บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-6/49 บ้านนอกหลงกรุง

กระทู้สนทนา


เหลือน้องชายอีกคน คนนี้ได้ชื่อออกแนวสมถะทีเดียว คือเอ็งเหนียม ก็ยังงง ๆ เง็ง ๆอยู่นะว่า ภาษาจีนมีคำว่าเหนียมด้วยเหรอเนี่ย กูรูกูรู้ภาษานี้ช่วยไขหน่อยนะ ส่วนบรรดาพี่น้องผู้หญิงจะไม่เป็นเอ็ง แต่จะเป็นเอี้ยงแทน ไล่ตามลำดับเลยละกัน ฮวง เค็ง ตี แล้วก็น้องสาวคนเดียวของเราได้ชื่อปลาต่อท้ายจึงกลายเป็นเอี้ยงซิว สำหรับคนที่งง ๆ ว่าแล้วคำว่าฟายเนี่ยมันภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอ จะเป็นภาษาจีนได้ไง ก็มีตำนานเล่าว่า เตี่ยเราเป็นคนไปแจ้งเกิดเราที่อำเภอ แล้วเจ้าหน้าที่เค้าฟังคำว่าฮ้วยไม่ออก เลยจดไปจดมา ออกมาเป็นฟายซะเนี่ย นี่มันหลอกด่ากันตั้งแต่อ้อนแต่ออกเลยเหรอฟะ ( ที่จริง ถ้าจะออกเสียงคำว่าฮ้วยให้ถูกต้องตามหลักโฟเนติกจีนโบราณสมัยราชวงศ์ฮั่น ( แน่ ) ต้องเอาลิ้นไต่เพดานเลี่ยไปสามรอบในชั่วเศษหนึ่งส่วนสามสิบวินาที พร้อมกับปล่อยลมออกมาด้วยความเร็วระดับ 6.3 ฟือฟายอน ก็จะได้เสียงออกมาคล้าย ๆ คำว่า ฮว้ายยยย ทีนี้คงเข้าใจและเห็นใจเจ้าหน้าที่แล้วสินะว่า ทำไมถึงบันทึกชื่อเราได้สร้างสรรค์สุด ๆ ขนาดนั้น ขอบคุณ ๆนะ ฮึ่ม สืบได้ว่าเป็นใครล่ะน่าดู๊ )

อ้อ ขอเล่าเกล็ดเรื่องการคลอดน้องชายคนสุดน้องคนนี้หน่อยเถอะ คือก่อนหน้านี้ แม่จะบอกเราตลอดมาเลยว่าเด็กมาจากนกระสาคาบมามั่งล่ะ ออกมาทางสะดือมั่งล่ะ แต่ 555 ด้วยความอยากรู้ เราเลยแอบปีนฝาห้องข้าง ๆ ห้องนอนแม่ ( ที่บ้าน ) เห็นตอนหมอตำแยดึงน้องออกมาจากช่องซาปู๊ดลู้ด เราเลยยูเรก้าในบัดดล ทีนี้ก็ไม่มีใครในโลกหลอกเราได้อีกแล้ว จำได่ว่าตอนคลอด เจ้าน้องชายมันทำท่าเหนียมอายยังไงก็ไม่รู้ สงสัยจะรู้ตัวว่ากำลังโป๊อยู่

ออกทะเลไปเยอะแล้ว กลับเข้าฝั่งเลยแล้วกัน

หลังจากมาอยู่ที่บ้านซอยสว่าง เราก็เศร้า ๆ ซึม ๆ อยู่หลายวันทีเดียว ทั้งคิดถึงแม่ คิดถึงก๊วนแก๊ง แล้วก็บรรยากาศโล่งโปร่งของบ้านนอก ละแวกที่เรามาอยู่เนี่ย เป็นถิ่นคนจีนซะส่วนใหญ่ ตัวบ้านเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ เก่าคร่ำใช้ได้เชียว พอเริ่ม ๆ จะทำใจยอมรับชะตากรรมและปรับตัวได้บ้างแล้ว เราก็เริ่มออกสำรวจแถว ๆ นั้นดู แบบว่าเดินแกร่วไปเรื่อย ๆ เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ แวะร้านนั้นร้านนี้หาขนมอร่อย ๆ กิน ทีนี้ พอจะกลับบ้าน เท่านั้นแหละ งานเข้าทันที มองไปทางไหน ตัวบ้านตัวซอยมันก็คล้าย ๆ กันไปหมด เลยวนไปเวียนมา หลงทางอยู่นานโข กว่าจะหาบ้านตัวเองเจอ ก็เล่นเอาแทบจะถอดใจนั่งร้องไห้ซะแล้วเรา

เนื่องจากใกล้โรงเรียนจะเปิดแล้ว เราที่ปาเข้าไปจะเจ็ดขวบแล้วแต่ยังไม่มีตัวหนังสือตกถึงท้องเลยแม้แต่ตัวเดียว ก็เลยถูกพี่ชาย ( เล้ง ) จับมาติวเข้มภาษาไทยชนิดทั้งวันทั้งคืนโน่นเลย อาศัยว่าเป็นเด็กหัวดีหัวไว ( แอบเนียนอีกแระ ) ก็เลยบรรลุขีดขั้นได้เร็วปานกามนิษฏ์หนุ่ม ที่แน่ ๆ เราต้องติวพูดภาษากลางอีกตะหาก เพราะตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนคลอดแล้วก็โตมาเนี่ย เว้าเป็นแต่อีสานบ้านเฮากับแต้จิ๋วของเตี่ยอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง สุดท้าย ชั่วจันทร์เต็มดวงไม่ถึงสองครั้ง เราก็กลายมาเป็นนักเรียนป.เตรียมของโรงเรียนใกล้บ้านที่มีชื่อว่า คริสต์ธรรมวิทยา ที่นี่เป็นโรงเรียนขนาดย่อม เนื้อที่ราวไร่เดียวมั้ง แต่ว่าใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าเหลือเกิ๊น คือเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้ตรงกลาง ข้างบนเป็นห้องประชุมของโบสถ์สะพานเหลือง รอบ ๆ คืออาคารเรียนสองชั้น ค่อนลึกเข้าไปด้านหลังจะเป็นสนามเด็กเล่น

เราเรียนที่นี่ห้าปี ตั้งแต่ชั้นเตรียมจนจบป.4 ที่เราไม่ผ่านอนุบาล เพราะลองนึกภาพคนวัยเจ็ดขวบใส่กางเกงขาสั้นกับเอี๊ยมสีแดงดูสิ มันจะทุเรศทุรังขนาดไหน เราเลยข้ามชั้นไปใส่กางเกงสีกากีแทนซะเลย ( คนที่บอกว่า ใครที่ไม่ผ่านชั้นอนุบาลจะไม่เก่งและไม่หล่อ อันนี้ก็ขอเถียงใจขาดเลย เอ้า )

ด้วยความที่ภาษากลางยังไม่แข็งแรง เลยซัดภาษาถิ่นเดิมซะส่วนใหญ่ เลยกลายเป็นที่ขบขันของเพื่อน ๆ ตลอด ยิ่งบวกกับชื่อฟรองซั้วฟรองซัวของเราแล้ว ยิ่งขโมยซีนชาวบ้านได้อีกเยอะเลย มีวันนึง ครูให้ร้องเพลงเนื้อหาทำนองที่ว่า " ควาย ๆๆๆๆๆ เจ้าควายมันชอบกินหญ้า ...มันไถนาปลูกข้าวให้เรากิน" แล้วคิดดูละกันว่า เด็กอีสานบ้านนอกอย่างเราจะร้องออกมาในเวอร์ชั่นไหน ( แน่ะ แค่คิดตามก็พอนะ ไม่ต้องร้องออกมาดัง ๆ ก็ได้ )

ผ่านไปชั่วแมวคลอดลูกไปได้สองครอก ภาษากลางของเราก็ค่อย ๆ เติบโตแข็งแรงขึ้น รวมทั้งการปรับตัวเข้ากับเพื่อนพ้องเมืองกรุงก็ดีขึ้นไปด้วยเหมือนกัน ทว่าการเรียนนี่สิ ยังงง ๆ เง็ง ๆ ตามเค้าไม่ทันซักที แต่อัศจรรย์มีจริง ผลสอบเทอมแรกออกมา เราสอบได้ตั้งที่ 43 แพ้คนที่ได้ที่ 44 แค่คนเดียวเอง ตอนแม่มาเยี่ยม เราเอาสมุดพกให้แม่ดูอย่างภาคภูมิ พร้อมบอกกับแม่ว่า " แหมะดูสิ อั๊วสอบได้ที่เกือบเยอะที่สุดในห้องเลยนะ" ( ที่บ้านจะพูดกับแม่กะเตี่ยว่าอั๊ว ) แม่ทำหน้าขำมิออกร้องไห้มิได้ยังไงก็ไม่รู้ วันนั้นเลยเพิ่งจะรู้ว่า ปริมาณตัวเลขเยอะ ๆ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ที่หนึ่งต่างหากคือเป้าหมายที่เราควรไปให้ถึง ( จากนั้นก็ค่อย ๆ เรียนดีขึ้น และสอบได้ที่หนึ่งตอนป.สี่ในที่สุด ประเภทไว้ลายก่อนจบว่างั้นเถอะ )

โรงเรียนนี้มีแนวทางที่แปลกอยู่อย่างคือ มีการประจานและเชิดชูห้องเรียนแต่ละห้องชนิดชัดเจนจะแจ้งจริง ๆ เลย คือห้องไหนคะแนนความสะอาดต่ำในรอบสัปดาห์นั้น หัวหน้าห้องจะต้องเป็นตัวแทนอันภาคภูมิออกไปรับรูปหมูคลุกสิ่งปฏิกูลในเล้า ( ใส่กรอบกระจกอย่างดี ) เพื่อเอาไปแขวนไว้หน้าห้อง เพื่อโพนทะนาให้ชาวโลกได้รู้ว่า คนในห้องนี้รักความสกปรกเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนห้องไหนสะอาดเอี่ยม ก็จะได้แขวนรูปกระต่ายขูดมะพร้าว เอ๊ย กระต่ายสีขาวแทน ( หมายถึงแทนที่นะ ไม่ใช่แทนแบบผิวแทน ) ห้องไหนมาสายกันเยอะก็จะได้รูปเต่าต้วมเตี้ยมเป็นรางวัล ให้ทายว่าถ้ามาเร็วล่ะ จะได้รูปอะไร ใบ้ว่าไม่ใช่ซูเปอร์แมนลิงแดงหรอก เฉลยเลยดีกว่า เสือโคร่งไงล่ะเด็ก ๆ ถามว่าทำแบบนี้แล้วได้ผลมั้ย เท่าที่จำได้ ก็โอเคแหละ เพราะใครมันจะอยากโดนห้องอื่นล้อเลียนอยู่ทุกวี่ทุกวันล่ะ จริงมั้ย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่