See Angkor Wat and Di(n)e พนมเปญ - เสียมเรียบ 4 วัน 3 คืน 25,000 บาท

*** คำเตือน สำหรับท่านที่คาดหวังจะพบรีวิวการท่องเที่ยวแบบ backpacker  หรืองบประมาณแบบประหยัด (shoestring) รีวิวนี้อาจจะเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะกับท่านในแง่ของการใช้เป็นคู่มือประกอบการวางแผนการท่องเที่ยว เพราะผู้เขียนมีวิธีการท่องเที่ยวแบบเรื่อยๆมาเรียง มุ่งเน้นตามความพึงพอใจ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายในเชิงปริมาณว่าจะต้องเดินทางได้ไกลที่สุด หรือเข้าชมสถานที่สำคัญต่างๆให้ได้มากที่สุดในการเดินทางเพียงหนึ่งครั้งครับ


"ไปไหนดีครับ" เสียงปลายสายดังมาถามผม เมื่อเทศกาลแลกแต้มสะสมลดราคาถึงขีดสุด ผมผู้ซึ่งมีความอ่อนไหวไม่แพ้คนอื่นๆ ก็ตอบไปอย่างเรียบๆว่า "ไปไหนก็ได้ครับ ผมมีแต้มเหลือพอสำหรับแลกทุกเส้นทางของบางกอกแอร์เวย์ส ในทุกชั้นโดยสาร" ตอนแรกตั้งใจจะไปมัลดีฟส์เพราะคุ้มที่สุด และมีชั้นธุรกิจให้แลก แต่การไปกับเพื่อสมัยเรียนในเส้นทางมัลดีฟส์ อาจจะไม่ใช่คำตอบนัก และคงจะหาห้องเตียงคู่ในวิลล่ากลางน้ำได้ยาก แผนดังกล่าวจึงเป็นอันตกไป จุดหมายถัดมาที่เลียบเคียงมองดูคือบังกลาเทศ ผมน่ะอยากไปมาก แต่ถูกวีโต้โดยอีกสองเสียงที่เหลือ ดังนั้นเหลืออีกจุดหมายเดียวคือ กัมพูชา อีกเส้นทางที่บางกอกยังเปิดบินชั้นธุรกิจอยู่ครับ


เนื่องจากไม่ใช่เส้นทางยอดนิยม จองอย่างไรที่นั่งก็ยังเหลือ ผมเลยหลบวันหยุดเสียหน่อย โดยเลือกเดินทางหลังวันฉัตรมงคลแต่กลับก่อนวันพืชมงคล แล้วก็ได้เที่ยวบินสมใจ ขาไปลงพนมเปญเป็นชั้นพรีเมียร์ (ชั้นธุรกิจ แต่เก้าอี้เว้นกลางแบบชั้นธุรกิจในยุโรปหรือไทยสมายล์ในปัจจุบัน) ส่วนขากลับ กลับจากเสียมเรียบซึ่งเป็นชั้นประหยัดหมดทุกเที่ยวบิน ผมจึงเลือกเที่ยวท้ายๆตอนทุ่มสี่สิบ เพราะเป็นเครื่องแอร์บัส 320 ที่ลำใหญ่กว่าเครื่อง ATR เรียบร้อยครับ


ระหว่างรอเวลาไปก็วางแผนหลวมๆ อยู่พนมเปญ 1 คืน เสียมเรียบ 2 คืน รถเช่าทั้งในเมืองและระหว่างเมืองไปหาเอาดาบหน้าครับ และแล้วหลังจองโรงแรมเสร็จ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันของผมกับการบินกรุงเทพก็เกิดขึ้น เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นในช่วงหลังสงกรานต์ว่า "คุณ buenos คะ เที่ยวบินเช้าสุดไปพนมเปญเปลี่ยนเป็นชั้นประหยัดทั้งลำ ไม่ทราบว่าจะบินเที่ยวเดิมแล้วรับแต้มคืน หรือจะย้ายเที่ยวบินดีคะ เที่ยวถัดไปตอน 11.20 มีชั้นโดยสารธุรกิจแบบ blue ribbon ค่ะ" ไวเท่าความคิด(ที่ไม่เคยคิดมากเช่นผม) ผมก็เลยยอมให้ย้ายเที่ยวบิน และถามไถ่ว่า จะย้ายเพื่อนผมอีกสองคนมาได้หรือไม่ ตอนแรกเธอแจ้งว่า มีโควตาตั๋วรางวัลแค่สองที่ แต่สิบนาทีเธอก็จัดการย้ายเราสามคนไปเที่ยวบินใหม่ได้เรียบร้อย และทุกคนยังคงนั่งที่นั่งเดิมที่จองมาจากเที่ยวบินแรก เป็นบริการที่เยี่ยมยอดมากที่สุดในสามโลก นอกจากนี้ เธอได้แจ้งว่า เที่ยวบินดังกล่าว มีผู้โดยสารอีกท่าน นอกจากกลุ่มของเราสามคน จากเก้าอี้ทั้งหมด 12 ที่นั่ง



ในช่วงก่อนเดินทาง ผมก็หาข้อมูลไปหลวมๆ สลับกับฉีกปฏิทินนับถอยหลังไปเรื่อยๆ ณ วันเดินทาง เรายังคงเดินตามแผนเดิม แม้ว่าเที่ยวบินใหม่จะย้ายไปสิบเอ็ดโมง แต่ก็ไปถึงแต่เช้า ทำตัวเป็นผู้โดยสารชั้นธุรกิจที่ดี โดยเข้าช่องบลูริบบอน วันนี้บางกอกแอร์เวย์สสร้างความไม่ประทับใจแรกให้แก่ผม โดยผมพยายามจะขอย้ายที่นั่งไป 1A แต่พนักงานแจ้งว่า ที่นั่งดังกล่าวมีผู้โดยสารนั่งแล้ว ซึ่งผมมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะดูจากในระบบเป็นการกันไว้สำหรับผู้โดยสารเดินทางพร้อมเด็กเล็กมากกว่า ซีงถ้าเป็นกรณีหลังนี้ ผมจะขอให้ออกบัตรขึ้นเครื่องให้ก่อน และถ้ามีผู้โดยสารเหล่านั้นจริง ผมก็พร้อมจะเปลี่ยนที่แต่โดยดีครับ ผลสุดท้ายเมื่อพนักงานชี้แจงเหตุผล (ที่เหมือนจะไม่พูดความจริง) เช่นนี้ ผมก็เลยต้องยอมรับที่นั่ง 2A เช่นเดิม ก่อนจะทราบว่าโดนหลอกตอนอยู่บนเครื่องแล้ว เพราะแถว 1AC 2AC และ 3AC ว่างทั้งหมด มีผมนั่งเพียงคนเดียวครับ



ที่ห้องรับรอง สำหรับท่านที่ใช้สิทธิ์ AIS Serenade หรือ AMEX สามารถเข้าห้องรับรองฝั่งชั้นธุรกิจได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากผู้ที่บินชั้นธุรกิจอย่างผมครับ และถ้าช่วงชั่วโมงเร่งด่วนของห้องรับรองการบินไทยคือช่วงดึก ช่วงพีคที่สุดของห้องรับรองบลูริบบอนก็คือช่วงเช้า เพราะเที่ยวบินออกเพียบ ตั้งแต่ พนมเปญ เสียมเรียบ ย่างกุ้ง เวียงจันทน์ มาเล และหลวงพระบาง ทำให้ห้องรับรองแน่นมาก ถึงขั้นต้องแบ่งกันทานแบ่งกันนั่งครับ ห้องรับรองจะสงบขึ้นเมื่อหลัง 9 โมงเช้าไปแล้วครับ


นอกจากเมนูยอดฮิตที่มีทั้งห้องฝั่งชั้นประหยัดและชั้นธุรกิจ อย่างข้าวต้มมัดและมัฟฟินหลากหลายแล้ว ฝั่งชั้นธุรกิจยังสามารถสั่งอาหารเพิ่มได้เหมือนเดิม ถ้าเบื่อข้าวต้มบะกุ๊ดเต๋ตอนเช้า บะหมี่เป็ดสี่ฤดูตอนสาย และเกี๊ยวน้ำตลอดวันแล้ว ช่วงนี้มีเมนูใหม่ คือข้าวปลากะพงเปรี้ยวหวาน และข้าวหอมสุโขกับไก่และไข่นกกระทาพะโล้ จากเชฟหมึกแดง สองอย่างนี้รสชาติดีมากจริงๆครับ ผมจัดเสียจนอิ่ม ก่อนจะไปนั่งอ่านหนังสือเงียบ และนั่งเก้าอี้นวดไฟฟ้าอีกสักหน่อย เตรียมพร้อมสำหรับการเดิน(ทาง)ไกลๆ ที่นครวัดและนครธม ครับ ในส่วนบริการอื่นๆ ของห้องรับรองยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ทั้งอินเทอร์เน็ตไวไฟแรงๆ เครื่องดื่มที่มาบริการถึงโต๊ะโดยสั่งจากเมนู (หลังๆผมเดินไปเปิดตู้เย็น จัดการเอง สะดวกกว่าครับ) หรือมีแม้กระทั่งห้องอาบน้ำกว้างๆด้านในครับ


และแล้วก็ได้เวลาออกจาห้องรับรองไปยังทางออกขึ้นเครื่งเสียทีตอน 10.40 น. ครับ ณ ทางออกขึ้นเครื่องนี้ บางกอกแอร์เวย์สได้สร้างความประหลาดใจในช่วงแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความประทับใจในช่วงหลัง เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า วันนี้บางกอกประกาศให้ผู้โดยสารทุกคนขึ้นเครื่องได้พร้อมกัน ไม่มีการเชื้อเชิญผู้โดยสารที่ถือบัตรพรีเมียร์ หรือผู้โดยสารชั้นธุรกิจขึ้นเครื่องก่อนเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด(เวลาที่ผมนั่งชั้นประหยัด) แต่ผมก็ไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะวันนี้คนน้อยครับ ก็เดินไปต่อแถวพร้อมๆ กับคุณลุงชาวต่างชาติ (น่าจะอเมริกัน)ที่บินชั้นธุรกิจเหมือนกัน เราทั้งคู่คุยกันว่า เดี๋ยวลงไปก็ต้องนั่งรถตู้เฉพาะขึ้นเครื่องไปด้วยกัน ดังนั้นไม่ต้องรีบมากก็ได้



แต่แล้วสิ่งที่ผมคาดคิดก็ไม่เป็นไปตามคาด ตอนลงบันไดเลื่อนไปขึ้นรถ พนักงานท่านผ่ายมือไปยังรถบัสคันใหญ่ที่จอดอยู่ ไม่ใช่รถตู้ที่จอดข้างๆ ถึงตอนนี้ ไทยก็งง อเมริกันก็งง แต่ก็เดินไปขึ้นรถบัสโดยดี คุณลุงเดินไปนั่งสบายๆ ด้านหลัง ส่วนผมก็ยืนริมๆ ประตู จะได้ลงรถง่ายๆ สถานการณ์ก็เรื่อยๆ มาเรียงๆ ผู้โดยสารก็ทยอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผู้โดยสารท่านหนึ่งที่เป็นนักชกเหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของไทยด้วย อันนี้ผมพูดจริงๆ นะครับ ไม่ได้โม้ (พยายามอ่านเป็นสำเนียงที่คุ้นเคย แล้วท่านจะเข้าใจครับ) จนเต็มคันรถ


ในที่สุดจุดไคลแมกซ์ หรือแอนติไคลแมกซ์ก็มาถึง เมื่อประตูกำลังจะปิด พลันก็มีพนักงานภาคพื้นซึ่งน่าจะระดับอาวุโส วิ่งกระหืดกระหอบมากลางลาน ส่งยิ้มหวาน พร้อมพยักหน้าเมื่อผมสบตาเธอ ผมเอง ณ เวลานั้น กระอักกระอ่วนใจมาก เหมือนอยู่ในสถานการณ์ “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” ใจหนึ่งก็อยากจะส่ายหน้าโต้ตอบกับเธอว่า ไปรถบัสก็ได้ ถึงเหมือนกัน แต่อีกใจก็อดสงสารแววตาของเธอไม่ได้


ดังนั้น ผมจึงใช้ความพยายามอย่างถึงขีดสุด ชำแรกผู้โดยสารทุกท่านออกมา ท่ามกลางสายตาแปลกใจและจ้องมองมาที่ผม โดยมีเพื่อนอีกสอง แหวกตามมาในตอนหลัง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถตู้นั่งสบายๆ โดยมีพนักงานท่านเดิม มานั่งประกบที่เบาะข้างคนขับ พร้อมกับคำขอโทษตลอดทางจากเกท C1A ถึงหลุมจอดคุณฮิโรชิมา เอาตอนนั้น ความรู้สึกไม่ได้โกรธอะไร กลับทึ่งในความพยายามของพนักงานมากกว่า แต่ผมเองรู้สึกอายที่ตกเป็นเป้าสายตา ถ้าเรียกผมขึ้นรถตู้แต่แรกคงไม่เป็นเช่นนี้ ป.ล. พนักงานเหมือนจะไปตามคุณลุงที่นั่งด้านในสุดของรถบัสมาด้วย แต่รายนั้นปฏิเสธ คาดว่าคงนั่งสบายอยู่ตัวแล้ว และ priority boarding ไม่น่าจะมีผลอะไรกับชีวิตของลุงอีกต่อไปครับ



ตัดภาพมาที่บนเครื่องที่ชื่อฮิโรชิมา (น่าจะเอาลำที่ชื่อพนมเปญหรือเสียมเรียบมาบินน่าจะดีกว่านี้ แต่ไม่เป็นไรผมยังเคยนั่งลายอังกอร์ไปหลวงพระบาง หรือเอาคุณเกาะกูดไปส่งผมที่สุโขทัย นับเป็นสัจธรรมเดียวกับที่พบในบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง ที่ชื่อกับหน้าไม่ต้องไปทางเดียวกันก็ได้)  หลังจากที่ประจำที่เรียบร้อย พร้อมกับรับผ้าเย็นนุ่มๆ และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ อ่านไม่ค่อยได้หรอกครับ เอามาประดับเป็นเกียรติยศ เห็นเวลาใครๆ เขานั่งชั้นสูงๆ ก็ชอบเอามาถ่ายรูปคู่กัน และได้เวลาทำใจกับสายตาทุกๆ คู่ที่ไปเบียดเขาออกจากรถบัสมา เนื่องจากเครื่องบินรุ่น A 319 นี้ ผู้โดยสารทุกคนในชั้นประหยัดจะต้องเดินผ่านชั้นธุรกิจ แต่ละท่านที่เดินเข้ามา พอเห็นหน้าผม แล้วก็อดขำหรืออมยิ้มไม่ได้ อายจนแทบอยากจะเอาผ้าเย็นปิดหน้าหรือไม่ก็หนังสือพิมพ์คลุมให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะครับ


พอผู้โดยสารบอร์ดใกล้จะครบ พนักงานก็จะมาถามไถ่ถึงเครื่องดื่มต้อนรับ ซึ่งชั้นธรุกิจระยะใกล้(มาก)นี้ จะไม่มีแชมเปญครับ เครื่องดื่มที่ให้เลือกจึงมีน้ำผลไม้ทุกประเภท และน้ำเปล่า ผมเลยเลือกขอน้ำส้มมาหนึ่งแก้ว จากนั้นพนักงานก็จะนำเมนูมาให้ศึกษา ก่อนจะมารับรายการอาหารในช่วงก่อนเครื่องถอยหลังออกจากหลุมจอด อ้อ นอกจากนี้ยังมีของแจกเก๋ๆ อีกอย่าง นั่นก็คือซิมการ์ดโทรศัพท์ในประเทศกัมพูชา สะดวกสบายด้วยประการทั้งปวง ผมก็รับมา แต่ไม่ได้ใช้ครับ



ช่วงสุดท้ายจริงๆ คือการรับรายการอาหาร ทั้งนี้ ทุกช่วงของการให้บริการ พนักงานจะมานั่งย่อลงข้างๆ เพื่อสนทนากับเรา เรียกได้ว่า นอบน้อมสุดๆ แบบเดียวกับที่พบในสายการบินแถบญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ แต่ไม่น่าจะพบได้ในชั้นธุรกิจของสายการบินแห่งชาติครับ วันนี้เพื่อนผมหนึ่งรายสั่งอาหารซีฟู้ด เพราะฉะนั้นก็แค่ยืนยัน ขณะที่เพื่อนผมอีกคนและคุณลุงชาวอเมริกัน(คนเดิม) เลือกจานหลักเหมือนกันเป็นข้าวกับไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผมเลยคิดสรตะดูแล้ว ขอเมนูที่แตกต่างไปก็แล้วกัน นั่นก็คือข้าวหมกปลานิล ส่วนตอนพนักงานมารับรายการ จะเรียกข้าวหมกปลาก็ดูจะง่ายเกินไป เลยพยายามเรียกชื่ออาหารด้วยสำเนียงกระท่อนกระแท่นว่า “ขอเบรยานีก็แล้วกันครับ” นอกจากรายการอาหารแล้ว พนักงานจะรับรายการเครื่องดื่มไปด้วยเลย เมื่อไม่มีแชมเปญ ผมก็เลยขอไวน์ขาวมาขำๆ กับจิงเจอร์เอล และบอกข้ามเครื่องดื่มร้อนทั้งหมดครับ


หมดเวลารับรายการอาหาร ก็ได้เวลาวิดีโอสาธิตความปลอดภัย ถ้าใครจำกันได้ คงนึกหน้าพนักงานชายหญิง ออกมาเต้นรีวิวิประกอบเพลงของสายการบินออก ก่อนที่คุณกัปตันจะมาอธิบายแบบที่นึกว่าพากย์ในถ้ำ เพราะเสียงสะท้อนก้องเหลือใจครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่