สุพรรณบุรี เอฟซี
(credit : suphan.biz)
ถ้าจะพูดถึงทีมที่มีวิวัฒนาการที่ดี ที่สามารถพัฒนาทีมขึ้นมาเพื่อจะอยู่ในทีมระดับท็อปของไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เท่าที่ผมคิดออกก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงทีมนี้
สุพรรณบุรี เอฟซี
ประวัติโดยย่อของสโมสรแห่งนี้ เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ในนามของ "
สโมสรฟุตบอลจังหวัดสุพรรณบุรี" ซึ่งเอาจริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยแม่นข้อมูลว่า สโมสรแห่งนี้เริ่มเตะในระดับอาชีพที่รายการแข่งขันไหนก่อน เพราะพยายามหาข้อมูลในระดับถ้วยพระราชทาน ง, ค, ข แล้ว แต่ว่าก็ไม่พบแต่อย่างใด จะเจอโผล่มาอีกที ก็จะพบสโมสรแห่งนี้ อยู่ในรายการ "
โปรวินเชียลลีก ฤดูกาล 2542/2543" แล้ว
โดยในยุคเริ่มแรกได้
คุณเกรียง นักพาณิชย์ มาเป็นผู้จัดการทีม และ
อาจารย์ชนะ ยอดปรางค์ เป็นผู้ฝึกสอน
เกรียง นักพาณิชย์
(credit : oocities.org)
อาจารย์ชนะ ยอดปรางค์
(credit : siamsport.co.th)
อีกทั้งยังมีนักเตะฝีเท้าดี ๆ อยู่ในทีมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
มานิตย์ น้อยเวช ซึ่งรับใช้สโมสรไปทั้งสิ้น 108 นัด ซัดไป 57 ประตู, คำภีร์ ปิ่นฑะกูล, เบคเค่นบาวน์ เสืออินทร์, ประเสริฐ ช้างมูล, กฤษณะ ภูผา และอื่น ๆ อีกมากมาย .
โดยในการแข่งขันระดับโปรวินเชี่ยนลีกครั้งแรกของสโมสรแห่งนี้ อย่างที่ผมได้กล่าวไว้แล้วด้านบน ก็คือในฤดูกาล 2542/2543 ซึ่งพวกเขาสามารถจบอันดับที่ 2 เป็นรองแชมป์ที่มีแต้มห่างจากแชมป์อย่างศรีสะเกษเพียง 1 คะแนนเท่านั้น และเป็นทีมอันดับหนึ่งที่สามารถทำประตูในฤดูกาลเดียวกันได้ถึง 63 ประตู นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับสโมสรแห่งนี้
มานิตย์ น้อยเวช
(credit : siamsport.co.th)
ต่อมา ในศึก
โปรวินเชียลลีก 2544 พวกเขาก็ยังรักษามาตรฐานได้ ถึงแม้จะน่าผิดหวังที่ไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ได้ตำแหน่งรองแชมป์ไปอีกหนึ่งสมัย จนในฤดูกาลต่อมา
โปรวินเชียลลีก 2545 ความฝันของพวกเขาตลอด 5 ปีก็เป็นจริงขึ้นมา เมื่อจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์โปรวินเชียลลีก 2545 มาครองเป็นสมัยแรก โดยที่สโมสรก็ยังรักษามาตรฐานการยิงประตูได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเป็น
แชมป์สาย B ยิงไป 30 ประตู เสียเพียง 9 ประตู ก่อนที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 6 ทีมสุดท้าย (พบกันหมด) ก็ยังรักษามาตรฐานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยการยิงไป 31 ประตู เสีย 12 ประตู เก็บ 22 แต้ม คว้าแชมป์โปรวินเชียลลีก 2545 ได้สำเร็จ
พอมาในปี พ.ศ. 2546
สโมสรฟุตบอลจังหวัดสุพรรณบุรี ได้เปลี่ยนชื่อเพื่อลงการแข่งขันในรายการโปรวินเชียลลีกเป็น "
สุพรรณบุรี วอริเออร์" ตามฝ่ายจัดการแข่งขันกำหนดไว้ และพวกเขาก็เกือบที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 2 แต่พลาดท่าเสียแชมป์ให้กับ
นครสวรรค์ ไลอ้อน ไปด้วยคะแนนต่างกันเพียง 1 คะแนนเท่านั้น
ในปี พ.ศ. 2547 พวกเขาก็กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในโปรวินเชียลลีกอีกครั้ง ด้วยการเถลิงบัลลังก์สมัยที่ 2 และเป็นการแก้แค้นนครสวรรค์ ไลอ้อน ที่ไล่ตามมาเป็นอันดับที่ 2 เก็บแชมป์สมัยที่ 2 มาครองได้อย่างสวยงาม
จุดพลิกผันมาอยู่ในปีต่อมา เมื่อแชมป์และรองแชมป์
โปรวินเชียลลีก 2548 จะได้สิทธิ์ไปเล่นใน "
ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2549" ซึ่งสโมสรแห่งนี้ก็ไม่ทำให้แฟนบอลชาวสุพรรณผิดหวัง จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ กอดคอ
ชลบุรี ชาร์ค ขึ้นสู่ระดับไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา รวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาราว 9 ปีในการพาทีมเข้าสู่ลีกระดับสูงสุดของประเทศ
โดยใน
ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2549 พวกเขาได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งจาก
สุพรรณบุรี วอริเออร์ เป็น
สโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี แต่พวกเขาก็ทำผลงานได้น่าผิดหวังเมื่อจบฤดูกาลที่อันดับสุดท้ายของตาราง เก็บได้เพียง 16 แต้มจาก 22 นัด แต่ยังโชคดีที่ในปีนันไม่มีการตกชั้นในระดับนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สร้างดาวยิงในฤดูกาลนี้ได้ คือ
ธงไชย รัฐไชย ที่ยิงไป 8 ประตู ติดอันดับ 3 ดาวซัลโว และ 1 ใน 10 แข้งแห่งปี ในฤดูกาลดังกล่าวด้วย
ธงไชย รัฐไชย
(credit : siamsport.co.th)
และฤดูกาลถัดมา
ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2550 พวกเขาก็ยังทำผลงานได้ย่ำแย่ ด้วยการจบฤดูกาลด้วยอันดับ 13 ตกชั้นไปเล่นในระดับดิวิชั่น 1 นับเป็นการตกชั้นครั้งแรกจากลีกสูงสุดของประเทศ และในระดับดิวิชั่น 1 พวกเขาก็ยังทำผลงานได้ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ดังนี้
ไทยลีกดิวิชั่น 1 2551 - จบด้วยอันดับ 7
ไทยลีกดิวิชั่น 1 2552 - จบด้วยอันดับ 12
ไทยลีกดิวิชั่น 1 2553 - จบด้วยอันดับ 15 ซึ่งอยู่ในโซนตกชั้น แต่ด้วยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้เพิ่มจำนวนทีมที่เข้าร่วมไทยแลนด์ลีกดิวิชัน 1 จึงให้อันดับ 13-16 ในไทยลีกดิวิชั่น 1 ไปเพลย์ออฟกับทีมที่ขึ้นมาจากในระดับดิวิชั่น 2 ซึ่งสุพรรณบุรี เอฟซี ก็สามารถที่จะเอาชนะ กัลฟ์ สระบุรี ไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 ประคองตัวเล่นในไทยลีกดิวิชั่น 1 ต่อไป
ต่อมาใน พ.ศ. 2554 ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่นั้น
สุพรรณบุรี เอฟซี ก็พบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง เมื่อ
นายบรรหาร ศิลปอาชา ตอบรับเทียบเชิญ จาก
บุญชู จันทร์สุวรรณ ให้เข้ามารับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี โดยที่มีการมอบหมายให้ "
ท๊อป"
วราวุธ ศิลปอาชา เข้ามาเป็นประธานสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี และใช้
สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นสนามเหย้า แทนสนามเดิมคือ
สนามโรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี
บรรหาร ศิลปอาชา
(credit : web2990.com)
วราวุธ ศิลปอาชา
(credit : thairath.co.th)
แต่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ตาม
สุพรรณบุรี เอฟซี ก็ยังไม่อาจที่จะกลับไปสู่ลีกสูงสุดของประเทศในปีนี้ได้ จบในอันดับที่ 10 ของตารางแต่ก็ถือว่าเป็นการทำผลงานที่ดี ถ้านับจากที่ต้องหนีตกชั้นในฤดูกาลก่อน ก่อนที่ในฤดูกาล 2555 พวกเขาก็เริ่ม "
แผลงฤทธิ์" อาจจะด้วยการเติมเต็มของ "
ลูกมังกรแห่งสุพรรณ" วราวุธ ศิลปอาชา ที่นำเอาการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ บวกกับทรัพยากรบุคคล และ ทุนทรัพย์ ที่ผลักดันให้ "
ช้างศึก" ตัวนี้ผงาดกลับขึ้นไปสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง ด้วยการจบอันดับที่ 2 ไทยลีกดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2555
โดยในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2556 ภายใต้การบริหารทีมของ
วราวุธ ศิลปอาชา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม จาก
วรวุฒิ ศรีมะฆะ ที่ประกาศลาออก มาเป็น
พยงค์ ขุนเณร บวกกับนักเตะต่างชาติตัวกลั่น อย่าง บีเรเม ดียุฟ, ดราแกน บอสโควิช, เอ็นจี ดีวีเน, คิม แท ยัง และยังมีนักเตะไทยที่เล่นได้โดดเด่น อย่าง วุฒิชัย ทาทอง, สุชนม์ สงวนดี ฯลฯ ช่วยกัน "
แผลงฤทธิ์"
จนเกือบที่จะจบอันดับที่ 3 ในปีนั้นได้ไปเล่น AFC Champion League 2014 รอบคัดเลือก แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาทำได้แค่อันดับที่ 4 มีแต้มห่างจากอันดับ 3 อย่างชลบุรี เอฟซี เพียงแค่ 4 คะแนน พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
พยงค์ ขุนเณร
(credit : goal.com)
ในฤดูกาล 2557 ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมอีกครั้ง เมื่อ
พยงค์ ขุนเณร ได้หมดสัญญาลง เปลี่ยนมาเป็น
มาโน โพลกิง ก่อนที่จะมีการปลด
มาโน โพลกิง ในช่วงเดือน พ.ค. 2557 และมาใช้บริการของ
เวลิซาร์ โปปอฟ กุนซือชาวบัลแกเรีย และได้
ภานุพงษ์ วงศ์ษา ขึ้นมารับบทกัปตันทีมช้างศึกยุทธหัตถีอีกด้วย แต่ผลงานก็ยังไม่ได้ดั่งใจเมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 เท่านั้น
เวลิซาร์ โปปอฟ
(credit : goal.com)
ภานุพงษ์ วงศ์ษา
(credit : goal.com)
ในฤดูกาลนี้ (พ.ศ. 2558) พวกเขาหมายมั่นปั้นมือที่จะเป็นทีมในระดับแถวหน้าของไทยลีกให้ได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก
เวลิซาร์ โปปอฟ ที่หมดสัญญา มาเป็น
เซอร์จิโอ ฟาริอาส กุนซือชาวบราซิลเลี่ยน อดีตโค้ชโปฮัง สตีลเลอร์ ชุดคว้าแชมป์ AFC Champion League 2009 ยอดทีมจากเกาหลีใต้ รวมถึงการระเบิดฟอร์มในช่วงต้นฤดูกาลของ "
JP7"
จักรพันธ์ พรใส ปีกความเร็วสูงที่ซัดให้ทีมช้างศึกยุทธหัตถีไปแล้ว 7 ประตู จาก 10 นัดที่ผ่านมา, การมาเติมเต็มแนวรับ อย่าง
ประทุม ชูทอง แนวรับดีกรีทีมชาติไทย บวกกับ
มาร์ซิโอ โรซาริโอ ปราการหลังชาวบราซิลที่โชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่น อีกทั้งอาวุธหนัก อย่าง
อันเดร หลุยส์ ไลเต้ เพชรฆาตชาวบราซิลที่กำลังอยู่ในช่วงปรับจูนอยู่
รวมถึง "
สมบัติของผู้หญิงไทยทั้งประเทศ" อย่าง
ชาริล ซัปปุยส์ พ่อหนุ่มหน้ามนคนสวิตเซอร์แลนด์/ไทย ที่ทำผลงานได้ดีในศึก AFF Suzuki Cup 2014 และ เอเชี่ยนเกมส์ 2014 แต่น่าเสียดายที่ได้รับบาดเจ็บเข่าจนต้องเข้ารับการผ่าตัด ทำให้ไม่สามารถที่จะรับใช้ต้นสังกัดได้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า จอมทัพวัย 22 ปี จะกลับมาประจำการเพื่อเป็นอีกหนึ่งขุมกำลังของสุพรรณบุรี เอฟซี ได้ในเร็ววันนี้
เซอร์จิโอ ฟาริอาส
(credit : goal.com)
ชาริล ชัปปุยส์
(credit : tlcthai.com)
ด้วยผู้เล่นขนาดนี้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมที่มีประสบการณ์ในระดับเอเซีย เชื่อเหลือเกินว่า
สุพรรณบุรี เอฟซี คงไม่ได้หวังแค่ "
อันดับกลางตาราง" ในปีนี้อย่างแน่นอน ดูสรรพกำลังต่าง ๆ ของทีมช้างศึกยุทธหัตถีแล้ว บอกได้เลยว่า "
เป็นอีกหนึ่งทีมที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง" ในฤดูกาลนี้
และแม้ว่า "
ช้างศึกยุทธหัตถี" จะไม่ได้เป็นทีมระดับตำนาน ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ทีมเหมือนอย่างหลาย ๆ ทีม แต่ผมเชื่อลึก ๆ ว่าพวกเขาพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองนับจากนาทีนี้เป็นต้นไป เพื่อไปสู่ "
ทีมระดับตำนานของไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" อย่างแน่นอน
ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ปอปฏิเวธ
สุพรรณบุรี เอฟซี : ช้างศึกยุทธหัตถีกับการพิสูจน์ตัวเองในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก
สุพรรณบุรี เอฟซี
(credit : suphan.biz)
ถ้าจะพูดถึงทีมที่มีวิวัฒนาการที่ดี ที่สามารถพัฒนาทีมขึ้นมาเพื่อจะอยู่ในทีมระดับท็อปของไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เท่าที่ผมคิดออกก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงทีมนี้ สุพรรณบุรี เอฟซี
ประวัติโดยย่อของสโมสรแห่งนี้ เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ในนามของ "สโมสรฟุตบอลจังหวัดสุพรรณบุรี" ซึ่งเอาจริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยแม่นข้อมูลว่า สโมสรแห่งนี้เริ่มเตะในระดับอาชีพที่รายการแข่งขันไหนก่อน เพราะพยายามหาข้อมูลในระดับถ้วยพระราชทาน ง, ค, ข แล้ว แต่ว่าก็ไม่พบแต่อย่างใด จะเจอโผล่มาอีกที ก็จะพบสโมสรแห่งนี้ อยู่ในรายการ "โปรวินเชียลลีก ฤดูกาล 2542/2543" แล้ว
โดยในยุคเริ่มแรกได้ คุณเกรียง นักพาณิชย์ มาเป็นผู้จัดการทีม และ อาจารย์ชนะ ยอดปรางค์ เป็นผู้ฝึกสอน
เกรียง นักพาณิชย์
(credit : oocities.org)
อาจารย์ชนะ ยอดปรางค์
(credit : siamsport.co.th)
อีกทั้งยังมีนักเตะฝีเท้าดี ๆ อยู่ในทีมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น มานิตย์ น้อยเวช ซึ่งรับใช้สโมสรไปทั้งสิ้น 108 นัด ซัดไป 57 ประตู, คำภีร์ ปิ่นฑะกูล, เบคเค่นบาวน์ เสืออินทร์, ประเสริฐ ช้างมูล, กฤษณะ ภูผา และอื่น ๆ อีกมากมาย .
โดยในการแข่งขันระดับโปรวินเชี่ยนลีกครั้งแรกของสโมสรแห่งนี้ อย่างที่ผมได้กล่าวไว้แล้วด้านบน ก็คือในฤดูกาล 2542/2543 ซึ่งพวกเขาสามารถจบอันดับที่ 2 เป็นรองแชมป์ที่มีแต้มห่างจากแชมป์อย่างศรีสะเกษเพียง 1 คะแนนเท่านั้น และเป็นทีมอันดับหนึ่งที่สามารถทำประตูในฤดูกาลเดียวกันได้ถึง 63 ประตู นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับสโมสรแห่งนี้
มานิตย์ น้อยเวช
(credit : siamsport.co.th)
ต่อมา ในศึกโปรวินเชียลลีก 2544 พวกเขาก็ยังรักษามาตรฐานได้ ถึงแม้จะน่าผิดหวังที่ไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ได้ตำแหน่งรองแชมป์ไปอีกหนึ่งสมัย จนในฤดูกาลต่อมาโปรวินเชียลลีก 2545 ความฝันของพวกเขาตลอด 5 ปีก็เป็นจริงขึ้นมา เมื่อจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์โปรวินเชียลลีก 2545 มาครองเป็นสมัยแรก โดยที่สโมสรก็ยังรักษามาตรฐานการยิงประตูได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเป็นแชมป์สาย B ยิงไป 30 ประตู เสียเพียง 9 ประตู ก่อนที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 6 ทีมสุดท้าย (พบกันหมด) ก็ยังรักษามาตรฐานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยการยิงไป 31 ประตู เสีย 12 ประตู เก็บ 22 แต้ม คว้าแชมป์โปรวินเชียลลีก 2545 ได้สำเร็จ
พอมาในปี พ.ศ. 2546 สโมสรฟุตบอลจังหวัดสุพรรณบุรี ได้เปลี่ยนชื่อเพื่อลงการแข่งขันในรายการโปรวินเชียลลีกเป็น "สุพรรณบุรี วอริเออร์" ตามฝ่ายจัดการแข่งขันกำหนดไว้ และพวกเขาก็เกือบที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 2 แต่พลาดท่าเสียแชมป์ให้กับ นครสวรรค์ ไลอ้อน ไปด้วยคะแนนต่างกันเพียง 1 คะแนนเท่านั้น
ในปี พ.ศ. 2547 พวกเขาก็กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในโปรวินเชียลลีกอีกครั้ง ด้วยการเถลิงบัลลังก์สมัยที่ 2 และเป็นการแก้แค้นนครสวรรค์ ไลอ้อน ที่ไล่ตามมาเป็นอันดับที่ 2 เก็บแชมป์สมัยที่ 2 มาครองได้อย่างสวยงาม
จุดพลิกผันมาอยู่ในปีต่อมา เมื่อแชมป์และรองแชมป์ โปรวินเชียลลีก 2548 จะได้สิทธิ์ไปเล่นใน "ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2549" ซึ่งสโมสรแห่งนี้ก็ไม่ทำให้แฟนบอลชาวสุพรรณผิดหวัง จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ กอดคอ ชลบุรี ชาร์ค ขึ้นสู่ระดับไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา รวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาราว 9 ปีในการพาทีมเข้าสู่ลีกระดับสูงสุดของประเทศ
โดยใน ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2549 พวกเขาได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งจาก สุพรรณบุรี วอริเออร์ เป็น สโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี แต่พวกเขาก็ทำผลงานได้น่าผิดหวังเมื่อจบฤดูกาลที่อันดับสุดท้ายของตาราง เก็บได้เพียง 16 แต้มจาก 22 นัด แต่ยังโชคดีที่ในปีนันไม่มีการตกชั้นในระดับนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สร้างดาวยิงในฤดูกาลนี้ได้ คือ ธงไชย รัฐไชย ที่ยิงไป 8 ประตู ติดอันดับ 3 ดาวซัลโว และ 1 ใน 10 แข้งแห่งปี ในฤดูกาลดังกล่าวด้วย
ธงไชย รัฐไชย
(credit : siamsport.co.th)
และฤดูกาลถัดมา ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2550 พวกเขาก็ยังทำผลงานได้ย่ำแย่ ด้วยการจบฤดูกาลด้วยอันดับ 13 ตกชั้นไปเล่นในระดับดิวิชั่น 1 นับเป็นการตกชั้นครั้งแรกจากลีกสูงสุดของประเทศ และในระดับดิวิชั่น 1 พวกเขาก็ยังทำผลงานได้ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ดังนี้
ไทยลีกดิวิชั่น 1 2551 - จบด้วยอันดับ 7
ไทยลีกดิวิชั่น 1 2552 - จบด้วยอันดับ 12
ไทยลีกดิวิชั่น 1 2553 - จบด้วยอันดับ 15 ซึ่งอยู่ในโซนตกชั้น แต่ด้วยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้เพิ่มจำนวนทีมที่เข้าร่วมไทยแลนด์ลีกดิวิชัน 1 จึงให้อันดับ 13-16 ในไทยลีกดิวิชั่น 1 ไปเพลย์ออฟกับทีมที่ขึ้นมาจากในระดับดิวิชั่น 2 ซึ่งสุพรรณบุรี เอฟซี ก็สามารถที่จะเอาชนะ กัลฟ์ สระบุรี ไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 ประคองตัวเล่นในไทยลีกดิวิชั่น 1 ต่อไป
ต่อมาใน พ.ศ. 2554 ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่นั้น สุพรรณบุรี เอฟซี ก็พบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง เมื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา ตอบรับเทียบเชิญ จากบุญชู จันทร์สุวรรณ ให้เข้ามารับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี โดยที่มีการมอบหมายให้ "ท๊อป" วราวุธ ศิลปอาชา เข้ามาเป็นประธานสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี และใช้สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นสนามเหย้า แทนสนามเดิมคือสนามโรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี
บรรหาร ศิลปอาชา
(credit : web2990.com)
วราวุธ ศิลปอาชา
(credit : thairath.co.th)
แต่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ตาม สุพรรณบุรี เอฟซี ก็ยังไม่อาจที่จะกลับไปสู่ลีกสูงสุดของประเทศในปีนี้ได้ จบในอันดับที่ 10 ของตารางแต่ก็ถือว่าเป็นการทำผลงานที่ดี ถ้านับจากที่ต้องหนีตกชั้นในฤดูกาลก่อน ก่อนที่ในฤดูกาล 2555 พวกเขาก็เริ่ม "แผลงฤทธิ์" อาจจะด้วยการเติมเต็มของ "ลูกมังกรแห่งสุพรรณ" วราวุธ ศิลปอาชา ที่นำเอาการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ บวกกับทรัพยากรบุคคล และ ทุนทรัพย์ ที่ผลักดันให้ "ช้างศึก" ตัวนี้ผงาดกลับขึ้นไปสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง ด้วยการจบอันดับที่ 2 ไทยลีกดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2555
โดยในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2556 ภายใต้การบริหารทีมของ วราวุธ ศิลปอาชา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม จาก วรวุฒิ ศรีมะฆะ ที่ประกาศลาออก มาเป็น พยงค์ ขุนเณร บวกกับนักเตะต่างชาติตัวกลั่น อย่าง บีเรเม ดียุฟ, ดราแกน บอสโควิช, เอ็นจี ดีวีเน, คิม แท ยัง และยังมีนักเตะไทยที่เล่นได้โดดเด่น อย่าง วุฒิชัย ทาทอง, สุชนม์ สงวนดี ฯลฯ ช่วยกัน "แผลงฤทธิ์" จนเกือบที่จะจบอันดับที่ 3 ในปีนั้นได้ไปเล่น AFC Champion League 2014 รอบคัดเลือก แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาทำได้แค่อันดับที่ 4 มีแต้มห่างจากอันดับ 3 อย่างชลบุรี เอฟซี เพียงแค่ 4 คะแนน พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
พยงค์ ขุนเณร
(credit : goal.com)
ในฤดูกาล 2557 ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมอีกครั้ง เมื่อ พยงค์ ขุนเณร ได้หมดสัญญาลง เปลี่ยนมาเป็น มาโน โพลกิง ก่อนที่จะมีการปลด มาโน โพลกิง ในช่วงเดือน พ.ค. 2557 และมาใช้บริการของ เวลิซาร์ โปปอฟ กุนซือชาวบัลแกเรีย และได้ ภานุพงษ์ วงศ์ษา ขึ้นมารับบทกัปตันทีมช้างศึกยุทธหัตถีอีกด้วย แต่ผลงานก็ยังไม่ได้ดั่งใจเมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 เท่านั้น
เวลิซาร์ โปปอฟ
(credit : goal.com)
ภานุพงษ์ วงศ์ษา
(credit : goal.com)
ในฤดูกาลนี้ (พ.ศ. 2558) พวกเขาหมายมั่นปั้นมือที่จะเป็นทีมในระดับแถวหน้าของไทยลีกให้ได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก เวลิซาร์ โปปอฟ ที่หมดสัญญา มาเป็น เซอร์จิโอ ฟาริอาส กุนซือชาวบราซิลเลี่ยน อดีตโค้ชโปฮัง สตีลเลอร์ ชุดคว้าแชมป์ AFC Champion League 2009 ยอดทีมจากเกาหลีใต้ รวมถึงการระเบิดฟอร์มในช่วงต้นฤดูกาลของ "JP7" จักรพันธ์ พรใส ปีกความเร็วสูงที่ซัดให้ทีมช้างศึกยุทธหัตถีไปแล้ว 7 ประตู จาก 10 นัดที่ผ่านมา, การมาเติมเต็มแนวรับ อย่าง ประทุม ชูทอง แนวรับดีกรีทีมชาติไทย บวกกับ มาร์ซิโอ โรซาริโอ ปราการหลังชาวบราซิลที่โชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่น อีกทั้งอาวุธหนัก อย่าง อันเดร หลุยส์ ไลเต้ เพชรฆาตชาวบราซิลที่กำลังอยู่ในช่วงปรับจูนอยู่
รวมถึง "สมบัติของผู้หญิงไทยทั้งประเทศ" อย่าง ชาริล ซัปปุยส์ พ่อหนุ่มหน้ามนคนสวิตเซอร์แลนด์/ไทย ที่ทำผลงานได้ดีในศึก AFF Suzuki Cup 2014 และ เอเชี่ยนเกมส์ 2014 แต่น่าเสียดายที่ได้รับบาดเจ็บเข่าจนต้องเข้ารับการผ่าตัด ทำให้ไม่สามารถที่จะรับใช้ต้นสังกัดได้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า จอมทัพวัย 22 ปี จะกลับมาประจำการเพื่อเป็นอีกหนึ่งขุมกำลังของสุพรรณบุรี เอฟซี ได้ในเร็ววันนี้
เซอร์จิโอ ฟาริอาส
(credit : goal.com)
ชาริล ชัปปุยส์
(credit : tlcthai.com)
ด้วยผู้เล่นขนาดนี้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมที่มีประสบการณ์ในระดับเอเซีย เชื่อเหลือเกินว่า สุพรรณบุรี เอฟซี คงไม่ได้หวังแค่ "อันดับกลางตาราง" ในปีนี้อย่างแน่นอน ดูสรรพกำลังต่าง ๆ ของทีมช้างศึกยุทธหัตถีแล้ว บอกได้เลยว่า "เป็นอีกหนึ่งทีมที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง" ในฤดูกาลนี้
และแม้ว่า "ช้างศึกยุทธหัตถี" จะไม่ได้เป็นทีมระดับตำนาน ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ทีมเหมือนอย่างหลาย ๆ ทีม แต่ผมเชื่อลึก ๆ ว่าพวกเขาพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองนับจากนาทีนี้เป็นต้นไป เพื่อไปสู่ "ทีมระดับตำนานของไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก" อย่างแน่นอน
ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ปอปฏิเวธ