บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-5/49 เด็กบ้านนอกเข้ากรุง

กระทู้สนทนา


จำได้ว่าก่อนจะผล็อยไปด้วยความอ่อนล้า ทั้งจากความเศร้าเสียใจ ผิดหวัง งุนงง หวาดกลัว เราเนี่ยแหกปากร้องอยู่ในรถมาตลอดตั้งแต่ล้อยังไม่เริ่มหมุนด้วยซ้ำ เดาว่าเตี่ยคงจะเอามือมาปิดปากหรือหาอะไรมาปิดวอลุ่มเราด้วยแน่ ๆเลย (เอาไว้ไปสวรรค์แล้วจะไปถามเตี่ยดูให้แน่ใจอีกทีนะ ) แหง่ววววว ตัดชับร่นระยะทางจาก 700 กว่ากิโล มาที่ช็อตเคลื่อนเข้าสู่ธรณีประตูเมืองฟ้าอมรกันเลยดีกว่า ลาง ๆว่าตื่นขึ้นมาตอนฟ้ายังไม่สว่างดี ก็เห็นแสงไฟหลากสีจากเสาริมทางและตึกรามน้อยใหญ่ อุแม่เจ้า นี่เป็นที่อันใดกันแน่ นี่มันเหมือนภาพในหนังที่เราเคยเห็นมันห้อมล้อมมิตร ชัยบัญชานี่นา ช่างโอ่อ่าตระการตามลังเมลืองวิบวับจรัสจ้ามายาอะฮู้ตะหนิวติ้วอะไรเช่นนี้ อาการตื่นกรุงก็คงเป็นเช่นนี้นี่เอง

จะว่านี่เป็นการเข้ากรุงครั้งแรกก็ไม่เชิงซะทีเดียว เพราะก่อนหน้านั้นราวสองปี แม่เคยพาเรามาครั้งนึงแล้ว แต่ตอนนั้นนั่งรถไฟมาด้วยความสมัครใจ เลยหลับพริ้มฟังเสียงกระฉึกระฉักขับกล่อมมาตลอดทางรางเหล็ก แหกขี้ตาตื่นมาก็หัวลำโพง สว่างจ้าแจ่มแจ้งแล้ว ตอนนั้นมาทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เลา ๆ ว่าช็อตแรก หลังจากเคาะประตูไม้สีฟ้าบานเล็กเลขที่ 577 ซอยสว่าง 5 พระราม 4 บางรัก กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ ( ขี้เกียจพิมพ์ รบกวนไปเปิดเพลงพี่ป้อม อัสนีฟังเอาแล้วกันนะ ) สักพัก ประตูน้อยก็เปิดออก เด็กผู้ชายวัยราวเจ็ดขวบ ผิวพรรณหน้าตาค่อนไปทางบวก ละม้ายคล้ายคลึงกับเรายืนอยู่ตรงหน้า แล้วฉากสนทนาแปลก ๆ แบบนี้ก็เริ่มขึ้น

เด็กชาย : อ้าว หวัดดีแหมะ นี่ใครอะ ( ชำเลืองสายตาหมิ่น ๆ มาทางเด็กบ้านนอก )
แม่ : นี่ก็ฮ้วย น้องชายของลื้อไง
เด็กชาย : อ๋อเหรอ ( ส่งรังสีเหยียดหมิ่นเพิ่มขึ้นอีก 6.7 ยิงยาโซ เล่นเอาเราปุยหิมะจับขั้วหัวใจทีเดียว )
โปรดอ่านคำบรรยายใต้เรื่อง ( เพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม )

คืองี้นะ พี่ชายเราที่ชื่อเลี้ยงคนนี้เค้ามาอยู่กับแม่เลี้ยงที่กรุงเทพ ฯตั้งแต่เด็ก เลยไม่ค่อยได้เจอแม่ และไม่เคยเห็นหน้าเราด้วย ........มั้ง แม่เลี้ยงนี่เป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นเมียเตี่ยตั้งแต่อยู่ที่นั่น ตอนจีนเป็นคอมมิวนิสต์ เตี่ยก็ย้ายหนีออกมาก่อนหรือพลัดพรากกันนี่หละ เตี่ยหอบเสื่อผืนกะหมอนสองใบ ( เผื่อหาย ) ข้ามน้ำข้ามทะเลและข้ามธรณีประตูสยามประเทศเข้ามาระหกระเหินหากินไปทั่ว เป็นตั้งแต่จับกังแบกข้าวสาร สุดท้ายไปเจอแม่เราที่น้ำพอง อุดรธานี แต่งงานกันแล้วย้ายมาค้าขายที่สกลนครอีกที ฟ้าผ่าเปรี้ยง งานเข้า ตอนหลัง แม่เลี้ยงกับลูก ๆ ก็ไหลตามเข้ามาพึ่งผืนดินไทยอีกชุดนึง แล้วจากนั้นก็เป็นไปตามเพลง แหละเราก็หากันจนเจอ แม่เราเลยตกจากบัลลังก์ซ้อ 1 มาเป็นซ้อ 2 โดยปริตา เอ๊ยยาย แล้วเตี่ยเลยให้ซ้อ 1 กับลูก ๆ ไปอยู่ที่บ้านเช่าประตูสีฟ้าหลังเมื่อกี้นี้ แล้วก็เอาพี่ชายที่ชื่อเลี้ยงของเรามาอยู่กับแม่เลี้ยง และพี่ ๆ เลี้ยง พี่น้องต่างท้องมารดาที่นี่ และจึงเป็นที่มาของฉากสนทนาอันพิลึกพิลั่นในสิบบรรทัดข้างบนนี้

พูดถึงชื่อพี่ชายไปแล้ว ขอร่ายสั้นเรื่องชื่อพวกเรากันสักนิดเถอะนะ พี่ชายเราคนที่ว่าเนี่ยชื่อเล่นว่าเลี้ยง ชื่อจริงคือ เอ็งเลี้ยง ( โดนเพื่อนล้อทุกครั้งที่ไปกินข้าว เพราะเพื่อนจะบอกว่า " เฮ้ย เอ็งเลี้ยง ) พอบรรลุนิติภาวะปุ๊บ ก็ไปกางเต็นท์รอหน้าอำเภอบางรักปั๊บเลย แบบว่าอยากเปลี่ยนชื่อเต็มทีทีเดียวเชียว พอประตูเปิดก็เหาะเข้าไปยืนบนโต๊ะเสมียนปานนั้นเลย เดาว่าเพราะเตี่ยมาจากเมืองเอ็ง ก็เลยตั้งชื่อลูกชายเป็นเอ็งไว้ระลึกถึงบ้านเก่าเมืองเกิดนั่นล่ะ.....มั้ง

พี่ชายคนโตได้ชื่อเอ็งอู๋ไปครองด้วยน้ำตาเล็ด คนถัดมาได้ เอ็งเล้ง ( มังกร ) ไปเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยความปลาบปวด เอ็งทิว ( ฟังดูไทยหน่อย ) เอ็งเลี้ยง แล้วก็ ( เสียงรัวกลอง....) แฉ่ มาถึงชื่อที่ฟังดูฟรองซัวยังไงก็ไม่รู้ ใช่แล้ว ชื่อของเราเอง " เอ็งฟาย " แน่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้กันหมดแล้วสิว่า พรรคพวกเพื่อนฝูงจะล้อเราว่าไง นั่นล่ะใช่เลย แล้วก็เป็นลักปิดลักเปิดไปหลายคนแล้วด้วย ( ประเภทเลือดออกตามไรฟันและง่ามมือง่ามเท้า แถมบางครั้งมีอาการแสลงข้างเคียงคือตาเขียวซ้ำอีกตะหาก 555 ดุนะเฟ้ยยยย ขอบอก )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่