จากกระทู้การเมืองในและระหว่างประเทศสมัยร.๕
http://ppantip.com/topic/33603790 ที่ตั้งไป ได้มีสมาชิกทักท้วงด้วยโทนเสียงตำหนิกลายๆ เรื่องที่ผมไปกล่าวความยิ่งใหญ่ของสมเด็จเจ้าพระยาฯ (ช่วง บุนนาค) ซะออกหน้าออกตา (สดุดีสมเด็จเจ้าพระยาฯ เหนือเกินในหลวงร.๕ อันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทย นอกผมจากจะโดนถามหาสัญชาติ? ท่านยังเชิญผมออกนอกประเทศด้วยสำนวนพ่อขุนฯ ด้วย ผมไม่เข้าใจจนป่านนี้ว่า เวลาพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ทีไร ทั้งๆ ที่อยู่ในขอบข่าย มักจะโดนถามหาเรื่องสัญชาติไทยหรือไม่ก็ไล่ออกนอกประเทศไปนู่นเลย)
ยับยั้งชั่งใจอยู่พอสมควรว่าจะตั้งหรือไม่ตั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจตั้งกระทู้นี้เพื่อทำความเข้าใจ .....เรียนว่าไม่อยากจะตอบเป็นการส่วนตัว เพราะต้นเหตุอยู่ทีกระทู้นั้น(ลิงค์ข้างบน)และคาดว่าอย่างน้อยๆ ก็มีคนเข้าไปอ่านเกินสองคนการตีความหมายอาจจะไม่เหมือนกัน อีกอย่าง กรณีอย่างนี้ผมไม่ชอบมีลับลมคมในกับใครหลังไมค์ รู้ว่าเสี่ยงต่อการถูกยึดอมยิ้ม ก็ได้แต่ขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่พันทิปล่วงหน้าว่า อยากให้ดูเนื้อหาที่ยกอ้างเพื่อการทำความเข้าใจ แต่ถ้าหากจะยึดอมยิ้มจริงๆ ผมคงไม่อุธรณ์ต่อ
๑.ความเดิมในกระทู้ที่ผมเขียนว่า ความยิ่งใหญ่ของตระกูลบุนนาคที่แม้องค์รัชกาลที่ห้าเคยมีพระราชหัถเลขาถึงราชโอรสในเรื่องนี้เช่นกัน”
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ...ผมไม่ได้คิดหมิ่นพระบรมเดชาฯ ตามที่ถูกครหา เพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชหัตเลขาถึงเจ้าวชิรุณหิตว่าด้วยอำนาจของสมเด็จเจ้าฯ (ช่วง บุนนาค)จริงๆ ตามแสดงไว้ในกระทู้เก่า
๒.ในส่วนของเรื่องสมเด็จพระนางวิคตอเรียต้องการจะรับเอาเจ้าดารารัศมีเป็นพระราชธิดาบุญธรรมนั้น ผมได้กำกับเอาไว้ในทำนองว่าให้ “ฟังหูไว้หู” แม้ความจริงก็มีหลายตำรากล่าวถึงเรื่องนี้ ผมพยายามค้นหาที่หอสมุดฯ แห่งชาติเหมือนกัน(หรือออาจะหาไม่เจอเพราะตอนนั้นมีเวลาน้อย) ตรงนั้นจึงกำกับไวว่า “ฟังหูไว้หู” พร้อมได้ย้ำเตือนอีกครั้งก่อนหันไปพูดเรื่องอื่น ตรงนี้ผมถูกครหาว่าหมิ่นน้ำพระราชหฤทัยของร.๕ ที่เขียนชวนให้คิดว่าการรับเอาเจ้าดารารัศมีจากเชียงใหม่มาเป็นเจ้าจอมนั้นเป็นเกมส์การเมืองไม่ใช่ความรัก ผมไม่ขอแตะ/วิจารณ์ตรงนี้เพราะผมหรือใครๆ ไม่อาจจะหยั่งน้ำพระราชหฤทัยพระองค์ได้ หากแต่ในส่วนของเจ้าดารารัศมีนั้น ตามหลักฐานปรากฏ...พระองค์ได้ระบายความทุกข์ระทมถึงพระราชบิดาที่เชียงใหม่ว่าอยากทานลูกมะเขือบ้า(ให้สติฟั่นเฟือน)ไปเสีย เพื่อที่จะได้กลับบ้านที่เชียงใหม่ ยิ่งการการสิ้นพระชนม์ของพระธิดาที่เกิดในสมเด็จพระจุลจอมฯ ก็ยิ่งนำความโศกมาให้ เหตุการณ์นี้ร.๕ก็เสียพระทัยตำหนิพระองค์ที่ว่าทรงลืมแม้กระทั่งที่จะสถาปนาพระธิดาที่เกิดกับเจ้าดาราฯ ("ฉันผิดเองลูกเขาควรเป็นเจ้าฟ้าแต่ฉันลืมตั้งจึงตาย" พระราชปรารภกับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ) ก่อนไป...ขอกล่าวเสริมตรงนี้นิดหนึ่งว่า เจ้าดาราฯ ออกจากเชียงใหม่ตั้งแต่อายุ๑๔ อีก๒๒ ปีต่อมาจึงได้เสด็จกลับไปเยี่ยมที่เชียงใหม่ และสี่ปีหลังจากที่ร.๕ เสด็จสวรรคต พระองค์ก็เสด็จกลับไปประทับเชียงใหม่เป็นการถาวร
......ขอเคลียร์ตัวเองจากกระทู้เก่านิ๊ด.....
ยับยั้งชั่งใจอยู่พอสมควรว่าจะตั้งหรือไม่ตั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจตั้งกระทู้นี้เพื่อทำความเข้าใจ .....เรียนว่าไม่อยากจะตอบเป็นการส่วนตัว เพราะต้นเหตุอยู่ทีกระทู้นั้น(ลิงค์ข้างบน)และคาดว่าอย่างน้อยๆ ก็มีคนเข้าไปอ่านเกินสองคนการตีความหมายอาจจะไม่เหมือนกัน อีกอย่าง กรณีอย่างนี้ผมไม่ชอบมีลับลมคมในกับใครหลังไมค์ รู้ว่าเสี่ยงต่อการถูกยึดอมยิ้ม ก็ได้แต่ขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่พันทิปล่วงหน้าว่า อยากให้ดูเนื้อหาที่ยกอ้างเพื่อการทำความเข้าใจ แต่ถ้าหากจะยึดอมยิ้มจริงๆ ผมคงไม่อุธรณ์ต่อ
๑.ความเดิมในกระทู้ที่ผมเขียนว่า ความยิ่งใหญ่ของตระกูลบุนนาคที่แม้องค์รัชกาลที่ห้าเคยมีพระราชหัถเลขาถึงราชโอรสในเรื่องนี้เช่นกัน”
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ...ผมไม่ได้คิดหมิ่นพระบรมเดชาฯ ตามที่ถูกครหา เพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชหัตเลขาถึงเจ้าวชิรุณหิตว่าด้วยอำนาจของสมเด็จเจ้าฯ (ช่วง บุนนาค)จริงๆ ตามแสดงไว้ในกระทู้เก่า
๒.ในส่วนของเรื่องสมเด็จพระนางวิคตอเรียต้องการจะรับเอาเจ้าดารารัศมีเป็นพระราชธิดาบุญธรรมนั้น ผมได้กำกับเอาไว้ในทำนองว่าให้ “ฟังหูไว้หู” แม้ความจริงก็มีหลายตำรากล่าวถึงเรื่องนี้ ผมพยายามค้นหาที่หอสมุดฯ แห่งชาติเหมือนกัน(หรือออาจะหาไม่เจอเพราะตอนนั้นมีเวลาน้อย) ตรงนั้นจึงกำกับไวว่า “ฟังหูไว้หู” พร้อมได้ย้ำเตือนอีกครั้งก่อนหันไปพูดเรื่องอื่น ตรงนี้ผมถูกครหาว่าหมิ่นน้ำพระราชหฤทัยของร.๕ ที่เขียนชวนให้คิดว่าการรับเอาเจ้าดารารัศมีจากเชียงใหม่มาเป็นเจ้าจอมนั้นเป็นเกมส์การเมืองไม่ใช่ความรัก ผมไม่ขอแตะ/วิจารณ์ตรงนี้เพราะผมหรือใครๆ ไม่อาจจะหยั่งน้ำพระราชหฤทัยพระองค์ได้ หากแต่ในส่วนของเจ้าดารารัศมีนั้น ตามหลักฐานปรากฏ...พระองค์ได้ระบายความทุกข์ระทมถึงพระราชบิดาที่เชียงใหม่ว่าอยากทานลูกมะเขือบ้า(ให้สติฟั่นเฟือน)ไปเสีย เพื่อที่จะได้กลับบ้านที่เชียงใหม่ ยิ่งการการสิ้นพระชนม์ของพระธิดาที่เกิดในสมเด็จพระจุลจอมฯ ก็ยิ่งนำความโศกมาให้ เหตุการณ์นี้ร.๕ก็เสียพระทัยตำหนิพระองค์ที่ว่าทรงลืมแม้กระทั่งที่จะสถาปนาพระธิดาที่เกิดกับเจ้าดาราฯ ("ฉันผิดเองลูกเขาควรเป็นเจ้าฟ้าแต่ฉันลืมตั้งจึงตาย" พระราชปรารภกับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ) ก่อนไป...ขอกล่าวเสริมตรงนี้นิดหนึ่งว่า เจ้าดาราฯ ออกจากเชียงใหม่ตั้งแต่อายุ๑๔ อีก๒๒ ปีต่อมาจึงได้เสด็จกลับไปเยี่ยมที่เชียงใหม่ และสี่ปีหลังจากที่ร.๕ เสด็จสวรรคต พระองค์ก็เสด็จกลับไปประทับเชียงใหม่เป็นการถาวร