันไป เพราะเคยมีครั้งนึงที่หายเองได้ แต่เวลาผ่านไปก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีขึ้น
เริ่มหาข้อมูล โรงพยาบาล การหาหมอที่ญี่ปุ่น หาร้านขายยา ยาขยายหลอดลม คือหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด รวมถึงการแปลภาษา อาการของลูกเตรียมไว้ ตอนนั้นกังวลมาก อยากให้เช้าไวๆ ซึ่งตอนที่ไปนั้นก็สว่างไวจริงๆ ค่ะ ประมาณตี 4 ก็เริ่มสว่างแล้ว แต่ไม่มีอะไรเปิดทำการเวลานั้นค่ะ ตอนนั้นก็มีโทรถามประกันที่เราซื้อไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ข้อมูลอะไรเท่าไรเรื่องการไปโรงพยาบาล มีหาข้อมูลเรื่องการจ้างล่ามช่วยแปลทางโทรศัพท์ไว้ด้วย คุณสามีก็ช่วยกัน เสริชหาคลินิก จนเจอว่ามีคลินิกอยู่ที่นึง ก็เลยตกลงไปหาที่นั่นก่อน แต่ก็ต้องรอเวลาให้คลินิกเปิดตอน 9 โมงเช้า ระหว่างนั้นลูกงอแงตลอด เพราะหายใจไม่สะดวก (ลูกเป็นหลอดลมอักเสบ คล้ายๆ จะเป็นหอบประมาณนั้นค่ะ)
จากนั้น 8 โมงเช้าเราก็ไปรับรถที่จองไว้ ไปรับก่อนเวลานัด เพราะมันผิดแผนไปแล้วค่ะ รับรถเสร็จก็ตรงไปคลินิกเลย เวลาเปิดพอดี เข้าไปก็คุยกับคุณพยาบาล ยื่นแท็บเล็ตที่เราแปลอาการของลูกชายไว้ล่วงหน้าให้อ่าน พยาบาลก็ขอพาสปอร์ตของลูกไป เราบอกขอใบความเห็นแพทย์พร้อมใบเสร็จด้วย พยาบาลก็ช่วยดำเนินการให้ คุณพยาบาลน่ารักมากค่ะ พยายามเข้ามาคุยถามอาการ ใช้โทรศัพท์ช่วยแปลให้เราอ่าน แปลจากญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษให้เรา ระหว่างที่รอพบคุณหมอ
เมื่อถึงคิว เข้าไปห้องตรวจ พบคุณหมอชาวญี่ปุ่น อายุค่อนข้างเยอะแล้ว คุณพยาบาลพูดให้เราหมดเลย คุณหมอไม่พูดสักคำนึงค่ะ ตรวจลูกเรา ฟังหัวใจ ดูคอ หู จมูก เสร็จ ก็ให้คุณพยาบาลพามาพ่นยาให้ พ่นยาเสร็จ ลูกเริ่มดีขึ้น ค่อยเบาใจ ออกมานั่งรอ พยาบาลมาบอกกับเราว่าต้องไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลนะ อ้าว เราใจแป้วเลย คือคุณหมอว่าต้องไปโรงพยาบาล ที่นี่แค่รักษาเบื้องต้นให้ แล้วก็บอกรายละเอียดโรงพยาบาลว่าอยู่ตรงไหน โทรไปคุยให้ และเขียนรายละเอียดให้เรานำไปยื่นที่โรงพยาบาล พอรับเอกสาร พร้อมกันกับจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินทางต่อไปโรงพยาบาลค่ะ ลูกเราก็อาการกำเริบอีก งอแง หายใจแบบหอบเหนื่อยขึ้นมาอีก
พอมาถึงโรงพยาบาล ซึ่งไม่ไกลกันมาก ดูจากข้างนอกจะไม่รู้ว่าเป็นโรงพยาบาลเลยค่ะ ค่อนข้างต่างจากบ้านเรา พอเข้าไป ก็ยื่นเอกสารที่ทางคลินิกเขียนรายละเอียดมาให้ แต่หลังจากพยาบาลเช็ครายละเอียดอยู่สักพัก ก็บอกปฏิเสธเรา รับรักษาไม่ได้ หมอไม่พูดภาษาอังกฤษ หรือไม่มีหมออยู่อะไรประมาณนี้ เรากับสามีก็พยายามขอร้อง บอกว่าเดี๋ยวหาล่ามมาช่วยแปลให้ โทรคุยกับล่ามอะไรประมาณนี้ คุยกันไปสักพักคือยังไงก็ไม่ยอม
จริงๆ เราก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรนะคะ เพราะคุยกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก แต่ในที่สุดคุณพยาบาลก็บอกให้เราไปโรงพยาบาลอีกที่นึง ทางเจ้าหน้าที่ก็ช่วยโทรไปติดต่อให้ เขียนรายละเอียดมาให้ เราก็ไปตามนั้น ก็ขอบคุณคุณพยาบาลกันไป คือตอนั้นเหนื่อยและกังวลมากๆค่ะ ลูกก็ร้องตลอด ไม่ได้กินไรกันเลย กินไม่ลงจริงๆค่ะ
และก็มาถึงโรงพยาบาลอีกที่นึง เราก็เข้าไปติดต่อ ส่งเอกสารทางเจ้าหน้าที่ก็รับเรื่องไป และก็บอกว่าทราบเรื่องจากการโทรมาก่อนหน้านี้ ค่อยเบาใจขึ้นมานิดนึงค่ะ หวังว่าว่าที่นี่น่าจะรับรักษานะ ระหว่างนั้นเราต้องกรอกเอกสารประวัติของลูกชาย จากนั้นก็ได้ไปรอพบคุณหมอ
พอได้เข้าห้องมา คุณหมอก็เข้ามาตรวจให้ คุณหมอน่ารักมากๆๆ ค่ะ พยายามคุย พยายามสื่อสารกับเรา ตรวจลูกเสร็จก็ให้พ่นยาเลย ครั้งนี้นานหน่อย ลูกชายหลับไปเลย พอได้รับการรักษาแบบจริงจัง คือเขานอนไม่ได้เลย พอได้รับยา ดีขึ้น ก็หลับได้สักที
คุณพยาบาลก็เข้ามาช่วยคุย ใช้กูเกิ้ล แปลภาษา แบบพูดใส่แล้วแปลออกมาให้ ทีนี้คุณพยาบาลเลือกแปลเป็นภาษาไทยให้เลย บรรยากาศค่อยๆ ผ่อนคลายลงมากๆ ค่ะ ตอนนี้คุยกันสนุกสนาน คุณพยาบาลสนุกกับการพูดใส่แล้วแปลออกมา น่ารักมากๆเลย
เราคุยกันถึงอาการของลูก เราก็เล่าประวัติกันไป คุณหมอคงเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เพราะคุณหมอก็พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยจริงๆค่ะ และภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ดีนัก โดยเฉพาะศัพท์เรื่องอาการป่วยต่างๆ
และคุณหมอก็บอกว่า ยังไม่วางใจค่ะ บอกว่าควรนอนโรงพยาบาลนะ แต่ที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีแบบให้นอนรักษาตัว หรือไม่มีเตียงสำหรับเด็กประมาณนี้ ต้องไปอีกโรงพยาบาลนึง เราก็ จริงเหรอเนี่ย ย้ายโรงพยาบาลอีกแล้วเหรอ และก็จินตนาการไปไกลเลยค่ะ ว่าจะอย่างไรต่อดี จะยกเลิกทริป บินกลับบ้านเลยดีไหม แต่ก็รอฟังจากทางคุณหมอให้แน่ใจก่อน
คุณหมอก็ให้คุณพยาบาลที่น่ารักช่วยติดต่อประสานงานกับอีกโรงพยาบาลนึงให้ แต่ก็เหมือนจะได้รับคำตอบว่า ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับ หรือเต็ม อะไรประมาณนี้แหละค่ะ คุณหมอก็ถามว่าแผนเราเป็นยังไงไปไหนต่อ นอนที่ฮาโกดาเตะกี่คืน คือจริงๆ วันนี้เราต้องไป Niseko กันค่ะ คืนนี้ต้องไปนอนที่นู้นแล้ว เมื่อไม่มีโรงพยาบาลที่จะรับช่วงต่อ หมอก็เลยแนะนำว่างั้น นอนที่เมืองนี้ไปก่อน เพราะที่นิเซโกะ ไม่มีโรงพยาล คุณหมอก็เลยเปลี่ยนแผนว่า อยากให้มาหาในวันพรุ่งนี้แทน ก็กลับไปนอนที่โรงแรม ดูอาการคืนนี้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไม่ต้องมาหาหมอในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้ายังมีอาการในตอนกลางคืน ก็ให้โทรเรียกรถพยาบาล ให้ทางโรงแรมโทรให้ คุณหมอก็เขียนรายละเอียด บอกชื่อโรงพยาบาลให้ เราก็เตรียมเปลี่ยนแผนการเดินทางกัน
แต่หลังจากพ่นยาไปสักพัก และนอนดูอาการอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว หมอก็ตรวจลูกเราอีกครั้ง คุณหมอสีหน้าดีขึ้น บอกว่าดีแล้วนะ ดูไม่ค่อยน่าห่วง คุณหมอเลยบอกว่า งั้นไป niseko ได้แล้ว แต่คุณหมอมียาให้ เป็นยากิน กับยาขยายหลอดลมแบบแปะ (เป็นคล้ายแผ่นสติ๊กเกอร์ แปะบริเวณด้านหลังของลูก)
คุณหมอก็ค่อยๆ อธิบายตัวยา สรรพคุณของยา และวิธีกินให้ ก็ใช้ตัวช่วยแปลกันไป ตอนนั้นเรารู้สึกดีขึ้นมากๆ รู้สึกอยากขอบคุณคุณหมอสักล้านครั้ง เราโล่งใจขึ้นมากๆ (คือจริงๆ ครั้งก่อนๆ ที่ลูกมีอาการนี้เราก็พอรู้ พอได้พ่นยาก็ดีขึ้น ที่ผ่านมาก็ไม่ได้นอนโรงพยาบาล แต่จะมียากลับมากินด้วย) ส่วนยาก็รับจากที่โรงพยาบาลนี้เลย ไม่ต้องไปซื้อข้างนอกเหมือนที่อ่านๆ เจอมา
ลูกเรายังหลับปุ๋ย ระหว่างรอรับยา หมอก็เขียนใบความเห็นแพทย์ให้ เพื่อนำไปเคลมกับประกันการเดินทางที่เราซื้อไว้ หมอน่ารักจริงๆ ค่ะ เหมือนคุณหมอน่าจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เลยงงๆ หน่อย คอยถามเราว่าแบบนี้ได้ไหม เขียนแบบนี้ถูกหรือเปล่า เราก็บอกคุณหมอว่า คุณหมอเขียนภาษาญี่ปุ่นได้เลย เพราะถามมาแล้ว ว่าใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ ขอแค่เขียนอาการว่าลูกเราเป็นอะไรประมาณนั้น ลงชื่อคุณหมอให้ด้วย คุณหมอเลยไม่เครียดแล้ว 555
หลังจากนั้นคุณพยาบาลพาเดินมารับยา จ่ายเงิน เสร็จเรียบร้อย ก่อนกลับเราเลยขอถ่ายรูปกับคุณหมอ และคุณพยาบาล และก็ขอบคุณทั้งสองท่านมากๆ ที่ช่วยรับรักษาลูกของเรา ซาบซึ้งใจจริงๆนะคะ ตอนนั้น เพราะเรากังวลมากจากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แล้วแผนการเดินทางเราก็เป็นไปตามที่วางไว้แต่แรก แต่เราก็ยังไม่วางใจนะคะ คอยสังเกตุอาการลูก หาคลินิก โรงพยาบาลเมืองที่จะไปเผื่อไว้ล่วงหน้าตลอด แต่ในที่สุด ทุกอย่างก็ราบรื่นจนจบทริปค่ะ
ส่วนลูกชายหลังจากกลับมาก็หาหมอที่บ้านเรารักษาเป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องอยู่ค่ะ คือมีอาการหลอดลมไว ก็พ่นยากันยาวๆจนทุกวันนี้
ขอบอกก่อนว่า เราไม่ได้มีความรู้เรื่องการหาหมอที่ญี่ปุ่นมากนักนะคะ ส่วนใหญ่ก็หาอ่านจากในนี้บ้าง จากเพจต่างๆ ที่ได้ให้ข้อมูลไว้บ้าง ก็ขอขอบคุณทุกๆท่านเขียนไว้ ให้เราได้มีข้อมูลเมื่อเจอเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ เราเลยอยากแชร์เรื่องของเราไว้บ้าง เผื่อจะเป็นข้อมูลคร่าวๆ ให้ท่านที่อาจจะประสบปัญหาแบบเดียวกันกันเรา ขอบคุณค่ะ
ประสบการณ์ลูกไม่สบายที่ญี่ปุ่น ต้องไปสถานพยาบาลถึง 3 แห่ง
เมื่อสักประมาณปี 2561 ช่วงเดือนมีนาคม เราและคอบครัวไปเที่ยวที่ฮอกไกโดกันค่ะ ตอนนั้นลูกชายอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง
เราเริ่มการเดินทางจากเมืองฮาโกดาเตะ แผนการเดินทางคือเช่ารถขับ ไปหลายๆ เมืองบนเกาะฮอกไกโด ประมาณ 9 วันค่ะ
เริ่มเรื่องคือ คืนที่ป่วยคืออยู่ที่เมืองฮาโกดาเตะวันแรกๆ ของการเดินทางเลย อาการเริ่มแรกของลูกคือ เริ่มมีน้ำมูก เราก็มียาของลูกติดไปด้วยอยู่แล้ว ก็ให้กินยาตามอาการกันไป พอช่วงดึก สักประมาณตี 2 ตี 3 ลูกเริ่มงอแง นอนไม่ได้ หายใจหอบ (คือแกเคยเป็นแบบนี้มาสัก 2-3 ครั้งแล้ว) เราก็เริ่มจิตตกแล้วค่ะ เพราะรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้คือต้องพ่นยา ก็ระหว่างนั้นทำอะไรไม่ได้มาก ก็ดูอาการกันไป เพราะเคยมีครั้งนึงที่หายเองได้ แต่เวลาผ่านไปก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีขึ้น
เริ่มหาข้อมูล โรงพยาบาล การหาหมอที่ญี่ปุ่น หาร้านขายยา ยาขยายหลอดลม คือหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด รวมถึงการแปลภาษา อาการของลูกเตรียมไว้ ตอนนั้นกังวลมาก อยากให้เช้าไวๆ ซึ่งตอนที่ไปนั้นก็สว่างไวจริงๆ ค่ะ ประมาณตี 4 ก็เริ่มสว่างแล้ว แต่ไม่มีอะไรเปิดทำการเวลานั้นค่ะ ตอนนั้นก็มีโทรถามประกันที่เราซื้อไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ข้อมูลอะไรเท่าไรเรื่องการไปโรงพยาบาล มีหาข้อมูลเรื่องการจ้างล่ามช่วยแปลทางโทรศัพท์ไว้ด้วย คุณสามีก็ช่วยกัน เสริชหาคลินิก จนเจอว่ามีคลินิกอยู่ที่นึง ก็เลยตกลงไปหาที่นั่นก่อน แต่ก็ต้องรอเวลาให้คลินิกเปิดตอน 9 โมงเช้า ระหว่างนั้นลูกงอแงตลอด เพราะหายใจไม่สะดวก (ลูกเป็นหลอดลมอักเสบ คล้ายๆ จะเป็นหอบประมาณนั้นค่ะ)
จากนั้น 8 โมงเช้าเราก็ไปรับรถที่จองไว้ ไปรับก่อนเวลานัด เพราะมันผิดแผนไปแล้วค่ะ รับรถเสร็จก็ตรงไปคลินิกเลย เวลาเปิดพอดี เข้าไปก็คุยกับคุณพยาบาล ยื่นแท็บเล็ตที่เราแปลอาการของลูกชายไว้ล่วงหน้าให้อ่าน พยาบาลก็ขอพาสปอร์ตของลูกไป เราบอกขอใบความเห็นแพทย์พร้อมใบเสร็จด้วย พยาบาลก็ช่วยดำเนินการให้ คุณพยาบาลน่ารักมากค่ะ พยายามเข้ามาคุยถามอาการ ใช้โทรศัพท์ช่วยแปลให้เราอ่าน แปลจากญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษให้เรา ระหว่างที่รอพบคุณหมอ
เมื่อถึงคิว เข้าไปห้องตรวจ พบคุณหมอชาวญี่ปุ่น อายุค่อนข้างเยอะแล้ว คุณพยาบาลพูดให้เราหมดเลย คุณหมอไม่พูดสักคำนึงค่ะ ตรวจลูกเรา ฟังหัวใจ ดูคอ หู จมูก เสร็จ ก็ให้คุณพยาบาลพามาพ่นยาให้ พ่นยาเสร็จ ลูกเริ่มดีขึ้น ค่อยเบาใจ ออกมานั่งรอ พยาบาลมาบอกกับเราว่าต้องไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลนะ อ้าว เราใจแป้วเลย คือคุณหมอว่าต้องไปโรงพยาบาล ที่นี่แค่รักษาเบื้องต้นให้ แล้วก็บอกรายละเอียดโรงพยาบาลว่าอยู่ตรงไหน โทรไปคุยให้ และเขียนรายละเอียดให้เรานำไปยื่นที่โรงพยาบาล พอรับเอกสาร พร้อมกันกับจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินทางต่อไปโรงพยาบาลค่ะ ลูกเราก็อาการกำเริบอีก งอแง หายใจแบบหอบเหนื่อยขึ้นมาอีก
พอมาถึงโรงพยาบาล ซึ่งไม่ไกลกันมาก ดูจากข้างนอกจะไม่รู้ว่าเป็นโรงพยาบาลเลยค่ะ ค่อนข้างต่างจากบ้านเรา พอเข้าไป ก็ยื่นเอกสารที่ทางคลินิกเขียนรายละเอียดมาให้ แต่หลังจากพยาบาลเช็ครายละเอียดอยู่สักพัก ก็บอกปฏิเสธเรา รับรักษาไม่ได้ หมอไม่พูดภาษาอังกฤษ หรือไม่มีหมออยู่อะไรประมาณนี้ เรากับสามีก็พยายามขอร้อง บอกว่าเดี๋ยวหาล่ามมาช่วยแปลให้ โทรคุยกับล่ามอะไรประมาณนี้ คุยกันไปสักพักคือยังไงก็ไม่ยอม
จริงๆ เราก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรนะคะ เพราะคุยกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก แต่ในที่สุดคุณพยาบาลก็บอกให้เราไปโรงพยาบาลอีกที่นึง ทางเจ้าหน้าที่ก็ช่วยโทรไปติดต่อให้ เขียนรายละเอียดมาให้ เราก็ไปตามนั้น ก็ขอบคุณคุณพยาบาลกันไป คือตอนั้นเหนื่อยและกังวลมากๆค่ะ ลูกก็ร้องตลอด ไม่ได้กินไรกันเลย กินไม่ลงจริงๆค่ะ
และก็มาถึงโรงพยาบาลอีกที่นึง เราก็เข้าไปติดต่อ ส่งเอกสารทางเจ้าหน้าที่ก็รับเรื่องไป และก็บอกว่าทราบเรื่องจากการโทรมาก่อนหน้านี้ ค่อยเบาใจขึ้นมานิดนึงค่ะ หวังว่าว่าที่นี่น่าจะรับรักษานะ ระหว่างนั้นเราต้องกรอกเอกสารประวัติของลูกชาย จากนั้นก็ได้ไปรอพบคุณหมอ
พอได้เข้าห้องมา คุณหมอก็เข้ามาตรวจให้ คุณหมอน่ารักมากๆๆ ค่ะ พยายามคุย พยายามสื่อสารกับเรา ตรวจลูกเสร็จก็ให้พ่นยาเลย ครั้งนี้นานหน่อย ลูกชายหลับไปเลย พอได้รับการรักษาแบบจริงจัง คือเขานอนไม่ได้เลย พอได้รับยา ดีขึ้น ก็หลับได้สักที
คุณพยาบาลก็เข้ามาช่วยคุย ใช้กูเกิ้ล แปลภาษา แบบพูดใส่แล้วแปลออกมาให้ ทีนี้คุณพยาบาลเลือกแปลเป็นภาษาไทยให้เลย บรรยากาศค่อยๆ ผ่อนคลายลงมากๆ ค่ะ ตอนนี้คุยกันสนุกสนาน คุณพยาบาลสนุกกับการพูดใส่แล้วแปลออกมา น่ารักมากๆเลย
เราคุยกันถึงอาการของลูก เราก็เล่าประวัติกันไป คุณหมอคงเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เพราะคุณหมอก็พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยจริงๆค่ะ และภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ดีนัก โดยเฉพาะศัพท์เรื่องอาการป่วยต่างๆ
และคุณหมอก็บอกว่า ยังไม่วางใจค่ะ บอกว่าควรนอนโรงพยาบาลนะ แต่ที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีแบบให้นอนรักษาตัว หรือไม่มีเตียงสำหรับเด็กประมาณนี้ ต้องไปอีกโรงพยาบาลนึง เราก็ จริงเหรอเนี่ย ย้ายโรงพยาบาลอีกแล้วเหรอ และก็จินตนาการไปไกลเลยค่ะ ว่าจะอย่างไรต่อดี จะยกเลิกทริป บินกลับบ้านเลยดีไหม แต่ก็รอฟังจากทางคุณหมอให้แน่ใจก่อน
คุณหมอก็ให้คุณพยาบาลที่น่ารักช่วยติดต่อประสานงานกับอีกโรงพยาบาลนึงให้ แต่ก็เหมือนจะได้รับคำตอบว่า ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับ หรือเต็ม อะไรประมาณนี้แหละค่ะ คุณหมอก็ถามว่าแผนเราเป็นยังไงไปไหนต่อ นอนที่ฮาโกดาเตะกี่คืน คือจริงๆ วันนี้เราต้องไป Niseko กันค่ะ คืนนี้ต้องไปนอนที่นู้นแล้ว เมื่อไม่มีโรงพยาบาลที่จะรับช่วงต่อ หมอก็เลยแนะนำว่างั้น นอนที่เมืองนี้ไปก่อน เพราะที่นิเซโกะ ไม่มีโรงพยาล คุณหมอก็เลยเปลี่ยนแผนว่า อยากให้มาหาในวันพรุ่งนี้แทน ก็กลับไปนอนที่โรงแรม ดูอาการคืนนี้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไม่ต้องมาหาหมอในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้ายังมีอาการในตอนกลางคืน ก็ให้โทรเรียกรถพยาบาล ให้ทางโรงแรมโทรให้ คุณหมอก็เขียนรายละเอียด บอกชื่อโรงพยาบาลให้ เราก็เตรียมเปลี่ยนแผนการเดินทางกัน
แต่หลังจากพ่นยาไปสักพัก และนอนดูอาการอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว หมอก็ตรวจลูกเราอีกครั้ง คุณหมอสีหน้าดีขึ้น บอกว่าดีแล้วนะ ดูไม่ค่อยน่าห่วง คุณหมอเลยบอกว่า งั้นไป niseko ได้แล้ว แต่คุณหมอมียาให้ เป็นยากิน กับยาขยายหลอดลมแบบแปะ (เป็นคล้ายแผ่นสติ๊กเกอร์ แปะบริเวณด้านหลังของลูก)
คุณหมอก็ค่อยๆ อธิบายตัวยา สรรพคุณของยา และวิธีกินให้ ก็ใช้ตัวช่วยแปลกันไป ตอนนั้นเรารู้สึกดีขึ้นมากๆ รู้สึกอยากขอบคุณคุณหมอสักล้านครั้ง เราโล่งใจขึ้นมากๆ (คือจริงๆ ครั้งก่อนๆ ที่ลูกมีอาการนี้เราก็พอรู้ พอได้พ่นยาก็ดีขึ้น ที่ผ่านมาก็ไม่ได้นอนโรงพยาบาล แต่จะมียากลับมากินด้วย) ส่วนยาก็รับจากที่โรงพยาบาลนี้เลย ไม่ต้องไปซื้อข้างนอกเหมือนที่อ่านๆ เจอมา
ลูกเรายังหลับปุ๋ย ระหว่างรอรับยา หมอก็เขียนใบความเห็นแพทย์ให้ เพื่อนำไปเคลมกับประกันการเดินทางที่เราซื้อไว้ หมอน่ารักจริงๆ ค่ะ เหมือนคุณหมอน่าจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เลยงงๆ หน่อย คอยถามเราว่าแบบนี้ได้ไหม เขียนแบบนี้ถูกหรือเปล่า เราก็บอกคุณหมอว่า คุณหมอเขียนภาษาญี่ปุ่นได้เลย เพราะถามมาแล้ว ว่าใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ ขอแค่เขียนอาการว่าลูกเราเป็นอะไรประมาณนั้น ลงชื่อคุณหมอให้ด้วย คุณหมอเลยไม่เครียดแล้ว 555
หลังจากนั้นคุณพยาบาลพาเดินมารับยา จ่ายเงิน เสร็จเรียบร้อย ก่อนกลับเราเลยขอถ่ายรูปกับคุณหมอ และคุณพยาบาล และก็ขอบคุณทั้งสองท่านมากๆ ที่ช่วยรับรักษาลูกของเรา ซาบซึ้งใจจริงๆนะคะ ตอนนั้น เพราะเรากังวลมากจากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แล้วแผนการเดินทางเราก็เป็นไปตามที่วางไว้แต่แรก แต่เราก็ยังไม่วางใจนะคะ คอยสังเกตุอาการลูก หาคลินิก โรงพยาบาลเมืองที่จะไปเผื่อไว้ล่วงหน้าตลอด แต่ในที่สุด ทุกอย่างก็ราบรื่นจนจบทริปค่ะ
ส่วนลูกชายหลังจากกลับมาก็หาหมอที่บ้านเรารักษาเป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องอยู่ค่ะ คือมีอาการหลอดลมไว ก็พ่นยากันยาวๆจนทุกวันนี้
ขอบอกก่อนว่า เราไม่ได้มีความรู้เรื่องการหาหมอที่ญี่ปุ่นมากนักนะคะ ส่วนใหญ่ก็หาอ่านจากในนี้บ้าง จากเพจต่างๆ ที่ได้ให้ข้อมูลไว้บ้าง ก็ขอขอบคุณทุกๆท่านเขียนไว้ ให้เราได้มีข้อมูลเมื่อเจอเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ เราเลยอยากแชร์เรื่องของเราไว้บ้าง เผื่อจะเป็นข้อมูลคร่าวๆ ให้ท่านที่อาจจะประสบปัญหาแบบเดียวกันกันเรา ขอบคุณค่ะ