วันเสาร์ไปดู Full Matchs ย้อนหลังลิเวอร์พูลช่วงปี 2012-2014 ก็อยากเล่า
ถึงจะยาวแต่แบ่งให้อ่านง่ายนะ ลองอ่านแล้วนึกถึงช่วงนั้นดู
หลุยส์ ซัวเรส จุดเด่น คือ
1. เวลาได้บอลจะพลิกตัวเลี้ยงผ่านทันที ถ้ากองหลังเข้าพรวดก็จะหลุดไปง่ายๆ
2. พุ่งเข้าหาประตูทันที เมื่อเพื่อนยิง เพื่อรอจังหวะซ้ำถ้าผู้รักษาประตูรับไม่ติดมือ
3. หาตำแหน่งได้ดี ทำให้เพื่อนจ่ายง่าย แต่ถ้าตัวเองหลุดไปแล้ว โดยที่เพื่อนอยู่ตำแหน่งดีกว่าก็พร้อมจ่าย
คุณสมบัติเล่านี้แกก็เป็นกองหน้าระดับโลกแน่นอน แต่ไม่ใช่ระดับ "บัลลง ดอร์" ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด
ส่วนลูกหยอดเสาไกลที่เห็นแกได้ "แอสซิสต์" บ่อยๆ นั้นคือ เกมหนึ่งแกทำบ่อยมาก จะเรียกว่าทีเด็ดก็ไม่ได้
จุดด้อย คือ เจอกองหลังที่นิ่งๆที่ไม่รีบเข้าแย่ง ต่อให้เป็นดาวรุ่งแกก็ผ่านไม่ได้
พอผ่านไม่ได้ก็หงุดหงิดไปจงใจทำร้ายร่างกายเขา หรือพูดทำร้ายจิตใจ
ตัวอย่างกองหลังที่ "ซัวเรส" ชนะทาง ซิลแวน ดิสแตง, ดาวิด หลุยส์
ตัวอย่างกองหลังที่ "ซัวเรส" แพ้ทาง อิวาโนวิช, โลร็อง โกเซียลนิ
ฤดูกาล 2010-2011 ย้ายสู่ทีมลิเวอร์พูล
หลังจากที่ลิเวอร์พูลตกไปอยู่อันดับ 13 หลังผ่านไป 21 นัด จึงต้องเปลี่ยนจาก"รอย ฮอดจ์สัน" มาเป็น "เคนนี่ ดัลกริช" มาคุมทีมแทน
และก็ได้ขาย "ตอร์เรส" ให้เชลซีไป 50 แล้วมาซื้อ "ซัวเรส" กับ "แอนดี้ คาร์โรลล์" มาทดแทน
แผนการเล่นที่ใช้คือ 4-4-2 "ซัวเรส" ยืนคู่หน้ากับ "เดิร์ก เค้าท์" สลับกับ "แอนดี้ คาร์โรลล์"
โดยที่คู่ศูนย์หน้าจะให้เล่นโดยคนหนึ่งยืนใกล้กรอบเขตโทษ อีกคนหนึ่งลงต่ำมารับบอลตรงกลางสนาม
ทั้งสองคนจะคอยสลับกันขึ้นลง เพื่อให้กองหลังประกบติดกองหน้าไม่ได้
ลิเวอร์พูลจบที่อันดับ 6 ไม่ได้ไปบอลยุโรป
สถิติซัวเรส
ลีก 13 นัด ทำได้ 4 ประตู 3 แอสซิสต์ ทำประตูได้ 4 นัด
ฤดูกาล 2011-2012 ได้แชมป์ลีกคัพ
แผนการเล่นก็ยัง 4-4-2 ซัวเรสจับคู่กับ "แอนดี้ คาร์โรลล์" สลับ "เครก เบลลามี่" หรือ "เดิร์ก เค้าท์"
ครึ่งฤดูกาลแรกผลงาน แข่ง 19 นัด ชนะ 9 เสมอ 7 แพ้ 3 มี 34 คะแนน
พอ "ซัวเรส" ถูกลงโทษแบบจากการพูดคำต้องห้ามใส่ "เอฟร่า" ทีมเลยเสียศูนย์
ครึ่งฤดูกาลหลัง แข่ง 19 นัด ชนะ 5 เสมอ 3 แพ้ 11 เก็บเพิ่มได้แค่ 18 คะแนน
หลัง "ซัวเรส" พ้นโทษแบน แข่ง 15 นัด ชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 9
ซัวเรส ลงเล่นนัดชิงทั้งสองรายการยิงไม่ได้เลย แถมลิเวอร์พูลก็ไม่ชนะในเกมปกติ ทั้ง 2 รายการ
ลิเวอร์พูล จบอันดับ 8, เข้าชิงเอฟเอ คัพ และได้แชมป์ลีกคัพเลยได้ไปยูโรปาลีก
สถิติ
ลีก 31 นัด ทำได้ 11 ประตู 3 แอสซิสต์ ทำประตูได้ 8 นัด
เอฟเอ คัพ 4 นัด ทำได้ 3 ประตู ไบรท์ตัน, สโต๊ค และเอฟเวอร์ตัน
ลีกคัพ 4 นัด 3 ประตู 3 แอสซิสต์ Exeter, สโต๊ค 2 ประตู
ทั้งหมด 39 นัด ทำได้ 17 ประตู
ฤดูกาล 2012-13 เล่นยูโรปาลีก กับลิเวอร์พูล
ผู้จัดการทีมเปลี่ยนเป็น "เบรนเด้น ร็อดเจอร์" ลิเวอร์พูล เปลี่ยนมาเล่น 4-3-3
ช่วงครึ่งฤดูกาลแรกเกมรุกเป็น "ดาวนิง" "ซัวเรส" และ "สเตอร์ลิง"
ผลงาน 14 นัดแรก ชนะ 3 เสมอ 7 แพ้ 4 เก็บได้ 16 คะแนน อยู่อันดับ 12
ลีกคัพ ตกรอบ 4 แพ้สวอนซี 1-3 ถึง "ซัวเรส" ลงสำรองครึ่งหลังก็ช่วยโหม่งประตูตีไข่แตกเท่านั้น
เอฟเอ คัพ ตกรอบ 4 แพ้ Oldham 2-3 ถึงมี "สเตอร์ริดจ์" มาเพิ่มก็ช่วยไม่ได้
ถ้วยยุโรปครั้งแรกและครั้งเดียวของ "ซัวเรส" เริ่มด้วยการหลุดไปยิง "ฮาร์ท" จากสก็อตแลนด์ให้ทีมผ่านรอบคัดเลือก
แต่พอรอบแข่งจริง "ซัวเรส" ยิงโอเพ่นเพลย์ไม่ได้เลย แต่ยิงฟรีคิกไป 3 ลูก
1 ลูกในเกมแพ้ "อูดิเนเซ่" 2-3 อีก 2 ลูก เกมชนะ "เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก" 3-1 แต่ทีมตกรอบ 32 ทีมไป
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อการมาถึงของ "คูตินโญ่" ตัวทำเกมรุกที่ยืนได้ทั้งกองหน้า และกองกลาง
คูตินโญ่ มีความสามารถเอาตัวรอดในที่แคบได้ จ่ายบอลบนพื้นได้แม่นยำ ทำให้เกมรุกลิเวอร์พูลสมบูรณ์ขึ้น
12 นัดที่ "คูตินโญ่" ลงเล่นเป็นตัวจริง ชนะ 7 เสมอ 4 แพ้ 1 เก็บได้ 25 คะแนน
ส่วน 5 นัด ก่อน "คูตินโญ่" ลงเป็นตัวจริง ลิเวอร์พูล ชนะ 1 (นอริช) เสมอ 2 แพ้ 2
นัดแรกของ "คูตินโญ่" คือ เกมที่ 26 ซึ่งแพ้ เวสต์บรอมวิช 0-2 แต่ลงเป็นสำรองไปแค่ 12 นาที
ช่วงท้ายฤดูกาล สเตอร์ริดจ์, คูตินโญ่ คือกำลังสำคัญของทีม ส่วน "ซัวเรส" ถูกแบนเพราะไปกัด "อิวาโนวิช"
ลิเวอร์พูล จบอันดับ 7 ไม่ได้ไปบอลยุโรป
สถิติ
ลีก 33 นัด ทำได้ 23 ประตู 5 แอสซิสต์ ทำประตูได้ 16 นัด
เอฟเอ คัพ 2 นัด ทำได้ 2 ประตู Mansfield, Oldham
ลีกคัพ 1 นัด 1 ประตู สวอนซี
ยูโรปาลีกรอบคัดเลือก 2 นัด 1 ประตู 2 แอสซิสต์ (Gomel จาก เบราลุส)
ยูโรปาลีก 6 นัด 3 ประตู
ทั้งหมด 44 นัด 30 ประตู
ฤดูกาล 2013-14 อันดับ 2 พรีเมียร์ลีก
การได้ "คูตินโญ่" มาทำให้แผนการเล่นสมบูรณ์แบบ ทีมคว้าแต้มได้ต่อเนื่องจากฤดูกาลที่แล้ว
ซัวเรส กลับมาจากโทษแบบด้วยฟอร์มร้อนแรงยิง 20 ประตูจาก 14 นัด แต่เป็นการยิงได้ 9 นัด
แต่ทีมแพ้ 3 ทีมหัวตารางโดยที่ "ซัวเรส" ยิงไม่ได้เลย บวกกับแพ้ "ฮัลล์ ซิตี้" ไปอีก 1 นัด
จบครึ่งฤดูกาลแรก ลิเวอร์พูล อยู่ที่ 5 มี 36 คะแนน ตามหลัง "อาร์เซน่อล อันดับ 1 ที่มี 42 คะแนน อยู่ 6 คะแนน
เริ่มเข้าปี 2014 ลิเวอร์พูล ได้ใช้ลูกตั้งเตะเป็นอาวุธในการเอาชนะคู่ต่อสู้ 16 เกมต่อมา พวกเขาชนะ 14 เสมอ 2
ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะอาร์เซ่น่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยลูกสูตรเตะมุม
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลได้ประตูจากลูกต้งเตะถึง 26 ลูก เยอะเป็นอันดับ 1 ของลีก
เมื่อเข้าสู่นัดที่ 35 พวกเขาอยู่อันดับ 1 ของตารางมี 80 คะแนน
แต่มาแพ้ตัวสำรองของเชลซี 0-2 เลยถูก "แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไป
ส่วน "ซัวเรส" ครึ่งฤดูกาลหลัง 19 นัด เขายิงได้ 9 นัด ทั้งหมด 11 ประตู
ลิเวอร์พูลในเอฟเอ คัพ แพ้อาร์เซ่นอล ตกรอบ 16 ทีม ส่วนลีกคัพ ตกรอบ 3 แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สถิติ
ลีก 33 นัด ทำได้ 31 ประตู 12 แอสซิสต์ ยิงได้ 18 นัด
เอฟเอ คัพ 3 นัด 2 แอสซิสต์ บอร์นมัท
ลีกคัพ 1 นัด
ทั้งหมด 37 นัด 31 ประตู
รายละเอียดการทำประตูของซัวเรส
ประตูจากการวิ่งหาตำแหน่ง 22 ประตู (มีโหม่ง 3 ประตู)
ประตูจากการเลี้ยงผ่านคู่แข่งไปยิง 3 ประตู เวสต์บรอมวิช, นอริช และสเปอร์
ฟรีคิก 3 ประตู นอริช, เอฟเวอร์ตัน และฮัลล์
ยิงนอกกรอบ 3 ประตู นอริช, เวสต์แฮม และคาร์ดิฟฟ์
ทีมที่ถูก "ซัวเรส" ทำประตูได้
คาร์ดิฟฟ์ 5 ประตู อันดับ 20
นอริช 5 ประตู อันดับ 18
เวสต์บรอมวิช 3 ประตู อันดับ 17
สเปอร์ส 3 ประตู อันดับ 6
ฟูแล่ม 2 ประตู อันดับ 19
ซันเดอร์แลนด์ 2 ประตู อันดับ 14
เวสต์แฮม 2 ประตู อันดับ 13
คริสตันพาเลซ 2 ประตู อันดับ 11
สโต๊ค 2 ประตู อันดับ 9
เอฟเวอร์ตัน 2 ประตู อันดับ 5
ฮัลล์ ซิตี้ 1 ประตู อันดับ 16
เซาแธมป์ตัน 1 ประตู อันดับ 8
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 ประตู อันดับ 7
[EPL] เรื่องราวของ "หลุยส์ ซัวเรส" สมัยอยู่ลิเวอร์พูล
ถึงจะยาวแต่แบ่งให้อ่านง่ายนะ ลองอ่านแล้วนึกถึงช่วงนั้นดู
หลุยส์ ซัวเรส จุดเด่น คือ
1. เวลาได้บอลจะพลิกตัวเลี้ยงผ่านทันที ถ้ากองหลังเข้าพรวดก็จะหลุดไปง่ายๆ
2. พุ่งเข้าหาประตูทันที เมื่อเพื่อนยิง เพื่อรอจังหวะซ้ำถ้าผู้รักษาประตูรับไม่ติดมือ
3. หาตำแหน่งได้ดี ทำให้เพื่อนจ่ายง่าย แต่ถ้าตัวเองหลุดไปแล้ว โดยที่เพื่อนอยู่ตำแหน่งดีกว่าก็พร้อมจ่าย
คุณสมบัติเล่านี้แกก็เป็นกองหน้าระดับโลกแน่นอน แต่ไม่ใช่ระดับ "บัลลง ดอร์" ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด
ส่วนลูกหยอดเสาไกลที่เห็นแกได้ "แอสซิสต์" บ่อยๆ นั้นคือ เกมหนึ่งแกทำบ่อยมาก จะเรียกว่าทีเด็ดก็ไม่ได้
จุดด้อย คือ เจอกองหลังที่นิ่งๆที่ไม่รีบเข้าแย่ง ต่อให้เป็นดาวรุ่งแกก็ผ่านไม่ได้
พอผ่านไม่ได้ก็หงุดหงิดไปจงใจทำร้ายร่างกายเขา หรือพูดทำร้ายจิตใจ
ตัวอย่างกองหลังที่ "ซัวเรส" ชนะทาง ซิลแวน ดิสแตง, ดาวิด หลุยส์
ตัวอย่างกองหลังที่ "ซัวเรส" แพ้ทาง อิวาโนวิช, โลร็อง โกเซียลนิ
ฤดูกาล 2010-2011 ย้ายสู่ทีมลิเวอร์พูล
หลังจากที่ลิเวอร์พูลตกไปอยู่อันดับ 13 หลังผ่านไป 21 นัด จึงต้องเปลี่ยนจาก"รอย ฮอดจ์สัน" มาเป็น "เคนนี่ ดัลกริช" มาคุมทีมแทน
และก็ได้ขาย "ตอร์เรส" ให้เชลซีไป 50 แล้วมาซื้อ "ซัวเรส" กับ "แอนดี้ คาร์โรลล์" มาทดแทน
แผนการเล่นที่ใช้คือ 4-4-2 "ซัวเรส" ยืนคู่หน้ากับ "เดิร์ก เค้าท์" สลับกับ "แอนดี้ คาร์โรลล์"
โดยที่คู่ศูนย์หน้าจะให้เล่นโดยคนหนึ่งยืนใกล้กรอบเขตโทษ อีกคนหนึ่งลงต่ำมารับบอลตรงกลางสนาม
ทั้งสองคนจะคอยสลับกันขึ้นลง เพื่อให้กองหลังประกบติดกองหน้าไม่ได้
ลิเวอร์พูลจบที่อันดับ 6 ไม่ได้ไปบอลยุโรป
สถิติซัวเรส
ลีก 13 นัด ทำได้ 4 ประตู 3 แอสซิสต์ ทำประตูได้ 4 นัด
ฤดูกาล 2011-2012 ได้แชมป์ลีกคัพ
แผนการเล่นก็ยัง 4-4-2 ซัวเรสจับคู่กับ "แอนดี้ คาร์โรลล์" สลับ "เครก เบลลามี่" หรือ "เดิร์ก เค้าท์"
ครึ่งฤดูกาลแรกผลงาน แข่ง 19 นัด ชนะ 9 เสมอ 7 แพ้ 3 มี 34 คะแนน
พอ "ซัวเรส" ถูกลงโทษแบบจากการพูดคำต้องห้ามใส่ "เอฟร่า" ทีมเลยเสียศูนย์
ครึ่งฤดูกาลหลัง แข่ง 19 นัด ชนะ 5 เสมอ 3 แพ้ 11 เก็บเพิ่มได้แค่ 18 คะแนน
หลัง "ซัวเรส" พ้นโทษแบน แข่ง 15 นัด ชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 9
ซัวเรส ลงเล่นนัดชิงทั้งสองรายการยิงไม่ได้เลย แถมลิเวอร์พูลก็ไม่ชนะในเกมปกติ ทั้ง 2 รายการ
ลิเวอร์พูล จบอันดับ 8, เข้าชิงเอฟเอ คัพ และได้แชมป์ลีกคัพเลยได้ไปยูโรปาลีก
สถิติ
ลีก 31 นัด ทำได้ 11 ประตู 3 แอสซิสต์ ทำประตูได้ 8 นัด
เอฟเอ คัพ 4 นัด ทำได้ 3 ประตู ไบรท์ตัน, สโต๊ค และเอฟเวอร์ตัน
ลีกคัพ 4 นัด 3 ประตู 3 แอสซิสต์ Exeter, สโต๊ค 2 ประตู
ทั้งหมด 39 นัด ทำได้ 17 ประตู
ฤดูกาล 2012-13 เล่นยูโรปาลีก กับลิเวอร์พูล
ผู้จัดการทีมเปลี่ยนเป็น "เบรนเด้น ร็อดเจอร์" ลิเวอร์พูล เปลี่ยนมาเล่น 4-3-3
ช่วงครึ่งฤดูกาลแรกเกมรุกเป็น "ดาวนิง" "ซัวเรส" และ "สเตอร์ลิง"
ผลงาน 14 นัดแรก ชนะ 3 เสมอ 7 แพ้ 4 เก็บได้ 16 คะแนน อยู่อันดับ 12
ลีกคัพ ตกรอบ 4 แพ้สวอนซี 1-3 ถึง "ซัวเรส" ลงสำรองครึ่งหลังก็ช่วยโหม่งประตูตีไข่แตกเท่านั้น
เอฟเอ คัพ ตกรอบ 4 แพ้ Oldham 2-3 ถึงมี "สเตอร์ริดจ์" มาเพิ่มก็ช่วยไม่ได้
ถ้วยยุโรปครั้งแรกและครั้งเดียวของ "ซัวเรส" เริ่มด้วยการหลุดไปยิง "ฮาร์ท" จากสก็อตแลนด์ให้ทีมผ่านรอบคัดเลือก
แต่พอรอบแข่งจริง "ซัวเรส" ยิงโอเพ่นเพลย์ไม่ได้เลย แต่ยิงฟรีคิกไป 3 ลูก
1 ลูกในเกมแพ้ "อูดิเนเซ่" 2-3 อีก 2 ลูก เกมชนะ "เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก" 3-1 แต่ทีมตกรอบ 32 ทีมไป
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อการมาถึงของ "คูตินโญ่" ตัวทำเกมรุกที่ยืนได้ทั้งกองหน้า และกองกลาง
คูตินโญ่ มีความสามารถเอาตัวรอดในที่แคบได้ จ่ายบอลบนพื้นได้แม่นยำ ทำให้เกมรุกลิเวอร์พูลสมบูรณ์ขึ้น
12 นัดที่ "คูตินโญ่" ลงเล่นเป็นตัวจริง ชนะ 7 เสมอ 4 แพ้ 1 เก็บได้ 25 คะแนน
ส่วน 5 นัด ก่อน "คูตินโญ่" ลงเป็นตัวจริง ลิเวอร์พูล ชนะ 1 (นอริช) เสมอ 2 แพ้ 2
นัดแรกของ "คูตินโญ่" คือ เกมที่ 26 ซึ่งแพ้ เวสต์บรอมวิช 0-2 แต่ลงเป็นสำรองไปแค่ 12 นาที
ช่วงท้ายฤดูกาล สเตอร์ริดจ์, คูตินโญ่ คือกำลังสำคัญของทีม ส่วน "ซัวเรส" ถูกแบนเพราะไปกัด "อิวาโนวิช"
ลิเวอร์พูล จบอันดับ 7 ไม่ได้ไปบอลยุโรป
สถิติ
ลีก 33 นัด ทำได้ 23 ประตู 5 แอสซิสต์ ทำประตูได้ 16 นัด
เอฟเอ คัพ 2 นัด ทำได้ 2 ประตู Mansfield, Oldham
ลีกคัพ 1 นัด 1 ประตู สวอนซี
ยูโรปาลีกรอบคัดเลือก 2 นัด 1 ประตู 2 แอสซิสต์ (Gomel จาก เบราลุส)
ยูโรปาลีก 6 นัด 3 ประตู
ทั้งหมด 44 นัด 30 ประตู
ฤดูกาล 2013-14 อันดับ 2 พรีเมียร์ลีก
การได้ "คูตินโญ่" มาทำให้แผนการเล่นสมบูรณ์แบบ ทีมคว้าแต้มได้ต่อเนื่องจากฤดูกาลที่แล้ว
ซัวเรส กลับมาจากโทษแบบด้วยฟอร์มร้อนแรงยิง 20 ประตูจาก 14 นัด แต่เป็นการยิงได้ 9 นัด
แต่ทีมแพ้ 3 ทีมหัวตารางโดยที่ "ซัวเรส" ยิงไม่ได้เลย บวกกับแพ้ "ฮัลล์ ซิตี้" ไปอีก 1 นัด
จบครึ่งฤดูกาลแรก ลิเวอร์พูล อยู่ที่ 5 มี 36 คะแนน ตามหลัง "อาร์เซน่อล อันดับ 1 ที่มี 42 คะแนน อยู่ 6 คะแนน
เริ่มเข้าปี 2014 ลิเวอร์พูล ได้ใช้ลูกตั้งเตะเป็นอาวุธในการเอาชนะคู่ต่อสู้ 16 เกมต่อมา พวกเขาชนะ 14 เสมอ 2
ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะอาร์เซ่น่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยลูกสูตรเตะมุม
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลได้ประตูจากลูกต้งเตะถึง 26 ลูก เยอะเป็นอันดับ 1 ของลีก
เมื่อเข้าสู่นัดที่ 35 พวกเขาอยู่อันดับ 1 ของตารางมี 80 คะแนน
แต่มาแพ้ตัวสำรองของเชลซี 0-2 เลยถูก "แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไป
ส่วน "ซัวเรส" ครึ่งฤดูกาลหลัง 19 นัด เขายิงได้ 9 นัด ทั้งหมด 11 ประตู
ลิเวอร์พูลในเอฟเอ คัพ แพ้อาร์เซ่นอล ตกรอบ 16 ทีม ส่วนลีกคัพ ตกรอบ 3 แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สถิติ
ลีก 33 นัด ทำได้ 31 ประตู 12 แอสซิสต์ ยิงได้ 18 นัด
เอฟเอ คัพ 3 นัด 2 แอสซิสต์ บอร์นมัท
ลีกคัพ 1 นัด
ทั้งหมด 37 นัด 31 ประตู
รายละเอียดการทำประตูของซัวเรส
ประตูจากการวิ่งหาตำแหน่ง 22 ประตู (มีโหม่ง 3 ประตู)
ประตูจากการเลี้ยงผ่านคู่แข่งไปยิง 3 ประตู เวสต์บรอมวิช, นอริช และสเปอร์
ฟรีคิก 3 ประตู นอริช, เอฟเวอร์ตัน และฮัลล์
ยิงนอกกรอบ 3 ประตู นอริช, เวสต์แฮม และคาร์ดิฟฟ์
ทีมที่ถูก "ซัวเรส" ทำประตูได้
คาร์ดิฟฟ์ 5 ประตู อันดับ 20
นอริช 5 ประตู อันดับ 18
เวสต์บรอมวิช 3 ประตู อันดับ 17
สเปอร์ส 3 ประตู อันดับ 6
ฟูแล่ม 2 ประตู อันดับ 19
ซันเดอร์แลนด์ 2 ประตู อันดับ 14
เวสต์แฮม 2 ประตู อันดับ 13
คริสตันพาเลซ 2 ประตู อันดับ 11
สโต๊ค 2 ประตู อันดับ 9
เอฟเวอร์ตัน 2 ประตู อันดับ 5
ฮัลล์ ซิตี้ 1 ประตู อันดับ 16
เซาแธมป์ตัน 1 ประตู อันดับ 8
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 ประตู อันดับ 7